หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 48
เสียงฝีเท้าของภิกษุต้อนรับเบามาก พลอยทำให้เสียงลมหายใจของหลีเจียวเบาลงตามไปด้วย
มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางเริ่มนึกเสียใจภายหลัง
จะถูกจับได้หรือไม่นะ หลีเจียวชักหนักใจ
ภิกษุของวัดต้าฝูทำหน้าที่ต้อนรับสตรีในตระกูลมั่งมีสูงศักดิ์มาเป็นเวลานาน รู้จักอ่านสีหน้าคนอยู่มาก เขาเห็นดังนั้นก็กล่าวปลอบ สีกาน้อยไม่ต้องตื่นเต้น ซือไท่เป็นคนใจดีมีเมตตา
ท่านซือฟู่เคยพบอู๋เหมยซือไท่หรือเจ้าคะ
ภิกษุส่ายหน้ายิ้มๆ อาตมาไม่มีวาสนาได้พบ เคยได้ยินพระอาจารย์อาเคยเอ่ยถึง นานหลายปีแล้วที่ซือไท่ไม่พบคนนอก สีกาน้อยได้พบกับซือไท่อย่างหาได้ยากจริงๆ
ได้ฟังภิกษุต้อนรับกล่าวอย่างนี้ ความรู้สึกเสียใจภายหลังอันน้อยนิดของหลีเจียวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยทันใด
จะกลัวอะไร เป็นท่านย่าเรียกนางออกมา ส่วนคนที่เห็นคัมภีร์พระธรรมซึ่งเขียนด้วยลายมือนี้มีแต่คนในจวนสกุลหลีกับวัดต้าฝู ตราบเท่าที่นางปิดปากสนิทไม่บอกเสียอย่าง ซือไท่ท่านนั้นจะรู้ว่าเป็นการสวมรอยแทนได้เช่นไร นางยังไม่เคยได้ยินว่าเพราะมีทักษะเขียนอักษรและวาดภาพล้ำหน้าผู้อื่นแล้วให้จับพู่กันแสดงฝีมือต่อหน้า ขอแค่ผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ภายภาคหน้าในหมู่สตรีชนชั้นสูงของเมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นเกินหน้านางได้
หลีเจียวคิดคำนึงเช่นนี้แล้วให้กำลังใจตนเอง
ภิกษุต้อนรับหยุดฝีเท้าตรงหน้าประตูอารามซูอิ่ง ภิกษุณีวัยกลางคนท่านหนึ่งรับคัมภีร์พระธรรมที่เขียนด้วยลายมือไปแล้วพาหลีเจียวก้าวเข้าประตู
เด็กสาวยากจะเก็บงำความอยากรู้อยากเห็น นางลอบชำเลืองหางตามองสำรวจสภาพโดยรอบ พลางนึกในใจว่าหลังจากมาเยือนอารามซูอิ่งคราหนึ่งนี้ วันหน้านางจะมีเรื่องให้พูดคุยบอกเล่ากับผู้อื่นมากมาย อย่างน้อยๆ คนนอกก็ไม่เคยได้เห็นสภาพข้างในนี้
หลีเจียวคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตลอดทาง กว่าจะดึงตนเองออกจากภวังค์ ภิกษุณีก็พานางมาถึงเบื้องหน้าอู๋เหมยซือไท่แล้ว
นี่ก็คือคุณหนูท่านนั้นหรือ อู๋เหมยซือไท่อ้าปากพูด น้ำเสียงเรียบเฉยสงบนิ่ง ไร้อารมณ์ทางโลกปะปนอยู่แม้สักกระผีก
พระอาจารย์ใหญ่ นี่ก็คือคุณหนูรองสกุลหลีที่คัดลอกพระธรรมเล่มนี้ ภิกษุณียื่นคัมภีร์เล่มนั้นถวายให้แก่อู๋เหมยซือไท่อย่างเคารพนอบน้อม
อู๋เหมยซือไท่ยื่นมือรับมันมาลูบเบาๆ อย่างหวงแหนทะนุถนอม จากนั้นส่งยิ้มให้หลีเจียว สีกาน้อยก้าวมาข้างหน้า
หลีเจียวตกประหม่าทันใด นางลุกลนแสดงคำนับอู๋เหมยซือไท่
อู๋เหมยซือไท่แย้มยิ้ม ไม่ต้องมากพิธี อาตมาไม่คิดว่าเจ้าจะเยาว์วัยเพียงนี้
นางชี้ที่คัมภีร์ในมือพลางไต่ถามหลีเจียว นี่เป็นสีกาน้อยเขียนด้วยลายมือหรือ
เด็กสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นางรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงตอบคำหนึ่ง เจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่มองนาง ดวงตาแฝงอารมณ์ที่นางอ่านไม่ออกไหวกระเพื่อมอยู่
