หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 491
บทที่ 491
เรือเริ่มแล่นไปทางทิศเหนือ เมื่อถึงที่ที่ไม่มีคนสังเกตเห็น เรือเล็กลำหนึ่งพาพวกเฉียวเจาสามคนไปขึ้นฝั่งอย่างลับๆ องครักษ์ซึ่งยืนอยู่บนเรือประสานมือคำนับเซ่าหมิงยวน “ท่านแม่ทัพรักษาตัวด้วยขอรับ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะน้อยๆ “เจ้าไปเถอะ”
ไม้พายเริ่มพุ้ยน้ำ เรือลำน้อยก็ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากฝั่งกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ ทีละน้อย
เพลานี้เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงสนธยาทาทาบพื้นน้ำส่องประกายพรายระยับวับวาว
เซ่าหมิงยวนในชุดปลอมตัวส่งยิ้มน้อยๆ ให้เฉียวเจา “น้องรอง พวกเราไปกันเถอะ”
เฉียวเจาใช้หน้ากากหนังมนุษย์ซึ่งเขาเคยมอบให้นางคราวก่อนดังเดิม
เพราะนางยังไม่เจริญวัยเต็มที่ นอกจากตัวเล็กอ้อนแอ้นเป็นพิเศษแล้ว ยังไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้าใดๆ ให้น่าเอ่ยถึง ยามนี้ดูไปแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดสามัญธรรมดามากผู้หนึ่ง
ส่วนเฉินกวงแต่งกายเป็นบ่าวรับใช้
“อื้อ”
ทั้งสามเปลี่ยนเป็นใช้เส้นทางบก พกพาสัมภาระน้อยทำให้เดินทางได้อย่างคล่องตัวเข้าสู่เขตฝูตงในเวลารวดเร็ว
“เจินเหนียงบอกว่าบิดาของนางถูกกักขังอยู่ในเรือนของตนเอง โดยบอกกับคนภายนอกว่าสุขภาพไม่ดีจำเป็นต้องพักรักษาตัวอย่างสงบ ถึงได้ปิดประตูไม่รับแขก” เฉียวเจาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งในแขนเสื้อส่งให้เซ่าหมิงยวน “นี่คือผังจวนสกุลสิงที่ข้าวาดออกมาตามคำบอกของนาง ท่านกับเฉินกวงจดจำไว้ให้แม่นยำ พอจำได้แล้วข้าจะทำลายมันทิ้ง”
เซ่าหมิงยวนรับภาพวาดไปดูอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา จากนั้นส่งต่อให้เฉินกวง
เฉินกวงรับเอาไว้ เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาก็แล้ว สองถ้วยชาก็แล้ว สามถ้วยชาก็แล้ว…
ทั้งสองพากันจ้องมองเขา
เฉินกวงทำหน้าม่อยกล่าวขึ้นว่า “เพราะอะไรแม้แต่ต้นไม้แต่ละต้นอยู่ตำแหน่งใดก็ต้องจำไว้ด้วยเล่าขอรับ”
จุดสำคัญที่สุดคือเรือนของพวกขุนนางในเมืองหลวงล้วนไม่นับว่าใหญ่โต เหตุไฉนผู้ตรวจการเล็กๆ ผู้หนึ่งในฝูตงกลับอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ถึงเพียงนั้น
“ดังนั้น?” เซ่าหมิงยวนชายตามองเฉินกวงอย่างเฉยเมย
เฉินกวงยิ้มอย่างหน้าหนา “ดังนั้นถึงเวลาข้าตามท่านทุกฝีก้าวเป็นอันสิ้นเรื่องขอรับ”
เซ่าหมิงยวนเหยียดมุมปาก พูดด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใด “จำได้เมื่อไรค่อยกินข้าวเมื่อนั้น”
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะใจจืดใจดำเยี่ยงนี้ไม่ได้นะขอรับ”
ท่านทำกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ช่วยท่านหาภรรยาอย่างซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เซ่าหมิงยวนไม่แยแสเสียงโอดครวญขององครักษ์แม้แต่น้อย เขาเบือนหน้าไปถามเฉียวเจาเสียงนุ่ม “หิวแล้วใช่หรือไม่ เป็ดย่างที่ซื้อจากร้านสุราในหมู่บ้านก่อนหน้าเมื่อตอนเที่ยงรสชาติไม่เลว กินน่องเป็ดรองท้องก่อนนะ”
เฉินกวงพูดไม่ออก “…”
ท่านแม่ทัพทำอย่างนี้จะไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาได้นะ!
องครักษ์น้อยมองไปทางเฉียวเจาอย่างน่าสงสาร
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “ก็ดี พอไปถึงหมู่บ้านถัดไป พวกเราควรจะทิ้งรถม้าลงเดินเท้าได้แล้ว กินตอนนี้จะได้ลดน้ำหนักของสัมภาระด้วย”
เฉินกวงปาดน้ำตาทิ้ง ก้มหน้าก้มตาดูภาพวาดจนหน้าแทบติดกระดาษ
เพื่อเป็ดย่างแล้ว ข้าจำก็ได้!
ยามใกล้ฟ้ามืดทั้งสามรุดไปถึงหมู่บ้านถัดไป จ่ายเงินให้สารถีแล้วเสาะหาโรงเตี๊ยมสักแห่งที่ไม่โดดเด่นสะดุดตานักแล้วเดินเข้าไป
“ห้องพักสามห้อง ขอห้องที่ติดกัน” เฉินกวงบอกกับเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ามาต้อนรับ
เสี่ยวเอ้อร์ชายตามองทั้งสามคนอย่างฉับไวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “ขออภัยท่านด้วยขอรับ เหลือแค่ห้องเดียวแล้ว หรือไม่ท่านทั้งสามทนเบียดกันสักนิดเถอะ”
“ห้องเดียว?” เฉินกวงได้ยินแล้วส่ายหน้ากล่าวขึ้นโดยไม่ต้องถามความเห็นของเซ่าหมิงยวน “ห้องเดียวจะอยู่อย่างไร ช่างเถอะ พวกข้าไปที่อื่นก็ได้”
เสี่ยวเอ้อร์ก็ไม่ร้อนใจ เขาเอ่ยเตือนยิ้มๆ “ท่านทั้งสามอยากไปที่อื่น ข้ามิกล้ารั้งไว้ แต่ข้าขอบอกกล่าวพวกท่านไว้สักคำ โรงเตี๊ยมของที่นี่ในเวลานี้ล้วนมีลูกค้าเข้าพักเกือบเต็มหมดแล้ว โรงเตี๊ยมแห่งอื่นๆ อย่าว่าแต่สามห้องเลย เกรงว่าจะไม่มีแม้สักห้อง”
“เจ้าไม่ได้หลอกลวงพวกข้ากระมัง”
“โธ่ ข้าจะกล้าหลอกลวงลูกค้าได้อย่างไรกัน ไม่เชื่อท่านไปถามดูก็ได้ขอรับ”
เฉินกวงหันหน้าไป “คุณชาย ท่านว่า…”
เซ่าหมิงยวนวางหน้าเคร่งขรึม “ลองไปถามอีกสองสามแห่งเถอะ ไม่มีค่อยกลับมา”
อืม ห้องเดียวออกจะไม่เข้าท่าจริงๆ ข้ากับเจาเจายังพอทำเนา แต่เฉินกวงจะทำเช่นไร
“ขอรับ” เฉินกวงขานรับแล้วรีบวิ่งออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเฉินกวงกลับมาถึง เขาส่ายหน้าเบาๆ กับเซ่าหมิงยวน
เสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านขอรับ ข้าไม่ได้หลอกลวงท่านจริงๆ แล้วห้องพักนั่นพวกท่านยังต้องการหรือไม่”
“พาพวกข้าไปดูก่อนเถอะ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้น
“ได้ขอรับ ท่านทั้งสามเชิญทางนี้”
โรงเตี๊ยมไม่ใหญ่นัก ห้องพักก็ยิ่งคับแคบ
เสี่ยวเอ้อร์เปิดประตูออก เซ่าหมิงยวนกวาดตามองแวบเดียวก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ
“ที่แค่นี้จะพออยู่ได้อย่างไร” เฉินกวงถลึงตาเอ่ย ถึงจะมีที่พอเขาก็ไม่กล้าอยู่ ท่านแม่ทัพต้องฆ่าเขาทิ้งเป็นแน่!
เสี่ยวเอ้อร์ทำสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน “มีห้องนี้ห้องเดียวแล้วขอรับ”
“มีแค่ห้องนี้ห้องเดียว ไม่มีห้องอื่นอีกจริงๆ หรือ พวกข้าจ่ายเงินเพิ่มให้ได้”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มกับเฉินกวง “พวกข้าเปิดร้านทำมาค้าขาย มีเหตุผลอะไรจะไล่ลูกค้าออกนอกประตู มีห้องนี้ห้องเดียวจริงๆ…” เขาพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย
เฉินกวงสังเกตเห็นทันที “ยังมีห้องอีกใช่หรือไม่”
“มีน่ะมี แต่เป็นห้องเก็บฟืน…”
มุมปากของเฉินกวงกระตุกริกๆ เขาตัดใจกล่าวขึ้น “ห้องเก็บฟืนก็ห้องเก็บฟืนเถอะ พวกข้าเอาสองห้องนี้ ข้าอยู่ห้องเก็บฟืน คุณชายของข้าสองคนอยู่ห้องพัก เจ้ารีบไปเก็บกวาดห้องเก็บฟืนให้สะอาดสะอ้านขึ้นโดยไว”
เมื่อรับก้อนเงินเล็กๆ ที่เฉินกวงยื่นส่งให้ เสี่ยวเอ้อร์มีรอยยิ้มแล้ว “ได้ขอรับ ข้าจะไปเก็บกวาดเดี๋ยวนี้เลย”
พอเห็นเสี่ยวเอ้อร์หมุนกายจะออกเดินไป เซ่าหมิงยวนอ้าปากถาม “เหตุใดที่โรงเตี๊ยมในเมืองนี้ถึงมีคนพักอยู่จนเต็ม”
“เรื่องนี้…”
เฉินกวงเอาก้อนเงินเล็กๆ ยัดใส่มือเขาก้อนหนึ่งโดยไม่รอช้า
เสี่ยวเอ้อร์ลอบบีบมือกำๆ ก้อนเงินดูแล้วยิ้มพลางกล่าวตอบ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ หลายวันมานี้จู่ๆ มีคนมาที่นี่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีจากเมืองฝูซิง ล้วนใจกว้างมือเติบ”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน
เมืองฝูซิงก็คือสถานที่ที่ทั้งสองกำลังจะไปในครั้งนี้ อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลแล้ว
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์แยกไป ทั้งสามเดินเข้าห้องพัก
“นี่น่าจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้กระมัง ที่แคบนิดเดียว โชคดียังมีห้องเก็บฟืน ไม่อย่างนั้นกระทั่งจะปูที่นอนบนพื้นยังทำไม่ได้เลย” เฉินกวงเปิดหน้าต่างพลางบ่นอุบอิบ
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเขาแล้วถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้ายังคิดจะปูที่นอนบนพื้นในนี้หรือ”
องครักษ์น้อยรู้ตัวว่าพลั้งปากไป เขารีบยกมือปิดปากไว้ “ข้าแค่ยกตัวอย่างขอรับ ท่านอย่าถือเป็นจริงเป็นจัง”
เฉินกวงเห็นสีหน้าของท่านแม่ทัพยังตึงเครียดอยู่จึงหัวเราะแหะๆ “ท่านแม่ทัพ ข้าไปดูว่าห้องเก็บฟืนทำความสะอาดไปถึงที่ใดแล้วนะขอรับ ท่านกับคุณหนูสามคุยกันไปก่อน”
ภายในห้องพักคับแคบเหลือเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสองคน
เขากระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง “เจาเจา”
นางหันมามองเขา
ใบหูของท่านแม่ทัพแดงเรื่อๆ “เดิมทีข้าควรจะนอนในห้องเก็บฟืนกับเฉินกวง แต่ขณะนี้พวกเราปลอมตัวเป็นพี่น้องกัน หากทำอย่างนั้นจะไม่ค่อยเหมาะนักกระมัง”
เฉียวเจาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร นางย่อมเข้าใจดีว่าในภาวะคับขันต้องรู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้จะให้นางทำหน้าระรื่นคงไม่ได้กระมัง
“คือว่า…ห้องเก็บฟืนอยู่ไกล ไม่สะดวกจะคุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้า” เซ่าหมิงยวนเห็นเฉียวเจาไม่แสดงสีหน้าใดๆ จึงร้อนตัวพอดู เขาอดพูดเหตุผลอีกข้อหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
นางชำเลืองดูบุรุษที่ติ่งหูแดงก่ำแล้วคลายยิ้ม “ท่านไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจ”
“อือ” เซ่าหมิงยวนขานตอบคำหนึ่งอย่างทื่อๆ เขารู้สึกไม่วายว่าท่าทางของเฉียวเจาสงบนิ่งเกินไป จึงพูดเสริมขึ้นอีก “เจ้าวางใจได้ ข้าจะนอนบนพื้น”