หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 470
บทที่ 470
ชาววอโค่วแปดสิบกว่าคนเหลือแค่สามสิบคนเศษ แล้วสามสิบกว่าคนนี้ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนมาทั้งคืน ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจล้วนถึงขีดจำกัดแล้ว ขณะที่กององครักษ์ของเซ่าหมิงยวนเพียงโดนยุงกัดเท่านั้น
เมื่อกำลังของสองฝ่ายห่างกันหลายขุม ชั่วเวลาแค่สองเค่อพวกองครักษ์ก็เริ่มกวาดล้างสมรภูมิและตรวจค้นทรัพย์สินของมีค่าหลังจบศึกตามธรรมเนียม
หยางโฮ่วเฉิงเห็นกับตาว่าองครักษ์ผู้หนึ่งหยิบถุงเงินบนตัวศพยัดเข้าอกเสื้อตนเองด้วยสีหน้านิ่งเฉยก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ “ถิงเฉวียน พวกเขา…พวกเขาเก็บทรัพย์สินพวกนั้นเข้าพกเข้าห่อตนเอง”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วมีเหตุใดหรือ”
“ไม่ต้องส่งมอบให้เบื้องบนหรือ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ส่งมอบให้ผู้ใดเล่า กรมทหารหรือกรมอากร คนที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคือพวกเขา มิใช่เหล่าใต้เท้าที่ถือด้ามพู่กันพวกนั้น”
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ ข้านึกว่าเจ้าจะแบ่งส่วนเท่าๆ กัน…”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “ในความคิดข้า คนเก่งได้มากกว่าถึงจะเป็นการแบ่งส่วนที่ดีที่สุด”
หยางโฮ่วเฉิงจุปาก “มิน่าใครๆ ถึงพูดกันว่าแม่ทัพนายกองร่ำรวยที่สุด”
ดูเหมือนเขาเข้าใจได้แล้วว่าฐานะอันมั่งมีของสหายรักวัยเยาว์นั้นมีที่มาจากที่ใด
เป็นเขาหลงเข้าใจผิดไปเอง ไฉนเขาถึงคิดว่าถิงเฉวียนเป็นคนสุจริตใจซื่อมือสะอาดพรรค์นั้นได้
“เริ่มรู้สึกแล้วใช่หรือไม่ว่าสนามรบไม่ได้เป็นดังเช่นที่นึกภาพไว้” เซ่าหมิงยวนถามยิ้มๆ
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า แต่นึกขึ้นได้ว่าสหายรักมองไม่เห็น เขารีบเปล่งเสียงพูด “ใช่แล้ว”
“ไม่มีอันใดน่าแปลก ในการปกปักรักษาแผ่นดิน ผู้อุทิศเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินสมควรเหลืออะไรทิ้งไว้ให้ครอบครัวบ้าง แล้วเงินทองก็เป็นสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุด ไปเถอะ ไปสำรวจดูสภาพรอบๆ เกาะกัน”
ดวงตะวันลอยเคลื่อนพ้นขอบน้ำแล้ว แสงแดดสดใสอาบไล้เกาะเล็กๆ ที่วังเวงน่าสะพรึงกลัวในยามรัตติกาลให้สว่างไสวสงบสุข ส่วนศพที่กลาดเกลื่อนบนพื้นดินโล่งเตียน นอกจากหยางโฮ่วเฉิงกับเซี่ยเซิงเซียวที่ยังไม่คุ้นชินอยู่สักนิด คนอื่นๆ ต่างไม่มีสีหน้าผิดปกติแม้สักเศษเสี้ยว ถึงขั้นล้วงเสบียงแห้งจากอกเสื้อออกมากินสองสามคำรองท้องได้
ออกรบไปพลางกินให้อิ่มท้องไปพลางเป็นความเคยชินขององครักษ์เหล่านี้แล้ว
เกาะหมิงเฟิงไม่นับว่ากว้างใหญ่ พวกองครักษ์แบ่งกำลังเป็นกลุ่มเล็กๆ เริ่มออกสำรวจไปทั่วทั้งเกาะ
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างป้ายธงซึ่งปักอยู่ตรงกลางที่โล่งฟังรายงานจากเยี่ยลั่ว “ท่านแม่ทัพ พบสตรีสองนางในเรือนหลังหนึ่ง ทั้งคู่สลบไสลไม่ได้สติและไม่มีอาภรณ์ปกปิดกายสักชิ้นขอรับ”
“เชิญคุณหนูเซี่ยไปดูที่นั่น”
“เชิญคุณหนูเซี่ยขอรับ”
เซี่ยเซิงเซียวผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเดินตามเยี่ยลั่วไป
นางยอมโดนยุงกัดทั้งคืน แต่กลับพยายามแย่งสังหารชาววอโค่วได้แค่สองคน นับว่าขาดทุนครั้งใหญ่เลยทีเดียว มีงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ทำยังดีกว่ายืนจับเจ่าอยู่อย่างนี้
“คุณหนูเซี่ย สตรีสองนางนั้นอยู่ในเรือนหลังนี้ขอรับ” เยี่ยลั่วหยุดฝีเท้าที่หน้าประตู
เซี่ยเซิงเซียวย่างเท้าเข้าไปข้างใน
