หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 488
บทที่ 488
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยให้เฉียวเจาหยิบถ้วยน้ำชาไป
“พิษไอเย็นยังขับออกไม่หมด อย่าดื่มน้ำชาที่เย็นแล้ว”
เขาคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ “รู้แล้ว”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอา เขาค่อนแคะอยู่ในใจ
จงใจดื่มชาเย็นชืดเรียกร้องความสนใจจากหลีซานชัดๆ เจ้าเซ่าหมิงยวนยิ่งมายิ่งเหลี่ยมจัด
คุณชายฉือคิดไปอย่างนี้แล้วยื่นมือไปยกถ้วยน้ำชาที่เย็นสนิทมาดื่มติดๆ กันหลายคำ ในใจเขาก็ริษยามากขึ้น
หลีซานถึงกับมองดูข้าดื่มเข้าไปเฉยๆ เช่นนี้หรือ
ดื่มไปครึ่งถ้วยแล้วยังไม่สนใจ ไหนเล่าที่บอกว่าผู้เป็นแพทย์มีใจเมตตาการุณย์
เหอะ ช่างเป็นแม่เด็กน้อยที่แล้งน้ำใจจริงๆ
ช่างเถิด ในเมื่อไม่มีใครรัก ข้ารักตนเองก็ได้!
ฉือชั่นกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนพื้นโต๊ะ เขาไม่ดื่มแล้ว
ความนึกคิดที่วกวนยอกย้อนอยู่ในใจลับๆ ของคุณชายฉือทั้งหมดนี้ย่อมจะไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้
ทุกคนรอคอยอยู่นานครึ่งชั่วยาม ขณะที่ค่อยๆ เริ่มหงุดหงิดก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากนอกประตูในที่สุด
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าจากกององครักษ์จินอู๋อยู่ข้างในหรือไม่ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพยักพเยิดบอกเฉินกวง เขาก็เดินไปหน้าห้องแล้วเปิดประตูออก
บุรุษวัยกลางคนไว้หนวดสั้นใบหน้าแดงปลั่งผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยผู้ติดสอยห้อยตามด้านหลังหลายคน
“ข้าคือผางเซิ่งเป็นนายอำเภอไห่เหมิน ได้ยินว่าใต้เท้าจากกององครักษ์จินอู๋ให้เกียรติมาเยือนที่นี่จึงตั้งใจมาคารวะทักทายขอรับ”
“ใต้เท้าผางเชิญเข้ามาขอรับ” เฉินกวงกล่าวเสียงเรียบ
ผางเซิ่งเหลือบมองผู้ติดตามซ้ายขวาสองคนทางหางตาก่อนก้าวขาเข้าห้อง
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว
เซ่าหมิงยวนคาดไว้ไม่ผิด นายอำเภอไห่เหมินรู้ฐานะของคนในขบวนเดินทางของพวกนางจริงๆ ซ้ำยังรู้ว่ากวนจวินโหวก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย หาไม่แล้วยามพบกับคนที่ยังไม่รู้ศักดิ์ฐานะอย่างแน่ชัด พวกนายอำเภอที่เคยชินกับการเป็นใหญ่ในที่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณพรรค์นี้ไม่มีทางแสดงท่าทีถ่อมตนเฉกนี้
“ท่านก็คือผางเซิ่งนายอำเภอไห่เหมินสินะ” หยางโฮ่วเฉิงพิศดูเขาแล้วยื่นป้ายสัญลักษณ์ประจำตัวองครักษ์จินอู๋ไปให้ “ข้าได้ยินว่านายอำเภอของต้าเหลียงเรานั้น มิใช่บัณฑิตจิ้นซื่อจะรับตำแหน่งนี้ไม่ได้ ในเมื่อนายอำเภอผางเคยไปที่ตำหนักท้องพระโรงมาก่อน น่าจะรู้จักสิ่งนี้กระมัง”
ผางเซิ่งรีบรับป้ายเหน็บเอวมาพินิจดูอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงเผยรอยยิ้ม “เป็นใต้เท้าจากกองครักษ์จินอู๋จริงๆ ข้าจากเมืองหลวงมานานหลายปี วันนี้ได้พบกับใต้เท้าทั้งหลายในตำบลเล็กๆ ชั้นนี้ถือเป็นเกียรติยิ่งนัก”
เขากล่าววาจาพร้อมกับกวาดสายตามองทุกคนอย่างฉับไว แต่หยุดสายตาอยู่ที่ตัวเซ่าหมิงยวนนานพอสมควร
แน่นอนว่าเมื่อฝ่ายเฉียวเจาไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา ผางเซิ่งย่อมไม่มีทางเปิดเผยออกมา ไพล่ไปแนะนำอีกสองคนที่ตามเขาเข้ามา “นี่คือเสมียนหลี่กับหัวหน้ากองจาง ผู้ช่วยนายอำเภอหวังมีธุระพอดีจึงมิได้มาด้วย หวังว่าใต้เท้าทั้งหลายจะไม่ตำหนิโทษนะขอรับ”
“นายอำเภอผางเกรงใจไปแล้ว ในเมื่อมาแล้วพวกเราก็ดื่มด้วยกันสักจอก ให้พวกข้าได้ฟังวิถีชีวิตของท้องถิ่นนี้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย” ถึงแม้หยางโฮ่วเฉิงเป็นคนโผงผาง แต่อย่างไรก็เกิดในตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ การพูดจาโอภาปราศรัยตามมารยาทเฉกนี้ยังพอทำได้อยู่
นายอำเภอผางนำเหล่าขุนนางใต้อาณัติเข้าไปนั่งลง
หยางโฮ่วเฉิงเคาะโต๊ะก่อนตะโกนบอก “เสี่ยวเอ้อร์อยู่ที่ใด! ยังไม่รีบยกสุราอาหารมาตั้งโต๊ะอีก”
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อร์สองคนยกสุราอาหารเข้ามาวางเรียงเต็มโต๊ะอย่างว่องไว
“เอ๊ะ คนก่อนหน้านี้เล่า”
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งตัวสั่นงันงกกล่าวขึ้น “เขาไม่ค่อยสบายขอรับ”
พี่น้องเคราะห์ร้ายผู้นั้นถูกใต้เท้าตรงหน้าผู้นี้ป้อนไก่ทอดเกลือที่หยอดยาสลบไว้ ถ้าปกติดีได้สิแปลก
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะลงลูกคอ
“นายอำเภอผางเชิญ”
“ทุกท่านเชิญ”
ฉือชั่นหยิบตะเกียบคีบไก่ทอดเกลือชิ้นหนึ่งขึ้น เขาทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยถามเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่ริมผนัง “ไก่ทอดเกลือหนนี้ทำได้ถึงรสชาติกระมัง”
“ถึงรสชาติขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อเย็นที่ไหลซึมบนหน้าผากออก พยักหน้าถี่ๆ โค้งกายต่ำอย่างนอบน้อม
“ยังไม่ออกไปอีก เจ้าพวกปัญญาทึบ!” หัวหน้ากองจางตะคอกด่าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เสี่ยวเอ้อร์สองคนลนลานออกจากห้องไปคล้ายได้รับอภัยโทษ แต่ถูกผู้ดูแลร้านดึงตัวมาซักถามสถานการณ์ข้างในอย่างละเอียด เขากระทืบเท้าไม่หยุด “แย่แล้วๆ ไม่แน่ว่าเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นอาจลงดาบกับร้านสุราเราเพื่อแสดงความยำเกรงต่อคนพวกนั้น ถึงตอนนั้นคงไม่เป็นผลดีต่อพวกเราสักคน”
“ไม่กระมัง ท่านนายอำเภอเป็นคนออกคำสั่งมิใช่หรือว่าใครพบเจอร่องรอยของคนพวกนั้นจะต้องหาทางยับยั้งไว้และแจ้งทางการให้ทันท่วงที” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเอ่ยถาม
ผู้ดูแลร้านถลึงตาใส่เขา “เจ้าไม่รู้เรื่องเสียเลย เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว สุดแท้แต่ฟ้าลิขิตเถอะ”
ภายในห้องส่วนตัวนายอำเภอผางกล่าวยิ้มๆ กับหัวหน้ากองจาง “เป็นมิตรกับชาวบ้านดีกว่านะ อย่าทำให้พวกเขาตกใจ”
พวกเฉียวเจาลอบยิ้มเยาะ คร้านที่จะวิจารณ์พฤติกรรมและวาจาของคนเหล่านี้ แต่เพื่อตบตาทางสิงอู่หยางยังจำเป็นต้องตีสองหน้าไว้
ในระหว่างชนจอกร่ำสุรา นายอำเภอผางไต่ถามขึ้น “ข้าได้ยินว่าใต้เท้าทุกท่านสะสางงานเรียบร้อยแล้วกำลังจะกลับเมืองหลวงใช่หรือไม่ขอรับ”
ขณะถามคำนี้สายตาเขาคล้ายจับอยู่ที่ตัวเซ่าหมิงยวนแต่ก็ไม่เชิง
เซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มช้าๆ คำหนึ่ง
