หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 476
บทที่ 476
หมอเทวดาหลี่หัวร่ออย่างเบิกบานใจ เสียงหัวเราะของเขาแฝงไว้ด้วยความสาสมใจอย่างบอกไม่ถูกระลอกหนึ่ง
ทุกคนกระหายใคร่รู้มากขึ้น
“ท่านปู่หลี่ ตกลงว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่เจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่หัวเราะจนพอใจแล้วมองไปทางเฉียวเจา “แม่หนูเจา เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้านึกโยงกันได้อย่างไรว่าอาการของพวกเขาเป็นพิษสุนัขบ้ากำเริบ”
พิษสุนัขบ้าหาใช่อาการป่วยที่พบได้บ่อย อีกทั้งตอนเริ่มต้นกำเริบจะถูกวินิจฉัยผิดได้อย่างง่ายดายมากว่าโดนลมเย็นทั่วไป แม้ว่าแม่หนูเจาจะเป็นทายาทผู้สืบทอดของเขาแต่กลับมีประสบการณ์ไม่มากพอ นางสามารถนึกโยงกันว่าคนพวกนี้โดนพิษสุนัขบ้าได้มิใช่ธรรมดาเลย
เฉียวเจาคลี่ยิ้มพูดอธิบาย “ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกข้าช่วยหญิงสาวได้หลายคน หนึ่งในนั้นตัวร้อนจับไข้แบบอาการของโดนลมเย็น ผลปรากฏว่าไม่นานนักก็เริ่มคลุ้มคลั่งกัดคน ข้าถึงคิดได้ว่านางโดนพิษสุนัขบ้า และเมื่อคิดถึงว่าหญิงสาวเหล่านี้หนีออกมาจากเกาะหมิงเฟิงก็เดาได้ไม่ยากแล้วเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ดื่มน้ำชาคำหนึ่งก่อนรำพึงเบาๆ “มีคนช่วยแม่เด็กน้อยพวกนั้นไว้จริงๆ หรือนี่”
เฉียวเจาฉุกใจนึกไปถึงคำบอกเล่าของเซี่ยเซิงเซียว นางเอ่ยถาม “หรือว่าคนที่แอบปล่อยแม่นางพวกนั้นคือท่าน”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า
หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าเลื่อมใส “ท่านหมอเทวดาเป็นคนดีจริงๆ!”
“ข้าแค่ชี้ทางรอดให้แก่พวกนางเท่านั้น เป็นพวกนางที่คว้าโอกาสหนีออกมาและโชคดีที่ได้พบกับพวกเจ้า” หมอเทวดาหลี่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ในสภาพการณ์เฉกนั้นนอกจากเปิดประตูบานหนึ่งให้พวกนาง เขาก็ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้เหมือนกัน
“ผู้เยาว์สงสัยใคร่รู้อยู่บ้างว่าท่านหมอเทวดาเปิดประตูให้แม่นางพวกนั้นโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้เช่นไรขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวถาม
ชายชราลูบเคราพลางพูดแฝงนัยลึกล้ำ “เรื่องนี้น่ะหรือ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการป่วยที่คล้ายสุนัขบ้าของคนพวกนั้น”
ครั้นได้ยินหมอเทวดาหลี่กล่าวเช่นนี้ทุกคนบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ต่างจ้องเขาตาเขม็งไปตามๆ กัน
เขากลับละเลียดดื่มชาคำหนึ่งก่อนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของวิชาแพทย์ ข้าบอกแม่หนูเจาได้เท่านั้น”
เขาพูดจบแล้วดื่มชาไปเรื่อยๆ ไม่กล่าววาจาอีก
“ไม่จริงกระมัง” หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้าง เขานอนหลับไปตื่นหนึ่งพร้อมความหวังเต็มอก ตอนนี้กลับบอกเขาเช่นนี้
ฉือชั่นทำหน้ามุ่ยดุจเดียวกัน
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “สือซี ฉงซาน ในเมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราออกไปเถอะ”
สหายรักวัยเยาว์ทั้งสองต่างนั่งนิ่งไม่ขยับ พวกเขาไม่ออกไปหรอก พวกเขาอยากฟังความลับ!
“ไปได้แล้ว” ถึงแม้เซ่าหมิงยวนจะมองไม่เห็น แต่อาศัยการฟังก็รู้ว่าสองสหายรักนั่งอยู่ที่ใด เขาดึงหูทั้งคู่ด้วยปลายนิ้วของมือคนละข้างลากตัวออกไปข้างนอก
“เซ่าหมิงยวน เจ้าอยากตายรึ” ฉือชั่นโกรธจัด
เจ้าคนบัดซบผู้นี้ถึงกับดึงหูเขา มีแต่พระมารดาองค์หญิงใหญ่ถึงเคยทำกับเขาเช่นนี้ตอนเด็กๆ!