เครื่องเรือนที่จัดวางอยู่ในเรือนหลังนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่ของชาววอโค่วทั่วไป ตรงริมผนังมีเตียงขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์หล่นกระจายทั่วพื้น ทั่วทั้งบริเวณอบอวลไปด้วยกลิ่นอายชอบกลระลอกหนึ่ง
เซี่ยเซิงเซียวสะกดอาการพะอืดพะอมเปิดหน้าต่างออกแล้วถึงเดินไปที่เตียง
สตรีสองนางนอนอยู่บนนั้น ผ้าห่มบนตัวน่าจะเป็นพวกองครักษ์พบตัวพวกนางแล้วช่วยห่มให้อย่างลวกๆ แขนขาขาวกระจ่างล้วนโผล่พ้นออกมาข้างนอก
เซี่ยเซิงเซียวพิศดูสตรีทั้งสอง เห็นพวกนางผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือซูบเซียวจนแก้มตอบ นัยน์ตาทั้งคู่ปิดสนิท สีหน้าซีดเซียวดูแล้วน่ากลัวมาก
นางใจหายวาบ รีบยื่นมือไปอังใต้จมูกพวกนาง พบว่ายังมีลมหายใจอยู่ถึงถอนใจโล่งอก
สตรีสองนางนี้ต้องโดนขายมาที่นี่ก่อนหน้านี้เป็นแน่ จะว่าไปแล้วต่างเป็นคนน่าสงสาร
ด้านนอกเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ทั้งนั้น อยากจะพาพวกนางออกไปก็ต้องสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน เซี่ยเซิงเซียวยื่นมือไปดึงผ้าห่มบนตัวพวกนางออก แต่แล้วก็ต้องตะลึงพรึงเพริดกับภาพที่เห็นอย่างช่วยไม่ได้
ตามเนื้อตัวที่ขาวผ่องของพวกนางมีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นจ้ำๆ จากการขบกัดและหยิกข่วนนับไม่ถ้วนจนน่าตกใจ
สายตาของเซี่ยเซิงเซียวเลื่อนลงไปหยุดที่ลำตัวท่อนล่างของสตรีสองนางแล้วเบนออกไปทางอื่นทันใด สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
เดรัจฉานพวกนั้นไม่เห็นสตรีพวกนี้เป็นคนแล้วจริงๆ!
เซี่ยเซิงเซียวสวมเสื้อผ้าให้สตรีสองนางด้วยมือที่สั่นเทา ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาราวกับยังเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าอยู่ในป่าตลอดคืน นางบอกด้วยสุ้มเสียงแหบแห้ง “เยี่ยลั่ว ข้าแต่งกายให้พวกนางเรียบร้อยแล้ว เจ้ามาช่วยกันเถอะ”
เยี่ยลั่วก้าวเข้ามาก้มตัวลงอุ้มสตรีนางหนึ่งขึ้นโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ขณะที่เซี่ยเซิงเซียวอุ้มอีกคนไว้ จากนั้นทั้งคู่เดินตามหลังกันออกไป
“ท่านแม่ทัพ พาตัวสตรีสองนางออกมาแล้ว”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “จัดคนสองคนพาพวกนางส่งกลับไปบนเรือก่อน ส่วนเจ้านำกำลังเป็นกลุ่มๆ ออกสำรวจสภาพบนเกาะต่อ”
“น้อมรับคำสั่ง”
“คุณหนูเซี่ยจะกลับเรือไปพร้อมกันหรือไม่”
“ไม่ ข้าจะตามเยี่ยลั่วไปดูว่ายังมีสตรีที่เป็นอย่างนี้อีกหรือไม่”
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน มีคุณหนูเซี่ยอยู่ก็สะดวกขึ้น”
“ข้าไปด้วย” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
ชั่วขณะนี้เป็นตอนที่เซี่ยเซิงเซียวกำลังชิงชังชาววอโค่วถึงที่สุด อันว่าเกลียดเรือนย่อมเกลียดอีกาบนหลังคาเรือน* ฉันใด นางก็พลอยชังน้ำหน้าบุรุษทุกคนไปด้วยฉันนั้น พอได้ยินคำนี้นางปรายตามองหยางโฮ่วเฉิงพร้อมกับเหยียดปากยิ้มหยันๆ
หยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้น ไฉนสตรีผู้นี้ยุ่งยากอย่างนี้ เขาบอกว่าจะรับผิดชอบนางกลับไม่ต้องการ ครั้นไม่รับผิดชอบนางก็ทำหน้าบึ้งปั้นปึ่งใส่ ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่
“ทางนี้ยังมีหญิงสาวอีกหลายคน!” เสียงตะโกนบอกด้วยความตกใจขององครักษ์ดังมาจากที่ไม่ไกลนักอย่างฉับพลัน
เซี่ยเซิงเซียววิ่งไปทางนั้นอย่างว่องไว นางเห็นองครักษ์ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าสับสนปนเปก็รีบอ้อมตัวเขาแล้วเปิดประตูออก
นางมองเข้าไปข้างในแวบเดียวก็หันหลังกลับทันที หัวใจเต้นถี่รัวไม่หยุด
“มีอะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงชะเง้อชะแง้อย่างฉงนใจ
เซี่ยเซิงเซียวผลักเขาออกไปเลย นางพูดเสียงห้วน “ห้ามดู!”