ในห้องไร้สุ้มเสียง หลีเจียวถึงขั้นอุปาทานไปเองว่าซือไท่หรืออดีตองค์หญิงใหญ่ท่านนี้จะมองดูไปเรื่อยๆ ตราบนานเท่านาน นางลอบกำมือเป็นหมัดแน่น อุ้งมือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แม้จะเป็นอักษรตัวบรรจง แต่ยากจะปิดบังความพลิ้วไหวอ่อนช้อยไว้ได้ อู๋เหมยซือไท่พูดพึมพำ ใต้หล้านี้คนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ นางรู้จักแค่คนเดียว
หลีเจียวเงยหน้าขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เพราะคำชมเชยนี้ นางทำใจกล้าพิศดูรูปโฉมของอู๋เหมยซือไท่
สีหน้าแววตาของซือไท่นิ่งสนิทเฉยเมย ท่วงท่ากิริยาสง่างามเหนือใคร ริ้วรอยจางๆ ตรงหางตาเสริมส่งความงดงามเยือกเย็นข้ามกาลเวลา ทำให้คนคาดเดาอายุไม่ออก
เมื่อครั้งวัยเยาว์ อู๋เหมยซือไท่ต้องเป็นคนงามที่หาพบได้เพียงหนึ่งในหมื่นเป็นแน่ หลีเจียวอดทึ่งไม่ได้
องค์หญิงผู้ทรงศักดิ์ ยอดสตรีแห่งยุค เหตุใดบุคคลเฉกนี้ถึงปลงผมออกบวชได้เล่า
หลีเจียวกำลังสะทกสะท้อนใจอยู่ ได้ยินอู๋เหมยซือไท่เอ่ยถาม สีกาน้อย ท่องบทกลอน ‘เชิญร่ำสุรา’ ของอุบาสกแห่งชิงเหลียน* ได้หรือไม่
ได้เจ้าค่ะ หลีเจียวยิ้มน้อยๆ อย่างสุดระงับ
ผลงานชิ้นเอกที่ตกทอดต่อกันมาช้านานนี้ ขอเพียงเป็นผู้เล่าเรียนศึกษาจะมีผู้ใดท่องไม่เป็น
มาสิ อู๋เหมยซือไท่ลุกขึ้น
หลีเจาตามนางเข้าไปที่ห้องด้านใน
ด้านในละม้ายโพรงหิมะก็ไม่ปาน มีแค่ตั่งและโต๊ะอย่างละตัวกับเก้าอี้อีกสองสามตัวเท่านั้น
อู๋เหมยซือไท่ชี้ที่โต๊ะ สีกาน้อย อาตมาอยากขอให้เจ้าเขียนกลอน ‘เชิญร่ำสุรา’ ให้หนึ่งบท ไม่รู้ว่าได้หรือไม่
หลีเจียวชะงักกึกทันที
อู๋เหมยซือไท่มองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ทว่าลึกเข้าไปในดวงตาที่นิ่งเฉยกลับมีกระแสอารมณ์ไหวกระเพื่อมอยู่
เลือดฝาดใบบนหน้าของหลีเจียวเลือนหายไปจนหมดสิ้น ดวงหน้างามเฉิดฉันขาวซีดยิ่งกว่าหิมะ
ข้า… นางอ้าปากออก แต่ตรงกลางลำคอคลับคล้ายมีก้อนสำลีติดอยู่ ไม่อาจกล่าวต่อได้อีกสักคำ
อู๋เหมยซือไท่มิได้ส่งเสียงเร่ง แต่สายตาของนางลึกล้ำเหลือเกิน ทำให้หลีเจียวตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะอ้างเหตุผลปฏิเสธ
เหตุผลที่อู๋เหมยซือไท่พบนางเพราะอยากดูนางเขียนอักษร มิใช่หลังจากพบนางแล้วจู่ๆ ก็นึกครึ้มใจอยากให้นางเขียน
สายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างนั้น ทำให้หลีเจียวแข็งใจหยิบพู่กันขึ้นทว่าจดๆ จ้องๆ ไม่จรดปลายพู่กันลงไปเสียที สุดท้ายน้ำหมึกสีดำก็หยดใส่กระดาษสีขาวที่วางปูบนโต๊ะแล้วซึมแผ่ออกไปเป็นวง
หลังน้ำหมึกหยดลงไปก็ตามด้วยเหงื่อเย็นของเด็กสาว
อู๋เหมยซือไท่มุ่นคิ้วนิดเดียว นางแจ่มแจ้งแล้ว
ตั้งแต่หลีเจียวเข้ามาจนขณะนี้ สีหน้าที่สงบนิ่งอยู่ตลอดของสตรีผู้ทรงศีลแปรเปลี่ยนไปในที่สุด
ประหนึ่งหิมะน้ำแข็งแผ่ซ่านกระไอเย็นเยือกคุกคามมา
มือที่จับพู่กันของหลีเจียวเริ่มสั่นระริก จนท้ายที่สุดก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัวเหมือนลูกนกตกน้ำ ไม่หลงเหลือความสง่างามของสตรีสูงศักดิ์ในตระกูลบัณฑิตแม้สักเศษเสี้ยว
อู๋เหมยซือไท่ถอนใจเฮือกอย่างผิดหวัง นางกล่าวสั่งภิกษุณีที่ยืนอยู่ด้านนอก จิ้งซี พาสีกาน้อยผู้นี้ออกไปเถอะ บอกกับศิษย์หลานของวัดต้าฝูว่าพวกเขาพามาผิดคนแล้ว
เจ้าค่ะ ภิกษุณีวัยกลางคนมองหลีเจาที่ยืนแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้อย่างตะลึงงันปราดหนึ่งก่อนลอบส่ายหน้าไปมา สีกา ไปเถอะ
หลีเจียวเดินตามภิกษุณีออกไปด้วยท่าทางเลื่อนลอยราวกับขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงของอู๋เหมยซือไท่พลันดังขึ้นเบื้องหลัง
จิ้งซี พาคนที่ถูกต้องมาหาข้า
จิ้งซีสะดุ้งเฮือกใหญ่ นางกล่าวเสียงอ่อนน้อม เจ้าค่ะ
ทั้งคู่เดินไปจนสุดทางเดินของอารามซูอิ่งในเวลาอันสั้น ภิกษุต้อนรับซึ่งรออยู่ด้านนอกสาวเท้ามาหา
จิ้งซีขมวดคิ้ว ศิษย์น้อง นี่มิใช่สีกาที่เขียนคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้น เจ้าพามาผิดคนแล้ว
ภิกษุต้อนรับมองหลีเจียวด้วยสีหน้าตื่นตะลึง สายตาของเขาทำให้เด็กสาวอยากแทรกแผ่นดินหนี นางถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่
คือ…คือข้าคิดไม่ถึงจริง… เป็นนานพักหนึ่งภิกษุต้อนรับถึงเค้นเสียงพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง
ศิษย์น้องรีบกลับไปเถอะ พระอาจารย์ใหญ่ยังรออยู่นะ
รออยู่? ภิกษุต้อนรับกำลังตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด บันดาลให้ท่าทีตอบสนองเชื่องช้าลงมาก
จิ้งซีอธิบายอย่างอ่อนใจ ก็ย่อมต้องรอศิษย์น้องพาสีกาที่คัดลอกพระธรรมตัวจริงมาที่นี่นะสิ
หลายปีมานี้พระอาจารย์ใหญ่เพิ่งยอมพบคนนอกสักหน ผลปรากฏว่าเกิดข้อบกพร่องพรรค์นี้ ชวนให้ไม่สบอารมณ์จริงๆ
ภิกษุต้อนรับกล่าวรับรองอย่างขึงขัง ศิษย์พี่วางใจได้ คราวนี้ข้าไม่พามาผิดคนอีกเด็ดขาด
จิ้งซีพยักหน้าแล้วหมุนกายเข้าไปในอาราม
ตรงกลางอกของหลีเจียวละม้ายถูกเจาะเป็นโพรงกว้าง โหวงเหวงกลวงเปล่า ฝีเท้าของนางโผเผราวกับเดินอยู่กลางผืนหิมะสุดลูกหูลูกตา
ระหว่างที่กลับไป ไม่มีคนกล่าววาจาปลอบประโลมอีก ประหนึ่งว่าแม้แต่สายลมบนภูเขาสงัดเงียบยังหยุดนิ่งไป
คุณหนูรองสกุลหลีกลับมาแล้ว เสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาจากในวัดระลอกหนึ่ง
ครั้นสายตาปะทะเข้ากับสีหน้าผิดปกติไปของหลีเจียว ทุกคนยิ่งกระหายใคร่รู้มากขึ้น คนที่สะดวกใจก็ตรงไปยังโถงรับรองที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งอยู่ คนที่ไม่สะดวกใจก็ส่งบ่าวไพร่ไปสืบข่าว
ภิกษุต้อนรับพาหลีเจียวย่างเท้าเข้าประตูโถง ด้านในตกอยู่ในความเงียบทันควัน จากนั้นเสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
อุ๊ย คุณหนูรองของพวกเรากลับมาแล้ว มานี่เร็วเข้า ฮูหยินหลี่ยิ้มระรื่นตะโกนเรียก
นายหญิงด้านข้างพูดขัดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เจ้าช่างปากไวนัก ถ้าคุณหนูรองจะไปหาใครก็สมควรไปหาท่านเซียงจวิน วันนี้พวกเรามีบุญได้ฟังคุณหนูรองเล่าสิ่งที่ประสบพบเห็นในอารามก็แอบยิ้มได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินแล้วยากจะเก็บงำรอยยิ้ม จวบจนภิกษุต้อนรับเดินเข้ามาใกล้ถึงสังเกตเห็นว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
ภิกษุต้อนรับแสดงคารวะต่อหญิงชราและขานนามพระพุทธคำหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าเรื่องนี้จะเกิดข้อผิดพลาดอะไรบางอย่างขึ้น คนที่ซือไท่ของอารามซูอิ่งต้องการพบมิใช่คุณหนูท่านนี้
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น ทั้งนอกโถงในโถงเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตก
* อุบาสกแห่งชิงเหลียน เป็นฉายาของหลี่ไป๋ กวีเอกแห่งราชวงศ์ถัง