หยางโฮ่วเฉิงเบ้ปากยกมือขึ้นปกป้องใบหู “ปล่อยเร็วเข้าๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
เซ่าหมิงยวนคลายมือออก กล่าวด้วยสีหน้าขอลุแก่โทษ “ขอโทษด้วย ข้ามองไม่เห็น”
เขาก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ถ้ามือไม่บาดเจ็บคงหิ้วตัวพวกเขาด้วยมือคนละข้างออกไป ตอนนี้ใช้ได้แค่ปลายนิ้วก็เลยต้องดึงหูแล้ว
พอได้ยินเซ่าหมิงยวนบอกเช่นนี้สหายรักวัยเยาว์ทั้งสองคลายโทสะลงดังคาด ฉือชั่นพูดเสียงลอดไรฟัน “รอตาเจ้าหายดีแล้วพวกข้าค่อยคิดบัญชีนี้อีกที”
ตาบอดแล้ววิเศษวิโสนักรึ ไม่เพียงหาภรรยาได้แล้ว ยังจะดึงหูข้าอีก!
ภายในโถงเงียบเชียบลงทันใด เฉียวเจาเพ่งมองหน้าประตูพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปาก
หมอเทวดาหลี่ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้านาง “ใจลอยไปที่ใดแล้ว”
เฉียวเจากะพริบตาทีหนึ่งแล้วดึงสายตากลับมา
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าหนุ่มนั่นดีถึงเพียงนี้ ทำให้เจ้ามองจนไม่วางตา”
เฉียวเจาแย้มปากออกเป็นรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าบางครั้งเขาก็เจ้าเล่ห์แสนกลนัก”
หมอเทวดาหลี่เอานิ้วมือเคาะกับพื้นโต๊ะพลางพูดอย่างไม่แยแส “เจ้าเล่ห์แสนกลน่ะไม่เป็นไร ขอแค่อย่าใช้มันกับเจ้าเท่านั้นเป็นพอ หาไม่แล้วตอนนี้รักษาดวงตาเขาหายดีได้ ข้าก็ทำให้เขาตาบอดได้เช่นกัน”
เฉียวเจาไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี “ท่านปู่หลี่ ท่านช่วยรักษาดวงตาให้เขาโดยไวเถอะ เขาเป็นอย่างนี้ไม่สะดวกจริงๆ”
หนนี้วางตัวนางลงในถังน้ำเพราะดีใจ คราวหน้าไม่แน่ว่าอาจจะวางตัวนางลงตรงที่ใดอีก
“จะร้อนใจด้วยเหตุใด ร้อนใจกว่านี้ใช่ว่าเจ้าจะออกเรือนได้ทันที อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ปักปิ่นนะ” หมอเทวดาหลี่ชายตามองนางแวบหนึ่งก่อนพูดเป็นเชิงตักเตือน “แม่หนูเจา ท่านปู่หลี่อยากเตือนเจ้าสักคำว่าก่อนย่างสิบแปดเต็ม อย่าเพิ่งมีบุตรจะดีที่สุด”
ร่างใหม่ที่เป็นแม่หนูเจาคืนวิญญาณกลับมานี้อ่อนแอแต่กำเนิด ซ้ำโครงกระดูกยังเรียวเล็ก ถ้าตั้งครรภ์แต่อายุน้อยจะเป็นอันตรายได้
อืม รอตอนแม่หนูเจากับเจ้าหนุ่มผู้นั้นแต่งงานกัน ข้าต้องพูดกระหนาบเจ้าหนุ่มนั่นสักหน่อย
เฉียวเจาหน้าแดงซ่าน แม้นนางจะรู้ว่าหมอเทวดาหลี่ตักเตือนนางในฐานะผู้เป็นหมอ ทว่าการพูดคุยเรื่องนี้ยังคงน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง
“ได้ยินหรือยัง” หมอเทวดาหลี่ไม่สนใจว่าเฉียวเจาจะกระดากอายหรือไม่ เขายกมือเคาะหน้าผากนางทีหนึ่ง
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” นางกุมหน้าผากเอ่ยตอบอย่างว่านอนสอนง่าย
หมอเทวดาหลี่ถึงพยักหน้าอย่างพอใจ
“ท่านปู่หลี่ ท่านยังไม่ได้เล่าว่าเกิดเรื่องอะไรกับคนบนเกาะพวกนั้น เหตุใดพวกเขาถึงคลุ้มคลั่งพร้อมกัน หรือจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับถูกสุนัขบ้ากัด”
