หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 479
บทที่ 479
“ท่านไปให้พ้นนะ ไปให้พ้น!” สตรีสองนางนั้นคว้าสิ่งของใกล้มือปาใส่ตัวเฉียวเจาเป็นพัลวัน ขว้างของไปพลางกระถดตัวถอยไปพลาง
เซี่ยเซิงเซียวได้ยินเสียงดังโครมครามก็เดินเข้ามาบังอยู่หน้าตัวเฉียวเจา “คุณหนูหลี พวกเราออกไปก่อนเถอะ อารมณ์ของพวกนางปรวนแปรเกินไป จะทำท่านบาดเจ็บเอาได้”
เฉียวเจาก็ดูออกว่าพวกนางอารมณ์ไม่คงที่อย่างยิ่งยวด ได้แต่ตามเซี่ยเซิงเซียวถอยออกไป
“คุณหนูหลี ข้าช่วยทำแผลให้ท่านเถอะ”
“ไม่เป็นไร ข้ากลับไปให้อาจูทำให้ก็ได้”
เฉียวเจากลับถึงห้องของตนแล้วเอ่ยสั่งอาจู “ไปเอาสุราฤทธิ์แรงกับยาขี้ผึ้งมาที”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป” ปิงลวี่ถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
พอเฉียวเจาถกแขนเสื้อขึ้น ปิงลวี่ร้องอุทานในลำคออย่างสุดระงับ “รอยฟันลึกจนเลือดออกเลยหรือนี่! เป็นฝีมือเจ้าลูกเต่าตัวใดเจ้าคะ”
“อย่าโวยวายไม่เข้าเรื่อง” เฉียวเจาเอ็ดเสียงเบาๆ
ในตอนนี้เองมีเสียงดังมาจากนอกประตู “เจาเจา เจ้าอยู่ในห้องใช่หรือไม่”
เฉียวเจายังไม่ทันพูดตอบปิงลวี่ก็วิ่งปรูดไปถึงหน้าห้อง เปิดประตูออกแล้วพูดฟ้องเซ่าหมิงยวน “ท่านแม่ทัพ ไม่รู้ว่าใครกัดแขนคุณหนูของพวกข้าจนเลือดออก รอยฟันลึกมากเจ้าค่ะ…”
“ปิงลวี่” เฉียวเจาทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย
สาวใช้น้อยผู้นี้ก็ปากไวเหลือเกิน เรื่องเล็กเท่านี้จะบอกกับเซ่าหมิงยวนด้วยเหตุใดกันเล่า
ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วรี่เข้ามา เพราะเขาเดินเร็วเกินไปและมองไม่เห็น ส่งผลให้ตัวชนเข้ากับมุมโต๊ะอย่างจัง
เฉียวเจารีบลุกขึ้นประคองเขา “ตามองไม่เห็นก็อย่าใจร้อนเช่นนี้สิ”
“เป็นแผลที่แขนข้างใด สาหัสหรือไม่” เซ่าหมิงยวนคว้าข้อมือของนางไว้พลางถาม
อาจูซึ่งหยิบของกลับมายืนอยู่หน้าประตูไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือถอยหลังดีไปชั่วขณะ
“ถูกคนกัดทีเดียวจะสาหัสสักเพียงใดกันเชียว” เฉียวเจาพูดปลอบบุรุษที่เจียนคลั่งให้สงบลงแล้วส่งเสียงเรียก “อาจู เข้ามาใส่ยาให้ข้าเถอะ”
“เจ้าค่ะ” อาจูถึงย่างเท้าเข้าห้อง
“ถิงเฉวียน หรือไม่อีกประเดี๋ยวท่านค่อยมาใหม่อีกทีหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “ข้ามองไม่เห็น”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกๆ
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ตาบอดกลายเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ไปเสียแล้ว
อาจูทำแผลให้เฉียวเจาเสร็จเรียบร้อยอย่างว่องไว จากนั้นออกจากห้องไปอย่างรู้กาลเทศะมาก
“ท่านปู่หลี่ตรวจอาการที่ตาท่านแล้วหรือ ท่านปู่หลี่ว่าอย่างไรบ้าง”
เซ่าหมิงยวนไม่สนใจคำพูดของนางพลางเอ่ยถามว่า “เป็นสตรีสองนางที่พากลับมาจากเกาะหมิงเฟิงกัดเจ้าเป็นแผลใช่หรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย “ท่านเดาได้หรือ”