อืม เจาเจาบอกว่าเขาดื่มสุรามากๆ ไม่ได้ ฉะนั้นดื่มน้ำชาดีกว่า
“แน่นอนว่าต้องกลับเมืองหลวงไปรายงานตัว องค์ไทเฮาทรงรอคอยอยู่” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
นายอำเภอผางลอบดีใจ เขารีบพูดขึ้นว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้ ข้าคงไม่กล้าเหนี่ยวรั้งใต้เท้าทุกท่านไว้นานๆ แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นต้องขอต้อนรับขับสู้ใต้เท้าทั้งหลายให้เต็มที่หลายๆ วันเลยขอรับ”
“พวกข้าก็ไม่กล้ารั้งอยู่นานเกินไป ขืนพบกับชาววอโค่วหรือคนต่ำช้าที่สมคบคิดกับชาววอโค่วเช่นนายตำบลคนก่อนของที่นี่อีกจะทำอย่างไรเล่า โดนชาววอโค่วฆ่าตายก็ไม่คุ้มค่า แต่ถ้าสังหารพวกคนต่ำช้าที่สมคบคิดกับชาววอโค่ว ไม่แน่ว่าอาจดึงเจ้าหน้าที่ทางการมาอีกก็เป็นได้” ฉือชั่นกล่าวถากถางเสียงเย็นๆ
นายอำเภอผางรู้ดีแก่ใจว่าฉือชั่นเป็นใคร ย่อมไม่ถือสาหาความอีกฝ่าย เขาแย้มยิ้มและเปลี่ยนเรื่องพูด
หลังชนจอกกันไปสามรอบและกินอาหารไปห้าอย่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็เก็บสุราอาหารออกไปแล้วยกน้ำชารสอ่อนมาวางบนโต๊ะ นายอำเภอผางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใต้เท้าทุกท่านจะออกเดินทางกันเมื่อไร ข้าจะได้ไปส่งพวกท่านที่ท่าเรือ”
เวลานี้เซ่าหมิงยวนถึงเปล่งเสียงตอบเอง “พวกข้าพักผ่อนสักครู่ก็จะไปแล้ว ใต้เท้าผางเป็นผู้ปกครองดูแลอำเภอคงมีงานรัดตัว คงไม่รบกวนใต้เท้าผางไปส่งแล้ว”
องครักษ์ของเขาพาหญิงสาวผู้หนึ่งไปส่งที่ตำบลไป๋อวี๋ ย่อมต้องรอคนกลับมาก่อนถึงไปจากที่นี่ได้
ต่อจากนั้นล้วนเป็นการสนทนาอย่างไร้รสชาติ หมอเทวดาหลี่เบื่อหน่ายจนออกจากห้องส่วนตัวไปแต่แรกพร้อมกับพาเฉียวเจาไปด้วย
สองปู่หลานกำลังเดินวนไปรอบๆ ในลานด้านหลังร้านสุรา พลันได้ยินเสียงตวาดดุของสตรีออกเรือนแล้วดังลอยมา
“โก่วเซิ่ง! เจ้าแกล้งน้องชายอีกแล้วนะ เจ้าเด็กคนนี้สอนเท่าไรก็ไม่รู้จักจำ”
หมอเทวดาหลี่ขมวดคิ้ว “ไม่ว่าไปที่ใดก็หาความสงบไม่ได้เลยจริงๆ ไปเถอะ ไปดูกัน”
ทั้งสองเดินตามต้นเสียงไปที่ประตูหลังซึ่งเปิดแง้มไว้ ด้านหลังประตูเป็นตรอกเล็กๆ สายหนึ่ง หญิงสาวออกเรือนแล้วผู้หนึ่งโอบตัวเด็กชายวัยสี่ห้าขวบไว้ นางทำหน้าตึงพูดตำหนิเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบอีกคน
ประเดี๋ยวเดียวก็มีบุรุษอายุราวสามสิบผู้หนึ่งผลุนผลันออกมาเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรหรือ”
หญิงสาวออกเรือนแล้วพูดอย่างคับข้องหมองใจ “เมื่อครู่โก่วเซิ่งหยิบดินยัดใส่ปากเอ้อร์วา ข้าโมโหเหลือทนเลยดุด่าเขาไปหลายคำ…”
“ข้าเปล่านะ” เด็กชายที่โตกว่าพูดด้วยสีหน้าดื้อดึง
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไร บุรุษผู้นั้นก็สะบัดฝ่ามือตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง
เสียงตบหน้าดังก้องลอยมา หญิงสาวออกเรือนแล้วรีบพูด “ช่างเถอะ โก่วเซิ่งยังเด็กอยู่ ตีเขาด้วยเหตุใด ให้คนอื่นเห็นเข้าจะนึกว่าข้าที่เป็นแม่เลี้ยงไร้ความเมตตานะ”
สองปู่หลานมองอยู่ด้านข้างเฉยๆ หมอเทวดาหลี่พลันกล่าวขึ้น “แม่หนูเจา อยากลองดูหรือไม่ว่าเรียนศาสตร์สะกดจิตไปถึงที่ใดแล้ว”