“จะบอกว่าเกี่ยวก็เกี่ยว บอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว”
“ท่านปู่หลี่ ท่านอย่าพูดเป็นปริศนาสิเจ้าคะ”
“แม่หนูเจา เจ้าอ่านตำราแพทย์ที่ข้าทิ้งไว้ให้ก่อนออกจากเมืองหลวงเล่มนั้นแล้วกระมัง”
เฉียวเจาพยักหน้า
“แล้วบทที่สิบแปดเขียนเนื้อความอะไรไว้”
เฉียวเจากล่าวอย่างไม่ต้องหยุดคิดทบทวน “บทที่สิบแปดเอ่ยถึงศาสตร์พิสดารอย่างหนึ่ง สามารถใช้คำพูดหรือท่าทางทำให้คนผู้หนึ่งเกิดภาพหลอน หรือนึกว่าตนเองกลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง หรือทำพฤติกรรมเหลือเชื่อบางอย่างได้…”
นางท่องเนื้อความที่บันทึกไว้บทนั้นรอบหนึ่งโดยไม่ตกหล่นสักคำ จากนั้นทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย “แต่ตอนท้ายของบทนั้นท่านเอ่ยไว้ว่าศาสตร์พิสดารนี้ยังอยู่ในขั้นเรียนรู้ ขณะนี้ยังจับเคล็ดสำคัญไม่ได้ หรือจะบอกว่า…”
หมอเทวดาหลี่เปล่งเสียงหัวร่อ “ความจริงข้าเคยลองใช้ศาสตร์พิสดารนี้มาก่อน ตอนนั้นมีคนผู้หนึ่งแขนเน่าจนเนื้อตายจำเป็นต้องตัดทิ้ง แต่การศึกษายาหมาเฟ่ยส่านยังไม่ประสบผล ดังนั้นข้าทดสอบศาสตร์พิสดารนี้ดู ชักจูงจิตใจเขาให้เชื่อว่าไม่เจ็บปวด ผลปรากฏว่าสำเร็จแล้ว…”
เฉียวเจารับฟังอย่างตื่นตะลึง
หมอเทวดาหลี่เปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลัน “แต่ข้ายังอยู่ในขั้นเรียนรู้ศาสตร์นี้อยู่ โอกาสสำเร็จต่ำมาก จึงได้เอ่ยถึงมันในตำราแพทย์เล่มนั้นไว้สั้นๆ เพียงไม่กี่คำ หลายเดือนก่อนตอนข้าพลัดเข้าไปอยู่ในที่กบดานของชาววอโค่ว อาศัยวิชาแพทย์รักษาชีวิตไว้ได้ แต่พอเห็นพฤติกรรมของเดรัจฉานพวกนั้นกับตามีหรือจะเต็มใจรักษาโรคให้พวกนั้นได้อีก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งข้าพบว่าสุนัขสีดำบนเกาะตัวหนึ่งมีท่าทางไม่ค่อยปกติ…
ข้าเอาน้ำลายของสุนัขสีดำตัวนั้นฉีดเข้าไปในตัวสุนัขอื่นอีกหลายตัว หลังจากนั้นไม่นานพวกสุนัขก็ทยอยกันแสดงอาการผิดปกติดังคาด ต่อมาก็ง่ายดายอย่างมากรอสุนัขสองสามตัวนั่นคลุ้มคลั่งก็เริ่มกัดคนไม่เลือก สุดท้ายมีคนโดนกัดบาดเจ็บโดยไม่ทันระวังเป็นจำนวนไม่น้อยในเวลาสั้นๆ”
เฉียวเจามีปัญญาเฉียบแหลม นางตรึกตรองเล็กน้อยก็เริ่มแจ่มแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว คนที่โดนสุนัขกัดบาดเจ็บพวกนั้นไม่ใช่เพราะพิษสุนัขบ้ากำเริบทั้งหมด พวกเขาโดนท่านครอบงำด้วยวิธีบางอย่างถูกหรือไม่เจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่เผยสีหน้าเป็นเชิงว่าเด็กน้อยผู้นี้มีแววดี “ไม่ผิด พวกเขาถูกสุนัขกัดบาดเจ็บแล้วมาให้ข้าทำแผลให้ ข้าก็ฉวยจังหวะชักจูงจิตใจของพวกเขาให้เชื่อว่าเป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่งในเวลาที่พอเหมาะพอดี”
“แต่ว่าท่านกำหนดเวลาที่พวกเขาจะคลุ้มคลั่งอย่างแม่นยำได้เช่นไรกันนะ” เฉียวเจาพูดพึมพำ