ใบหน้าของเขานิ่งค้างไป “ข้า…ข้าเห็นแล้ว…”
ให้ตายเถอะ ข้ามองเห็นอะไรนี่!
หญิงสาวหลายคนไม่ได้สวมเสื้อผ้า บนตัวเปรอะเปื้อนคราบราคีคาวเต็มไปหมด…ไม่ได้ๆ ขืนคิดต่อไป เขาคงไม่อยากตบแต่งภรรยาไปตลอดชีวิตแล้ว!
“เดรัจฉานพวกนั้น!” หยางโฮ่วเฉิงชกกรอบประตูสุดแรงทีหนึ่ง
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าเข้าไปดูเอง” ครู่ใหญ่ต่อมาเซี่ยเซิงเซียวถึงฝืนสงบอารมณ์ลงได้ นางกัดฟันกรอดๆ ก้าวขาเดินเข้าไป
หลังจากใช้นิ้วอังที่จมูกไปทีละคน สุดท้ายหญิงสาวก็น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นางเดินออกจากห้องแล้วสั่นศีรษะ “ตายหมดแล้ว”
หญิงสาวในห้องเคยเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่บิดามารดาหวงแหนทะนุถนอม หรือเป็นสตรีในดวงใจที่เด็กหนุ่มบางคนแอบหลงรัก แต่ตอนนี้พวกนางล้วนจบชีวิตแล้ว ซ้ำยังจบชีวิตอย่างน่าอนาถเพียงนี้ โดนบุรุษย่ำยีจนขาดใจตาย!
นางคับแค้นใจนักที่ไม่ได้สละเลือดทุกหยาดหยดเพื่อฆ่าล้างชาววอโค่วพวกนั้นให้สิ้นซาก
“คุณหนูเซี่ย ท่านร้องไห้หรือ”
“ข้าเปล่า” เซี่ยเซิงเซียวเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็ว สาวเท้าก้าวใหญ่ผ่านข้างกายหยางโฮ่วเฉิงไป
เขาออกเดินตามไปแล้วกล่าวเสียงขรึม “ท่านวางใจได้ ตราบเท่าที่ต้าเหลียงไม่สิ้นชายชาติทหาร ช้าเร็วชาววอโค่วเหล่านี้ก็ต้องโดนขับไล่ออกไปดุจเดียวกับชาวต๋าจื่อที่แดนเหนือ”
หลังจากภารกิจคราวนี้สำเร็จลุล่วงเขาต้องเข้าสู่สนามรบให้ได้ จะไม่เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่เที่ยวเตร่หาความสำราญไปวันๆ อีกต่อไป
เซี่ยเซิงเซียวหัวเราะแล้ว “ทว่าชาววอโค่วพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวต้าเหลียงนะ”
หยางซื่อจื่อถึงกับสะอึกไป เขารำพึงในใจอย่างหงุดหงิดเจียนคลั่ง สตรีผู้นี้ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลยจริงๆ!
เพลานี้เององครักษ์สองสามคนพาคนผู้หนึ่งเข้ามาพร้อมกล่าวรายงาน “ท่านแม่ทัพ จับเป็นได้คนหนึ่งขอรับ”
* เกลียดเรือนย่อมเกลียดอีกาบนหลังคาเรือน เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อเกลียดใครสักคนย่อมเกลียดไปถึงคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย