หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 480
บทที่ 480
เซ่าหมิงยวนวางตัวเฉียวเจาลงอย่างว่าง่ายแล้วหันตัวออกด้านข้าง ใบหน้าเป็นสีแดงเรื่อๆ น่าสงสัย เขาไอเบาๆ ทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พูดสิ”
“ข้ายังจงใจบอกว่าพวกเราเป็นข้าราชสำนัก ตามหลักแล้วบิดาของพวกนางเป็นขุนนาง น่าจะรู้สึกเป็นมิตรกับราชสำนักอยู่ลึกๆ โดยไม่รู้สึกตัว ตอนแรกพวกนางสงบอารมณ์ลงได้แล้ว แต่หลังจากข้าเอ่ยถึงก็ควบคุมสติไม่อยู่อีกทันทีราวกับสะเทือนใจอย่างรุนแรง ถิงเฉวียน ท่านเห็นว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนครุ่นคิดครู่เดียวก็กล่าวขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น เกรงว่าเรื่องที่พวกนางตกอยู่ในมือชาววอโค่วต้องไม่ได้เป็นดังที่เห็นภายนอก เป็นไปได้มากว่าบิดาของพวกนางเจอกับปัญหาใหญ่หรือโดนสังหารไปแล้ว อีกทั้งมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่คนให้ร้ายเขาคือขุนนางที่นี่”
“ข้าคาดเดาไว้เช่นนี้เช่นกัน แต่บิดาของพวกนางเป็นผู้ตรวจการ มาตรว่าจะมีตำแหน่งเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่ก็ทำหน้าที่ตรวจราชการต่างพระเนตรพระกรรณ นำเรื่องที่ได้ยินได้ฟังกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์โดยตรง ดังนั้นจึงเป็นคนที่ได้รับความสำคัญและมีฐานะพิเศษมากภายในท้องถิ่น ถ้าเขามีอันเป็นไปแล้วจริงๆ ทางราชสำนักสมควรได้รับข่าวบ้าง”
เฉียวเจาลอบบีบแขนที่เจ็บแปลบๆ ก่อนกล่าวต่อ “พวกเราอยากจับจุดอ่อนของสิงอู่หยางมิใช่หรือ ไม่แน่ว่าอาจได้พบช่องทางที่จะคืบหน้าไปได้จากแม่นางสองคนนี้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้พวกนางปิดกั้นความคิดจิตใจและสติฟั่นเฟือนไปไม่ได้”
นางกล่าวจบแล้วเห็นเซ่าหมิงยวนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา จึงกระตุกแขนเสื้อเขาพลางเอ่ย “ถิงเฉวียน ท่านว่าอย่างไรเล่า”
เซ่าหมิงยวนถอนใจอย่างจนปัญญา น้ำเสียงเขาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูและตามใจ “ใช่สิ เจ้าพูดมีเหตุมีผลทุกอย่าง ถึงอย่างไรข้าก็เถียงชนะเจ้าไม่ได้”
เขาดึงมือเด็กสาวมาวางทาบตรงกลางอกตน ก่อนพูดเสียงเบาว่า “แต่ข้าทรมานใจ หากเจ้าสงสารไม่อยากให้ข้าเป็นทุกข์ วันหน้าก็ทะนุถนอมตนเองด้วย ได้หรือไม่”
“รู้แล้ว รอดวงตาท่านหายดี ท่านคอยจับตาดูข้าได้เลย” เฉียวเจาพูดด้วยรอยยิ้มละไม
ได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ของนาง เซ่าหมิงยวนพลันอยากเห็นสีหน้าท่าทางของนางประเดี๋ยวนี้เลย เขากล่าวพึมพำ “เจาเจา ยามเจ้าหัวเราะงามชวนพิศยิ่งนัก”
เฉียวเจาเม้มมุมปากเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นหลีเจาที่หัวเราะได้งามชวนพิศ”
เขาจับมือนางไว้ไม่ปล่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “แม้ข้าไม่เคยเห็นท่าทางหัวเราะของเจ้าในร่างเดิม แต่ข้ารู้สึกว่าล้วนงามชวนพิศ”
“กะล่อนปากหวานเสียจริง” เฉียวเจาพูดเบาๆ แต่ปล่อยให้เขากุมมือไว้นิ่งๆ
“ข้ากะล่อนปากหวานไม่เป็น” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าล้วนงามชวนพิศจริงๆ”
เฉียวเจาพิงแขนเขาหมิ่นๆ กล่าวรำพึงขึ้น “เซ่าหมิงยวน รอดวงตาท่านหายดี ข้าจะวาดท่าทางหัวเราะของข้าเมื่อก่อนให้ท่านดูดีหรือไม่”
“ดีสิ พวกเราพูดคำใดคำนั้นนะ”
ภายในห้องเงียบเชียบลง กระไออบอุ่นหวานชื่นไหลวนเวียนอยู่รอบตัว ทั้งสองไม่ปริปากพูดอะไรต่ออีกเป็นนาน
ถึงชาววอโค่วบนเกาะหมิงเฟิงจะโดนปราบปรามแล้ว แต่เรือที่เฉียวเจานั่งอยู่เริ่มหันหัวเดินทางกลับ เหตุผลก็คือมุกนิ่มสำหรับปรุงยาลบรอยแผลชั้นเลิศที่หมอเทวดาหลี่เก็บมาได้ในตอนนั้น เขาพกติดตัวเอาไว้ก็เลยไม่สูญหายไป อีกทั้งมีจำนวนมากเพียงพอ ด้วยเหตุนี้จึงช่วยประหยัดเวลาให้ทุกคนได้อย่างมาก
หลายวันต่อจากนั้นเฉียวเจาไปพูดคุยกับสตรีสองนางนั้นบ่อยๆ นางใช้น้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตรและมีน้ำอดน้ำทนเต็มที่ ท้ายที่สุดทำให้พวกนางลดความหวาดระแวงลง ยอมให้นางเข้าใกล้ตรวจร่างกายให้
หลังตรวจดูแล้วเฉียวเจาลอบตกใจ
ร่างกายของสตรีทั้งสองอยู่ในสภาพย่ำแย่ทรุดโทรมแต่แรกไม่ว่า เด็กสาวคนที่อายุน้อยกว่ายังตั้งครรภ์อีกด้วย!
“เจินเหนียง ท่านอยากออกไปเดินเล่นกับข้าหรือไม่ วันนี้แสงแดดกำลังดี” เฉียวเจาถามหยั่งเชิง
สองสามวันผ่านไปเจินเหนียงใช้วิธีเขียนบนฝ่ามือบอกชื่อของตนกับเฉียวเจาแล้ว
เจินเหนียงมองน้องสาวที่หลับสนิทอยู่แวบหนึ่งก่อนสั่นศีรษะ
เฉียวเจาลอบถอนใจทว่าหาได้ท้อแท้ไม่
มาตรว่าจนบัดนี้สตรีทั้งสองไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีกเลย แต่อย่างน้อยก็มีอาการตอบสนองกับถ้อยคำของนางแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดี สำหรับคนป่วยที่จิตใจบอบช้ำอย่างหนักพรรค์นี้ ผู้เป็นหมอจำต้องค่อยเป็นค่อยไป ใจเร็วด่วนได้เป็นข้อต้องห้ามร้ายแรง
“ถ้าอย่างนั้นท่านอยากไปดูห้องข้าหรือไม่ ที่นั่นมีหนังสือตำรามากมาย ถ้าท่านสนใจสามารถอ่านได้ตามสบาย”
เจินเหนียงตาเป็นประกาย นางจ้องมองเฉียวเจาตาไม่กะพริบ
เฉียวเจารู้ว่าหัวข้อสนทนานี้ดึงความสนใจของเจินเหนียงได้แล้วก็พูดขึ้นทันที “ตำราแพทย์ ตำราพงศาวดาร ตำราหมากล้อม หรือไม่ก็บันทึกการเดินทางกับหนังสือเรื่องเล่าอ่านฆ่าเวลา ข้าล้วนมีหมดเกือบทุกประเภท ท่านอยากไปดูหรือไม่”
ดวงตาของเจินเหนียงมีประกายมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ แต่นางยังคงสั่นศีรษะ
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นท่านบอกข้าว่าอยากอ่านหนังสือประเภทใด ข้าไปหยิบมาให้ท่านดีหรือไม่”
มุมปากของหญิงสาวแต้มด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งประหนึ่งว่าคลื่นลมภายนอกทั้งหลายไม่เกี่ยวข้องกับนาง ที่นี่ก็คือที่กำบังลมฝนเพียงหนึ่งเดียว
เจินเหนียงจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ ชั่วอึดใจนางพลันเปล่งเสียงพูดคำหนึ่ง “ตำราพงศาวดาร”
เฉียวเจาลอบถอนหายใจโล่งอก เผยรอยยิ้มเจิดจ้า “ข้าไปหยิบให้ท่าน”
นางหอบตำราพงศาวดารหลายเล่มมายื่นให้เจินเหนียงอย่างว่องไว
เจินเหนียงคว้าพวกมันไปกอดไว้กับอกแน่นๆ อย่างไม่ทะนุถนอม
ใบหน้าเฉียวเจาไม่แสดงความรู้สึกใด แต่ในใจนึกเสียดายตงิดๆ
หนังสือพวกนี้ล้วนเป็นท่านพ่อรวบรวมให้นางก่อนออกเดินทาง โดนเจินเหนียงกระชากไปจากมือเช่นนี้ คะเนว่าคงสึกหรอไม่น้อย
เจินเหนียงหยิบตำราพงศาวดารเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
เฉียวเจานั่งห่างจากนางไม่ไกลนัก เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เพราะอะไรท่านถึงชมชอบอ่านตำราพงศาวดาร”
ตลอดหลายวันที่มาที่นี่เฉียวเจาพูดอยู่คนเดียวตลอด ขณะที่นางถามคำนี้เดิมก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบ ใครจะรู้ว่าเจินเหนียงกลับเอ่ยขึ้นกะทันหัน “ข้าอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับใต้หล้านี้ ท่านพ่อพูดเสมอว่าใช้ประวัติศาสตร์ต่างกระจกเงาสะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองเสื่อมถอยได้”
“เจินเหนียง…” เฉียวเจาอ้าปากออก
ยามนี้เองนางพลันขว้างหนังสือทิ้งแล้วยกมือปิดหน้าร่ำไห้
จิ้งเหนียงที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้น นึกว่าเฉียวเจารังแกพี่สาวตน นางทำหน้าถมึงทึงจะปรี่เข้าใส่เฉียวเจาอย่างดุร้าย
เจินเหนียงกอดน้องสาวไว้แล้วตบตัวนางเบาๆ “น้องพี่นอนเถอะนะ”
จิ้งเหนียงนิ่งงันไป ชะรอยนางจะอ่อนเปลี้ยถึงที่สุดแล้ว ไม่นานนักก็หลับตาลงช้าๆ
รอจนจิ้งเหนียงหลับสนิท เจินเหนียงหันไปมองเฉียวเจา
เฉียวเจาจับสังเกตได้อย่างเฉียบไวว่าเจินเหนียงได้ร้องไห้ออกมาแล้วสีหน้าท่าทางเริ่มเปลี่ยนแปลงไป นางลอบยินดีอยู่ในใจแต่ไม่กล้าผลีผลามแสดงออกมาให้เห็น เพียงอดทนรอคอยให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูด
หลังความนิ่งเงียบอันยาวนาน เจินเหนียงถามขึ้นด้วยสุ้มเสียงสั่นเทา “พวกท่านเป็นใครกันแน่”
เฉียวเจาประจักษ์แก่ใจว่าถึงเวลาพูดคุยกันอย่างจริงจังแล้ว นางกล่าวตอบ “บิดาข้าเป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต พวกข้ามาจากเมืองหลวง”
“เมืองหลวง?” เจินเหนียงเบิกตากว้างฉับพลัน นางคว้ามือเฉียวเจาหมับแล้วไต่ถามเสียงสูง “จริงหรือ พวกท่านมาจากเมืองหลวงจริงๆ ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า
“แล้วพวกท่านมาที่แถบชายทะเลทำอะไร” เจินเหนียงยังคงไม่คลายความแคลงใจ
“ในเมืองหลวงมีผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งล้มป่วย จำเป็นต้องใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ที่นี่เท่านั้น ดังนั้นข้าถึงมาเสาะหาที่นี่ ส่วนพวกบุรุษบนเรือเป็นองครักษ์จินอู๋ พวกเขาได้รับคำสั่งให้อารักขาข้า”
“องครักษ์จินอู๋?” เจินเหนียงกลอกตาไปมา กระชับมือที่กุมมือเฉียวเจาแน่นขึ้น “องครักษ์จินอู๋คือองครักษ์ประจำพระองค์ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง” เฉียวเจากล่าวโดยไม่ลังเลสักนิด
พวกที่เจินเหนียงหลีกหนีประหนึ่งเป็นอสรพิษคือขุนนางชั่วร้ายทุจริต เช่นนั้นกับคนของราชสำนัก นางอาจบังเกิดความรู้สึกคล้ายคนจมน้ำคว้าขอนไม้ใกล้มือก็เป็นได้ นี่เข้าตำราเดียวกับเด็กน้อยชกต่อยกับเด็กน้อยอีกคนจนบาดเจ็บ พอเจอผู้ใหญ่ก็พูดฟ้องอย่างคับข้องหมองใจ
ไม่ผิดจากที่เฉียวเจาคาดไว้ พอได้รับคำตอบยืนยันจากนาง เจินเหนียงพูดเสียงแตกพร่า “พวกท่านโปรดช่วยท่านพ่อข้าด้วย!”