“เดาได้ไม่ยาก คนของพวกเราล้วนเป็นปกติดี พวกสตรีก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปัญหาใด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือสตรีที่เพิ่งกลับมาสองนางนั้น”
“เป็นพวกนางคนหนึ่งที่กัดข้า แต่ยามนี้อารมณ์ของพวกนางไม่ปกติมาก เรื่องที่ทำลงไปในเวลาขาดสติจะมีอันใดน่าถือสาหาความกัน”
เซ่าหมิงยวนจับมือนางขึ้นมาชิดริมฝีปากแล้วจูบเบาๆ เขากล่าวทอดถอนใจ “เจ้าไม่ถือสาหาความ แต่ข้าปวดใจ”
เฉียวเจาหน้าแดงรีบดึงมือคืน “พูดเรื่องสำคัญเถอะ”
บางทีเพราะใกล้จะขับพิษไอเย็นออกได้จนเกลี้ยง เรียวปากของคนผู้นี้จึงร้อนผ่าวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สัมผัสโดนผิวกายแล้วชวนให้ว้าวุ่นใจทำอะไรไม่ถูก
เซ่าหมิงยวนจับมือนางไว้ไม่ปล่อย “เรื่องสำคัญคือเจ้าสมควรทบทวนตนเองได้แล้ว”
“ทบทวนตนเองเรื่องอะไร” เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง
เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ยึดติดกับพื้น ออกแรงนิดเดียวดึงตัวนางเข้ามาหาโดยไม่พูดไม่จา
เฉียวเจาล้มลงบนตักเขา พอนางรู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมที่ไร้ช่องว่างก็ดิ้นขลุกขลักอย่างแตกตื่น
เซ่าหมิงยวนกลับยึดตัวนางไว้แน่นไม่ให้ขยับ เขาเม้มปากแน่นแล้วกล่าวว่า “เจาเจา ตอนนี้ข้าเริ่มโมโหอยู่สักหน่อย”
นางหยุดดิ้นขัดขืน นั่งนิ่งอยู่บนต้นขาเพรียวยาวแข็งแน่นทรงพลังของชายหนุ่ม ไต่ถามอย่างอดใจไม่อยู่ “ท่านโมโหอะไร ข้าทำอย่างนั้นมีเหตุผล…”
เขาตัดบทเฉียวเจา ใช้ปลายนิ้วจับมือนางมาตบหน้าตนเองทีหนึ่ง “ข้าโมโหตนเองที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดีอยู่ร่ำไป”
ขณะที่เด็กสาวตะลึงงันอยู่ เขาโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับพูดเสียงต่ำ “เจาเจา ข้ายอมให้ตนเองโดนแทงดีกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าเป็นสตรี ต่างจากบุรุษวัยฉกรรจ์หัวแข็งหนังหนาอย่างพวกข้า เจ้าสมควรทบทวนตนเองให้มากๆ ว่าเหตุใดถึงตกอยู่ในอันตรายง่ายดายนัก”
ได้ยินคำพูดของเขาแล้วตรงกลางอกของเฉียวเจาอุ่นผะผ่าว แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า นางผลักคนที่กอดนางไว้ออกเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “แม่นางสองคนนั้นได้รับความสะเทือนใจครั้งใหญ่ ข้าเคยพบคนป่วยในลักษณะนี้มาก่อน เป็นเด็กชายน้อยผู้หนึ่งที่จิตใจกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเพราะเห็นบิดาแท้ๆ สังหารมารดาต่อหน้าต่อตา เริ่มแรกพอเขาเห็นคนเข้ามาใกล้จะถอยหนีหรือไม่ก็ตะโกนโวยวายเช่นเดียวกับพวกนาง หลังเป็นเช่นนี้ระยะหนึ่งเด็กชายผู้นั้นก็นิ่งเงียบไปและไม่อ้าปากพูดกับใครอีกเลย…”
เฉียวเจาเล่าเรื่องที่เคยพบเจอในกาลก่อนนานมาแล้วด้วยน้ำเสียงนุ่มเบา “ครั้งนั้นท่านปู่หลี่บอกกับข้าว่าคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจมาอย่างหนักหน่วง ในช่วงเวลาที่เขามีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และยังแสดงอาการตอบสนองกับสิ่งรอบข้างได้ จะต้องพยายามปลอบประโลมจิตใจของเขาอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ เป็นไปได้มากว่าคนผู้นั้นจะปิดกั้นความคิดจิตใจไม่รับรู้สิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป”
“จะเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มกล่าว “ท่านอยู่แดนเหนือเคยช่วยสตรีที่โดนประทุษร้ายมากมายอย่างนั้น หรือว่าไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า “ตอนนั้นพอช่วยไว้แล้วก็จากมา ไหนเลยจะรู้ภายหลังว่าสตรีเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ “แม่นางสองคนนี้ไม่เหมือนกับสตรีที่ประสบเคราะห์ภัยทางแดนเหนือหรอกหรือ พวกนางถูกจับไปที่เกาะหมิงเฟิง โดนย่ำยีทารุณเหมือนมิใช่มนุษย์ซ้ำๆ ความบอบช้ำในจิตใจมิใช่คนทั่วไปจะนึกภาพออกได้ ข้าหวั่นใจว่าพวกนางจะกลายเป็นอย่างเด็กชายผู้นั้น มันจะเป็นความโชคร้ายใหญ่หลวงของพวกนาง และเป็นผลเสียต่อพวกเราเช่นกัน”
เมื่อเห็นเซ่าหมิงยวนไม่เปล่งเสียงพูด นางจึงเอ่ยอธิบายต่อ “พวกนางอยู่บนเกาะหมิงเฟิงมานาน ไม่แน่ว่าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่พวกเราต้องการก็เป็นได้ ท่านเห็นว่าอย่างไร”
“คนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังใช่ว่าจะมีพวกนางแค่สองคน ไม่คุ้มค่าที่เจ้าเอาตัวเข้าเสี่ยงภัย”
“ก็ถือเสียว่าข้าเวทนาพวกนางเถอะ สตรีที่อายุมากกว่าผู้นั้น ข้ากับนางเคยมีโอกาสพบหน้ากันครั้งหนึ่ง”
นี่กลับนอกเหนือความคาดหมายของชายหนุ่ม “พวกเจ้าเคยเจอกันหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้า “หากข้าจำไม่ผิด บิดาของนางน่าจะเป็นผู้ตรวจการอยู่ใต้อาณัติของบิดาข้าเอง หลายปีก่อนเขาเดินทางไปรับตำแหน่ง เมื่อผ่านมาทางจยาเฟิงเคยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ข้า ตอนนั้นข้าจะไปข้างนอกพอดี ตอนออกจากเรือนพวกเขากำลังจะกลับก็เลยพบหน้ากันครู่เดียว แต่เวลานั้นนางยังไม่เจริญวัยเต็มที่ ขณะนี้ยังผอมจนหนังหุ้มกระดูกจากการโดนทารุณทรมาน ข้าก็พิศดูอยู่นานกว่าจะจำได้”
“บิดาเป็นถึงผู้ตรวจการ นางกลับตกอยู่ในมือชาววอโค่ว…”
เฉียวเจาพูดด้วยสีหน้าขึงขัง “เบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ต้องมิใช่เรื่องเล็กๆ เป็นแน่ ดังนั้นข้าไม่อาจมองดูพวกนางเดินเข้าสู่หนทางที่เป็นการทำลายตนเองต่อหน้าต่อตา ท่านอย่าถือสาหาความเรื่องพวกนี้เลยนะ ถ้าเป็นอันตรายมากจริงๆ ข้าไม่มีวันทำเช่นนี้หรอก”
ดวงหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มฉายแววตึงเครียด เขากอดเด็กสาวไว้แนบแน่น “หนนี้ไม่ถือสาหาความก็ได้ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีก…”
“เหตุใดหรือ” เฉียวเจาถามโดยไม่ทันคิดอะไร
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง”
ทั้งที่เขามองไม่เห็น แต่พอพูดคำนี้พร้อมรอยยิ้มเช่นนี้ เฉียวเจากลับวางไม้วางมือไม่ถูกไปหมด นางลุกลนผลักเขาออก “เซ่าหมิงยวน ท่านปล่อยตัวข้าลงได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องพูด…”
“เจ้าพูด”
“ท่านทำเช่นนี้ข้าจะพูดอย่างไร”