หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 486
บทที่ 486
เสี่ยวเอ้อร์ยืนเฉยไม่ขยับ
“ออกไป” หยางโฮ่วเฉิงตบโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อร์ขาสั่นพั่บๆ พูดด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ขอรับ ทุกท่านกินอาหารตามสบาย ต้องการสิ่งใดก็เรียกข้าได้”
เขาพูดจบแล้วลุกลนเดินไปที่หน้าห้อง พอถึงหน้าประตูก็ชะงักเท้าหันกลับมามองปราดหนึ่งถึงเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้นสาวเท้าเร็วรี่ออกไป
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนมาจากม่านไม้ไผ่ที่กวัดแกว่งไปมา ยื่นตะเกียบไปกดบนตะเกียบของหยางโฮ่วเฉิง “ฉงซาน อย่าเพิ่งรีบกิน”
ตะเกียบของหยางโฮ่วเฉิงคีบเนื้อรมควันสีสันยวนใจชิ้นหนึ่ง เนื้อรมควันแล่เป็นแผ่นใหญ่มีเอ็นแก้วแทรกอยู่ เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอ
เขาลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนหันไปมองสหายรักอย่างฉงนใจ “มีอะไรหรือ”
“เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นไม่ค่อยชอบมาพากล”
“ไม่ชอบมาพากลตรงที่ใดกัน” หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยถาม
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับเฉินกวง เขาก็เดินไปปิดประตูอย่างเข้าใจความหมาย
เซ่าหมิงยวนถึงกล่าวตอบ “ตอนเห็นพวกเรา ในใจเขาหวาดกลัวแท้ๆ แต่เมื่อครู่นี้ข้าขอให้เขาออกไป เขากลับยืนนิ่งไม่ขยับ ต้องให้เจ้าบันดาลโทสะถึงยอมไป นี่บ่งบอกว่าเขาอยากอยู่ในนี้เพื่อรอดูเรื่องบางเรื่องให้แน่ใจ”
“อย่างเช่น…”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่ง
นางวางหน้านิ่งสนิท ล้วงเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจิ้มลงไปในอาหาร เข็มเงินเปลี่ยนสีทันที
ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสีตามไปด้วย
“อย่างเช่นดูว่าพวกเรากินอาหารหรือไม่” เฉียวเจาถือเข็มเงินสีดำไว้พลางกล่าวเสริมขึ้น
หยางโฮ่วเฉิงลุกพรวดขึ้นยืน “บังอาจวางยาพิษในอาหารของพวกเราเชียวหรือ ไร้เหตุผลสิ้นดีจริงๆ ข้าจะไปเด็ดหัวเจ้าคนสารเลวพวกนั้นออกมาเตะแทนลูกหนังเสียเลย”
เซ่าหมิงยวนยึดแขนเขาไว้ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “อย่าเพิ่งหงุดหงิด”
หยางโฮ่วเฉิงนั่งลงพูดอย่างฮึดฮัด “ถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้ายังใจเย็นอยู่ได้อีกหรือ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “เสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุราผู้หนึ่งคงไม่ใจกล้าปานนี้ และไม่จำเป็นต้องเล่นงานพวกเรา”
หยางโฮ่วเฉิงนิ่งงันไป “ความหมายของเจ้าคือ…”
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน กล่าวเสียงโกรธเกรี้ยว “เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นอีกแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนหมุนคลึงถ้วยน้ำชาในมือพลางชำเลืองมองไปด้านนอก เขาพูดเอื่อยๆ “ถ้าไม่นอกเหนือจากความคาดหมาย อีกประเดี๋ยวพวกเราก็จะถูกคนของที่ว่าการล้อมเอาไว้แล้ว”
