หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 481
บทที่ 481
“เจินเหนียงอย่าเพิ่งร้อนใจ ค่อยๆ พูด” เห็นจิ้งเหนียงที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเจินเหนียงย่นหัวคิ้วเข้าหากันมีวี่แววว่าจะตื่นขึ้น เฉียวเจารีบพูดปลุกปลอบ
กว่าจะรอให้เจินเหนียงยอมอ้าปากพูดมิใช่ง่ายดาย จะปล่อยให้จิ้งเหนียงอาละวาดจนต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ไม่ได้
“เดิมทีท่านพ่อข้าเป็นผู้ตรวจการของเขตฝูซี มีอำนาจตรวจสอบและฟ้องร้องขุนนางท้องถิ่นภายใต้สังกัดได้ ปลายปีที่แล้วท่านถูกโยกย้ายไปเป็นผู้ตรวจการของเขตฝูตง ไม่คิดว่าจะค้นพบว่าเหล่าขุนนางที่นั่นฉ้อฉลทุจริตกันจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังสมคบคิดกับชาววอโค่วรีดนาทาเร้นชาวบ้าน ท่านกำลังเจ็บปวดโกรธแค้นถึงขีดสุด กลับจับได้อีกว่าแม้แต่กององครักษ์จินหลินซึ่งประจำการในฝูตงก็ถูกสิงอู่หยางผู้บัญชาการมณฑลทหารซื้อตัวไปแล้ว พวกเขารวมหัวกันกระทำชั่ว ตัดลู่ทางมิให้ท่านพ่อข้าได้กราบทูลต่อองค์ฮ่องเต้…”
ระหว่างที่เจินเหนียงเล่าย้อนอดีต นางสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กายดุจใบไม้ต้องลมสารทฤดู
เฉียวเจารับฟังอย่างสงบ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ รบกวนนาง
“ท่านพ่อหมดหนทาง ได้แต่รวบรวมหลักฐานการฉ้อราษฎร์บังหลวงของสิงอู่หยางและขุนนางทั้งหลายอยู่ลับๆ ในที่สุดก็มีโอกาสไหว้วานคนนำสมุดบัญชีสองเล่มที่บันทึกการยักยอกเบี้ยหวัดทหารและการสมคบคิดกับชาววอโค่วของคนพวกนั้นไปมอบให้กับใต้เท้าเฉียวผู้บังคับบัญชาของท่านพ่อ…” เจินเหนียงกำลังพูดอยู่ สังเกตเห็นว่าเด็กสาวที่นิ่งเงียบฟังคำบอกเล่าของนางอยู่ตลอดจู่ๆ ก็ขอบตาแดงเรื่อ
“ท่านเป็นอะไรไป”
เฉียวเจารีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่เป็นไร ข้าได้ยินว่าบิดาท่านตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพียงนี้ยังพยายามเปิดโปงพวกหนอนบ่อนทำลายแผ่นดินโดยไม่ย่อท้อแล้วรู้สึกประทับใจ”
ที่แท้สมุดบัญชีที่ท่านพ่อได้รับมาสองเล่มนั้นเป็นบิดาของเจินเหนียงส่งมาให้
เรื่องราวในใต้หล้านี้ช่างยอกย้อนวกวน แต่ล้วนเป็นสวรรค์ลิขิตไว้ในห้วงอันลี้ลับ
ท่านพ่อมีฐานะเป็นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย ลาราชการกลับมาไว้ทุกข์ให้บิดาในจยาเฟิง ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่บิดาของเจินเหนียงจะฝากสมุดบัญชีให้ช่วยเก็บรักษาไว้อย่างไร้ข้อกังขา
“แล้วต่อมาเล่า” เฉียวเจาสะกดอารมณ์ที่ปั่นป่วนพลุ่งพล่านในใจไว้
“ต่อมาคนพวกนั้นจับได้ว่าท่านพ่อทำอะไรอยู่ พวกเขากักขังท่านไว้ และใช้ชีวิตพวกข้าข่มขู่ท่านพ่อไม่ให้ฆ่าตัวตาย” เจินเหนียงเล่าถึงตรงนี้แล้วมุ่นคิ้วกล่าวรำพึงขึ้น “อันที่จริงข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยว่าในเมื่อพวกเขากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ไยต้องไว้ชีวิตท่านพ่อข้าอีก…”
เฉียวเจากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกเขาต้องการผู้ตรวจการเขตฝูตงที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง หากข้าเดาไม่ผิดในบรรดาพวกเขาจะต้องมีคนที่เชี่ยวชาญการลอกเลียนลายมือ คอยปลอมแปลงสารของบิดาท่านส่งไปรายงานที่เมืองหลวงตามเวลา ถึงแม้สิงอู่หยางจะใช้มือเดียวปิดฟ้าในเขตฝูตงได้ แต่แผ่นดินนี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ช่องลม ถ้าหากบิดาท่านจบชีวิตลง ไม่ปรากฏตัวในงานสำคัญต่างๆ ช้าเร็วก็ต้องมีคนจับพิรุธได้ หลังจากข่าวการตายแพร่ไปถึงราชสำนักทางเมืองหลวงต้องส่งผู้ตรวจการคนใหม่มาแน่นอน”
“ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ตรวจการคนใหม่ที่มาถึงจะมีภูมิหลังและเทือกเถาเหล่ากอเช่นไรก็สุดรู้โดยสิ้นเชิง จึงรับมือได้ไม่ง่ายอย่างบิดาข้า และย่อมสร้างปัญหายุ่งยากให้คนพวกนั้นไม่น้อยโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพวกเขาไว้ชีวิตบิดาข้าให้ทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิมไปเสียเลย”
เฉียวเจาพยักหน้า “ถูกต้อง”
เจินเหนียงหลับตาลง หยาดน้ำตาใสไหลลงอาบสองแก้ม “เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยท่านพ่อยังรักษาชีวิตไว้ได้เพราะเหตุนี้”
เฉียวเจาอ้าริมฝีปากคิดจะถามไถ่ว่าเหตุใดเจินเหนียงกับน้องสาวถึงตกอยู่ในมือชาววอโค่ว แต่ก็กลัวว่าจะกระทบกระเทือนใจเจินเหนียง จนส่งผลให้รูปการณ์ซึ่งเป็นไปตามที่ต้องการอย่างไม่ง่ายดายจะหลุดจากความควบคุมอีกครา นางจำต้องอดทนรอคอย
“ต่อจากนั้น…” เจินเหนียงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สองมือของนางสั่นระริกน้อยๆ คล้ายว่าต้องใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมดถึงจะเปล่งเสียงพูดประโยคหลังได้ “ในฝูตงเกิดเหตุชาวบ้านลุกฮือขึ้น…”
เฉียวเจาเบิกตากว้างโดยพลัน หากมิใช่นางเป็นคนสุขุมหนักแน่นมาโดยตลอดก็เกือบร้องอุทานออกมา
เกิดเหตุจลาจลในฝูตงหรือนี่! หัวใจของเฉียวเจาเต้นรัวแรง
ฮ่องเต้หมิงคังไม่ปรารถนาให้เกิดภาวการณ์ที่ไม่มั่นคงในต้าเหลียง ดังนั้นต่อให้หลักฐานถูกส่งมาถึงตรงหน้า พระองค์ยังคงเลือกที่จะคุ้มหัวสิงอู่หยาง แต่ส่งตัวพี่ชายของนางเข้าคุกหลวง
การเดินทางสู่ทิศใต้คราวนี้พวกนางได้สมุดบัญชีมาอีกเล่มหนึ่งในจยาเฟิง ยังคงไม่มั่นใจว่าจะทำให้โอรสสวรรค์ออกโรงได้ ทว่าตอนนี้ต่างออกไปแล้ว
ในฝูตงเกิดเหตุราษฎรลุกฮือ หากพินิจพิเคราะห์จากประวัติศาสตร์ การผลัดแผ่นดินในทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเงาของ ‘กบฏ’ หรือ ‘จลาจล’ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ทุกราชวงศ์ยอมรับมิได้ เหนือสิ่งอื่นใดเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นยังถูกสิงอู่หยางปิดหูปิดตาอย่างมิดชิดอีก
ตอนนี้นางมั่นใจได้ว่าขอเพียงฮ่องเต้หมิงคังรู้เรื่องนี้และมีหลักฐานเพียงพอทำให้พระองค์ทรงเชื่อ ต่อให้พระองค์ ‘บรรลุตบะ’ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นอีกต่อไป
“การลุกฮือในครั้งนี้สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่น้อย จนภายหลังแพร่มาถึงหูท่านพ่อข้า ตอนนั้นท่านพ่อข้าก็เจอตอเข้าแล้ว แต่ถูกคนพวกนั้นช่วยกลับมา หลังจากนั้น…หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็ขายข้ากับน้องสาวให้ชาววอโค่วเป็นคำเตือน” ดวงตาทั้งคู่ของเจินเหนียงแดงก่ำ นางจับมือเฉียวเจาไว้ “ในเมื่อพวกท่านเป็นคนใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ จะต้องช่วยท่านพ่อข้าได้แน่ ใช่หรือไม่”
เฉียวเจายื่นมืออีกข้างหนึ่งไปวางทาบมือนาง พูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ใช่”
นางมิใช่แค่จะช่วยบิดาของเจินเหนียง แต่ยังจะสะสางหนี้แค้นแทนชาวสกุลเฉียว และทวงความยุติธรรมให้แก่ขุนนางและชาวบ้านนับพันนับหมื่นที่โดนเดรัจฉานพวกนั้นทำร้าย
“ขอบคุณท่านมากๆ” เจินเหนียงนั่งคุกเข่าบนเตียงโขกศีรษะให้เฉียวเจา
เฉียวเจาพูดห้ามนาง “อย่าทำเสียงดังสิ ประเดี๋ยวจิ้งเหนียงก็ตื่นหรอก”
ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงน้องสาว เจินเหนียงสั่นสะท้านไปทั้งกาย หลั่งน้ำตานองหน้า “ข้าปกป้องน้องสาวไม่ได้ ข้ารับปากท่านแม่ว่าจะดูแลน้องสาวให้ดีๆ…”
เฉียวเจาโอบตัวนางพลางพูดเสียงนุ่ม “พี่เจินเหนียง ท่านทำได้ดีมากแล้ว”
มีสตรีมากเท่าไรที่ตกอยู่ในมือชาววอโค่วแล้วทนความอัปยศไม่ไหวจนคิดสั้นไปนานแล้ว ทว่าเจินเหนียงกับน้องสาวกลับมีชีวิตอยู่ต่อมาอย่างเข้มแข็ง ด้วยการอบรมสั่งสอนที่พวกนางได้รับมาแต่วัยเยาว์ หากไม่มีความปรารถนาที่จะอยู่รอดอย่างแรงกล้า คงไม่มีทางอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้
เจินเหนียงมองเฉียวเจา “ท่านรู้สึกว่าพวกข้าหน้าไม่อายมากใช่หรือไม่ ทั้งที่โดนชาววอโค่วย่ำยีแล้วยังหน้าด้านมีชีวิตอยู่อย่างไร้ยางอาย?”
ริมฝีปากซีดขาวของเจินเหนียงสั่นระริก นางกล่าวแกมสะอื้น “พวกข้าสมควรเอาเชือกผูกคอตายไปแต่แรกถึงไม่ทำให้บิดา พี่ชาย และครอบครัวต้องอับอายขายหน้า แต่ข้ายอมไม่ได้ ข้ากลัวว่าข้าตายแล้วก็จะไม่ได้เห็นท่านพ่อรอดชีวิต ไม่ได้เห็นเดรัจฉานพวกนั้นได้รับผลกรรมอย่างสาสม”
เฉียวเจารู้ว่านี่บ่งบอกได้ว่าเจินเหนียงมีความคิดที่จะตายแล้ว วันใดที่บิดาของนางรอดมาได้ ไม่แน่ว่าวันนั้นก็คือวันที่นางจะจบชีวิตของตนเอง
“พี่เจินเหนียง คำกล่าวนี้ของท่านข้าฟังไม่ค่อยจะเข้าใจ”
เจินเหนียงอึ้งงันไปทันใด
เด็กสาววัยสิบสามสิบสี่ยังมีเค้าอ่อนเยาว์อยู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าใสซื่อ “คนที่ก่อกรรมทำชั่วคือขุนนางฉ้อฉลอย่างสิงอู่หยางพวกนั้น ส่วนคนที่สูญสิ้นความเป็นมนุษย์คือพวกชาววอโค่ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างหน้าด้านหน้าทน เหตุใดพวกท่านถึงรู้สึกอับอายที่จะมีชีวิตอยู่เล่า”
ถ้อยคำของเฉียวเจาทำให้ความกดดันในใจเจินเหนียงผ่อนคลายลงมากอย่างไร้ข้อกังขา
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของผู้ตรวจการ นางตกอยู่ในมือชาววอโค่วกลับยอมทนอดสูอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี นางหวาดหวั่นสุดใจว่าเด็กสาวตรงหน้าจะดูแคลนตนจนสร้างความอัปยศให้บิดา
กระนั้นความรู้สึกผ่อนคลายนี้มีอยู่เพียงบางเบา เจินเหนียงกล่าวทอดถอนใจ “ท่านยังเยาว์วัยนัก ไม่เข้าใจหรอก”
เฉียวเจายิ้มออกแล้ว “บิดาของพี่เจินเหนียงเป็นผู้ตรวจการ ส่วนบิดาข้าเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต สิ่งที่พี่เจินเหนียงเข้าใจ ข้าก็เข้าใจเช่นกัน และเป็นเพราะเข้าใจนี่เอง ข้าถึงรู้สึกว่าพี่เจินเหนียงสมควรมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ท่านเข้มแข็งและฉลาดเฉลียวน่าจะรู้ความหมายของข้า”
เจินเหนียงนิ่งเงียบไปเป็นนานก่อนกล่าวเสียงค่อย “ขอบคุณนะ”
เมื่อใคร่ครวญถึงว่าเจินเหนียงเพิ่งยอมเปิดเผยความรู้สึกในใจ เฉียวเจาเลยไม่กล้ายกเรื่องที่จิ้งเหนียงตั้งครรภ์ขึ้นมาพูดให้นางสะเทือนใจ หลังคุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกสองสามคำ นางลุกขึ้นกล่าวลาแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องของเซ่าหมิงยวน