“แล้วจะไปหรือจะสู้” หยางโฮ่วเฉิงเหลียวมองรอบด้าน
ฉือชั่นชี้ที่เนื้อรมควันพลางบอกกับเฉียวเจา “หลีซาน รีบตรวจดูสิว่าเนื้อรมควันจานนี้มีพิษหรือไม่ ถ้าไม่มีพิษข้าจะกินแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้น “สือซี เวลานี้เจ้ายังมีแก่ใจกินเนื้อรมควันอีกหรือ”
ฉือชั่นเหลือบเปลือกตาขึ้น เอ่ยถามเขากลับ “เหตุใดจะต้องไม่กิน เจ้าร้อนอกร้อนใจเช่นนี้แล้วแก้ปัญหาได้หรือ ลงท้ายก็ให้ถิงเฉวียนสะสางอยู่ดีมิใช่หรือไร”
“เจ้า…” หยางโฮ่วเฉิงอยากจะโต้แย้ง แต่เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก็ลูบปลายคางพยักหน้า “ฟังดูก็มีเหตุผลดี คุณหนูหลี ตกลงว่าเนื้อรมควันมีพิษหรือไม่”
“ไม่มีพิษ กินเถอะ” เฉียวเจาเก็บเข็มเงินขึ้นแล้วมองไปทางเซ่าหมิงยวน
พอถึงเวลาคนที่พึ่งพาไม่ได้พวกนี้ไม่เป็นตัวถ่วงก็ไม่เลวแล้ว อยู่เฉยๆ กินเนื้อรมควันไปเถอะ
ปกติเซ่าหมิงยวนเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่พอเห็นเฉียวเจามองตน เขายังแอบกระหยิ่มยิ้มย่องน้อยๆ
พออยู่กับสหายรักวัยเยาว์ทั้งสอง เขายังคงโดดเด่นออกมาอย่างง่ายดาย
“ความหมายของข้าคือไม่สู้แต่ก็ไม่ไป รอคนของที่ว่าการมาถึงแล้วเปิดเผยฐานะตามตรงและบอกว่าพวกเราจะกลับเมืองหลวงไปรายงานตัวแล้ว ข้าว่าคนพวกนั้นคงไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น แล้วยังจะเป็นฝ่ายใช้กำลังเข้าแลกกับพวกเราอีกหรือ”
“แค่นี้หรือ” หยางโฮ่วเฉิงกินเนื้อรมควันเต็มปาก พูดอย่างเจ็บใจมาก
“ความคิดนี้ไม่เลวเลย สามารถตบตาสิงอู่หยางให้เขานึกว่าพวกเราเริ่มออกเดินทางกลับแล้ว ข้ากับแม่ทัพเซ่าก็ลักลอบเข้าไปในเขตฝูตงได้สะดวกขึ้น”
เซ่าหมิงยวนกระซิบเตือน “ถิงเฉวียนสิ”
เฉียวเจาชะงักกึก นั่นแค่คำเรียกขานเท่านั้น ตอนนี้เป็นเวลามาสนใจจุดนี้หรือไร
แม่นางเฉียวตวัดสายตามองหมอเทวดาหลี่อย่างฉับไวแล้วก้มหน้าลงคีบเนื้อรมควันชิ้นหนึ่งมากินเงียบๆ
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราฉวยจังหวะกินให้อิ่มท้องก่อนค่อยว่ากัน” หยางโฮ่วเฉิงกลืนเนื้อรมควันชิ้นหนึ่งลงท้องแล้วเอ่ยถาม “ยังมีอาหารจานใดกินได้อีก”
“เจ้าโง่ กินตามท่านหมอเทวดาก็สิ้นเรื่อง” ฉือชั่นยิ้มตาพริ้มแล้วคีบไก่ทอดเกลือชิ้นหนึ่งขึ้น
ตอนนี้ทุกคนถึงหันไปสนใจหมอเทวดาหลี่ เห็นตาเฒ่ากำลังกินไก่ทอดเกลือคำถั่วลิสงคำอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
ชายชราเห็นทุกคนมองมาก็ไม่เหลือบเปลือกตาขึ้นด้วยซ้ำ ยังคีบปลานึ่งอีกชิ้นหนึ่งใส่ปาก
ฉือชั่นหน้าเสียเล็กน้อย “ท่านหมอเทวดา เมื่อครู่ทดสอบน้ำนึ่งปลาว่ามีพิษ…”
หมอเทวดาหลี่กลืนเนื้อปลาในปากลงคอด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขายิ้มตาหยีกล่าวขึ้น “ข้ารู้ว่ามีพิษ ไก่ทอดเกลือที่เจ้าคีบก็มีพิษนะ”
ไก่ทอดเกลือชิ้นที่อยู่ในตะเกียบฉือชั่นหล่นกระทบพื้นโต๊ะดังแปะ
หยางโฮ่วเฉิงปาดเหงื่อเย็นออก “ท่านหมอเทวดา ท่านอย่าคิดไม่ตกอยู่เรื่อยสิขอรับ กินเนื้อรมควันเถอะ เนื้อรมควันนี่รสชาติไม่เลว”
ฉือชั่นถามตามตรง “ท่านรู้ทั้งรู้ว่ามีพิษยังจะกินอีกหรือ”
หมอเทวดาเบะปาก “พิษน้อยนิดแค่นี้จะนับว่ามีอะไร ข้าเคยกินยาพิษมากกว่าเจ้ากินเกลือด้วยซ้ำไป”
ทุกคนทำได้แค่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
ไม่นานนักบนโต๊ะเหลือเพียงเศษอาหารกระจัดกระจาย หยางโฮ่วเฉิงลูบท้องอย่างอิ่มหนำสำราญพลางถาม “ไฉนยังไร้ความเคลื่อนไหวใดเล่า”
“ที่ว่าการจะส่งทหารมาถึงที่ตำบลได้เร็วถึงเพียงนั้นที่ใดกัน” ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ
เซ่าหมิงยวนเงี่ยหูฟังแล้วกล่าวขึ้นกะทันหัน “มาแล้ว”
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไรเสี่ยวเอ้อร์ก็เปิดประตูเข้ามา ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “พวกท่านกินเสร็จแล้วกระมังขอรับ”
“เสร็จแล้ว” ฉือชั่นซับปากด้วยท่าทางสง่างามแล้วโยนผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะ
“ในเมื่อกินเสร็จแล้ว เช่นนั้นทุกท่านโปรดจ่ายเงินด้วยขอรับ”
“จ่ายเงิน?” ฉือชั่นถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เอ่อ…จ่ายเงินขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ทำหน้าซื่อๆ
หยางโฮ่วเฉิงลุกพรวดขึ้นขยุ้มคอเสื้อเสี่ยวเอ้อร์ ยกตัวเขาขึ้นมาตรึงบนโต๊ะ พูดอย่างฉุนเฉียว “จ่ายเงินรึ ผายลม ไก่ทอดเกลือนี่รสชาติแทบกินไม่ลง ยังมิได้คิดบัญชีกับร้านเจ้าเลยนะ”
“ไม่นะขอรับ ไก่ทอดเกลือนี้เป็นอาหารชูโรงของร้านเราเลยทีเดียว” เสี่ยวเอ้อร์แย้งกลับโดยไม่ทันคิด
“อย่างนั้นเจ้าลองชิมดูเอง” หยางโฮ่วเฉิงเหยียดยิ้มก่อนหยิบไก่ทอดเกลือยัดใส่ปากเสี่ยวเอ้อร์
เสี่ยวเอ้อร์หน้าถอดสีไปถนัดตา เขากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “อย่านะ ทุกท่านไว้ชีวิตข้าด้วย ไว้ชีวิตข้า…”
เสียงร้องโหยหวนเหมือนสุกรโดนเชือดของเสี่ยวเอ้อร์ดังออกไป ผู้ดูแลร้านวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ พูดขู่เสียงแข็งทั้งที่ในใจหวาดกลัว “ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้นะ เจ้าหน้าที่ทางการปิดล้อมพวกเจ้าไว้แล้ว ไม่เชื่อก็มองออกไปข้างนอก พวกเจ้าหน้าที่อยู่ด้านนอกโน่น พวกเจ้าอย่าก่อเรื่องดีกว่า”
“อาจู” เฉียวเจายื่นมือไปอย่างปึ่งชา
อาจูมีไหวพริบดี จึงเข้าใจความหมายของผู้เป็นนายทันใด นางเปิดห่อสัมภาระหยิบธนูส่งให้โดยไม่รอช้า
เฉียวเจารับไว้แล้วโก่งคันธนูเล็งตรงไปที่ผู้ดูแลร้านอย่างช่ำชอง นางไต่ถาม “เจ้าบอกว่าพวกข้าก่อเรื่องหรือ”
ผู้ดูแลร้านฉุกคิดขึ้นได้โดยพลันว่านายตำบลก็ถูกแม่นางน้อยที่ดูบอบบางน่ารักนางนี้สังหารด้วยธนู เขาตกใจจนเข่าอ่อนทันควัน
มารดามันเถอะ ขัดคอคำเดียวก็จะฆ่ากันตาย นางมารน้อยผู้นี้มาจากที่ใดกันนี่
“พวกข้าก่อเรื่องอะไร สังหารคนหรือว่าวางเพลิง พวกเจ้าถึงกับต้องทั้งวางยาพิษทั้งแจ้งทางการ” เฉียวเจาปรับทิศทางการเล็งธนูในมือเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด