หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 493
บทที่ 493
“เจาเจา…”
เฉียวเจาเม้มปากไม่เปล่งเสียงพูด นางถอดสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาบนข้อมือออกทันที
สายตาของชายหนุ่มทอประกายวูบ เขาเข้าใจความคิดของนางแล้ว
เฉียวเจาหยิบผ้าเช็ดหน้าหลายผืนในห่อสัมภาระติดกายออกมาห่อมันไว้อย่างมิดชิดแน่นหนา นางเก็บขึ้นแล้วถึงเอ่ยบอก “ข้าเป็นห่วงว่าเจียงหย่วนเฉาได้กลิ่นนี้แล้วจะจำข้าได้”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนขรึมลงน้อยๆ
สร้อยลูกประคำไม้กฤษณาเส้นนี้ของเจาเจาเป็นอู๋เหมยซือไท่มอบให้ คงเพราะเป็นเวลานานแล้วกลิ่นของมันจึงอ่อนจางมาก หากมิใช่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มีทางได้กลิ่นเลย
เจาเจาเป็นห่วงว่าเจียงหย่วนเฉาจะได้กลิ่น หรือว่าทั้งคู่เคยใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น
เจ้าลูกเต่าเจียงหย่วนเฉา!
ท่านแม่ทัพโกรธกรุ่นๆ ในอก พาให้บรรยากาศรอบข้างตึงเครียดไปทันควัน
“เหตุใดหรือ”
เซ่าหมิงยวนแค่นเสียงเยาะ “จำได้ก็ไม่เป็นไร”
เฉียวเจามองเขาอย่างหลากใจ
สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเฉยเมยยามกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฆ่าเขาทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางพูดอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แม่ทัพเซ่า ท่านเป็นอย่างนี้ออกจะทำตามอำเภอใจอยู่สักนิดหรือไม่”
เขากล่าวด้วยสีหน้านิ่งสนิท “จะปล่อยให้เขาทำลายงานสำคัญของพวกเราไม่ได้”
“เขาเป็นถึงว่าที่บุตรเขยของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ท่านสังหารเขาจริงๆ องครักษ์จินหลินพวกนั้นต้องไล่ล่าพวกเราอย่างไม่ลดละเหมือนสุนัขบ้าเป็นแน่”
“ตอนนี้พวกเราปลอมตัวอยู่ ขอแค่ทำอย่างมิดชิดลับตาคน องครักษ์จินหลินจะล่วงรู้ได้อย่างไร ถึงแม้พวกเขาจะหูตากว้างขวาง แต่อย่างไรก็หาใช่เทพเซียนไม่ เรื่องในใต้หล้านี้ที่พวกเราไม่รู้หรือสืบไม่ได้มีอยู่เยอะแยะไป” เซ่าหมิงยวนพูดอย่างไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาไม่คล้อยตามนัก “มากขึ้นเรื่องหนึ่งมิสู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง พวกเราแฝงกายเข้าฝูตงเพื่อช่วยผู้ตรวจการสิง แม้นยังไม่มีคนล่วงรู้ตอนนี้ แต่สุดท้ายพวกเราต้องพาผู้ตรวจการสิงไปที่เมืองหลวงกระมัง ถึงเวลาเจียงถังจะไม่รู้ว่าพวกเราเคยอยู่ที่ฝูตงหรือ ถ้าเจียงหย่วนเฉาถูกท่านสังหารจริงๆ ต่อให้เขาไม่มีหลักฐานมัดตัวก็ต้องสงสัยอยู่ในใจ จะอย่างไรเจียงหย่วนเฉาไม่ใช่คนชั้นสามัญ คนที่สามารถปลิดชีพเขาได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวย่อมมีอยู่ไม่มาก”
เซ่าหมิงยวนฟังเฉียวเจากล่าวจนจบ เขามองนางอย่างพินิจแล้วเอ่ยถามขึ้น “เจาเจา เจ้าไม่อยากให้เจียงหย่วนเฉาตายหรือ”
เฉียวเจารู้สึกแปลกๆ ชอบกลกับคำถามของเขา
เพื่อไม่ต้องกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกับกององครักษ์จินหลิน นางย่อมไม่อยากให้เขาสังหารเจียงหย่วนเฉาแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะพูดตั้งมากมายเช่นนี้ไปด้วยเหตุใดกัน
ประเดี๋ยวก่อน เจ้าคนผู้นี้ไม่ปกติอยู่สักหน่อย
แม่นางเฉียวช้อนตาขึ้นมองสบดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม นางคิดตามทันในบัดดล
“เซ่าหมิงยวน” นางเรียกขานคำหนึ่ง
ใต้แสงไฟมัวซัว สุ้มเสียงของเด็กสาวที่ดังกระทบหูแฝงนัยยั่วเย้าหลายส่วน
“หือ?” เซ่าหมิงยวนประสานสายตากับนาง
นางยักคิ้วน้อยๆ เอ่ยถามเสียงเรื่อยเฉื่อย “ท่านหึงหวงอยู่กระมัง”
ความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในใจถูกหญิงในดวงใจเปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า เป็นเหตุให้เซ่าหมิงยวนหน้าแดงจรดใบหู เขาเบนสายตาออกแสร้งทำเยือกเย็นกล่าวขึ้น “ใช่ที่ใดกัน ข้าเป็นคนไม่แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมออกจากกันอย่างนั้นหรือ”
แม่นางเฉียวหัวเราะคิก ท่านมิใช่คนประเภทนี้หรอกหรือ
“เอาล่ะ เจาเจา เจ้ารีบถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกเถอะ ตอนดึกเข้านอนจะสวมไว้ไม่ได้ ข้าจะไปล้างหน้าบ้วนปากเหมือนกัน” เซ่าหมิงยวนลุกลนเดินหนีไป
ผ่านไปสองเค่อเซ่าหมิงยวนซึ่งผลัดอาภรณ์ชุดใหม่แล้วหอบผ้าห่มผืนหนึ่งไปปูบนพื้น
เฉียวเจาปรายตามองเขาพลางพูดเสียงเรียบ “บนเตียงสิ”
เขาชะงักมือกึก
เจาเจาพูดว่าอะไรนะ
อืม ข้าฟังผิดแน่นอน
เขาขยับมือทำต่อไป
เฉียวเจาเห็นดังนั้นแล้วเลิกคิ้วสูง เดินตรงเข้าไปพูดเสียงเบาๆ “ไม่ได้ยินหรือ บอกให้ท่านขึ้นไปนอนบนเตียง”
ชายหนุ่มทำสีหน้าคล้ายละเมอฝันอยู่ “หา?”
นางหลับตาลงพูดดุ “เซ่าหมิงยวน เซ่าถิงเฉวียน ท่านต้องให้ข้าพูดเป็นรอบที่สามใช่หรือไม่”
ถึงแม้จะอยู่ในภาวะไม่ปกติ แต่เช่นนี้จะเลยเถิดไปสักนิดกระมัง
“เจาเจา ข้า…”
“ขึ้นไปนอนบนเตียง พิษไอเย็นของท่านยังขับออกไม่หมด นอนพื้นไม่ได้” เฉียวเจากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แก้ขัดคืนเดียวไม่เป็นไรหรอก” เซ่าหมิงยวนพูดอย่างขัดเขิน
เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้น เอ่ยถามชายหนุ่มที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง “ฟังท่านหรือว่าฟังข้า”
“ฟังเจ้าสิ”
นางค้อนเขาวงหนึ่ง หมุนกายเดินไปที่ข้างเตียงก้มตัวลงหอบผ้าห่มอีกผืนหนึ่งขึ้น
เซ่าหมิงยวนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจาเจา เจ้านอนบนพื้นร่างกายจะทนไม่ไหวนะ”
แม่นางเฉียวเหลียวมองเขาแวบหนึ่งก่อนดันผ้าห่มไปข้างใน พยายามวางท่าสงบนิ่งสุดความสามารถ “คิดอะไรกันเล่า ข้าไม่มีทางนอนบนพื้นอยู่แล้ว ถ้าล้มป่วยไปจะไม่เป็นตัวถ่วงของท่านหรือ”
ระหว่างเขากับนางนอกจากเข้าหอแล้วเรื่องที่ทำได้ก็ทำหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำเหนียมอายในเวลานี้อีก เพื่อช่วยผู้ตรวจการสิงออกมาได้อย่างราบรื่น ไม่มีอะไรที่ทนไม่ได้
เซ่าหมิงยวนงงงันไปหมด เพียงรู้สึกคล้ายมีคนจุดประทัดเสียงดังอึงอลในหัวสมองเขา
เจาเจาบอกว่าไม่นอนบนพื้น นี่หมายถึงว่านางกับเขาจะนอนด้วยกัน ร่วมเตียงเดียวกันใช่หรือไม่
ข้า…ข้าจะได้นอนกับเจาเจา?
เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกว่าคิดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว
เฉียวเจาถอดรองเท้าขึ้นเตียงอย่างว่องไว นางขยับเข้าไปริมด้านในจนชิดผนังห่อตัวในผ้าห่ม กล่าวเสียงเฉยเมยว่า “รีบนอนเถอะ”
เซ่าหมิงยวนดึงสติคืนมา เขายังไม่ค่อยแน่ใจเลยเอามือไพล่หลังแอบหยิกบั้นเอวทีหนึ่ง พอความเจ็บแล่นมาถึงมั่นใจว่ามิใช่ความฝัน เขาถอดรองเท้าออกจนมือเป็นระวิงแล้วเอนกายลงนอนริมเตียงด้านนอก
เขานอนตัวตรงแหน็วไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ผ่านไปนานพักหนึ่งแม่นางเฉียวกล่าวขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “ท่านนอนตรงสุดขอบเตียงเหมือนปลาตากแห้งตัวหนึ่งเช่นนั้นไม่กลัวตกลงไปหรือไร”
ถ้านอนท่านี้ทั้งคืน คะเนว่าคงจะเหนื่อยล้ายิ่งกว่าไม่ได้นอนอีก
“ไม่มีทางตก” กลิ่นกายเฉพาะตัวเด็กสาวกำจายมาแตะปลายจมูกไม่หยุด เซ่าหมิงยวนลอบสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งอย่างสงบอกสงบใจ กลับพบว่าไม่อาจเยือกเย็นลงได้ ในขณะที่สติมึนงงอยู่ร่างกายก็เลื่อนออกไปด้านนอกอีกโดยไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุนี้คนบางคนจึงตกจากเตียงไปเลย ก่อนจะได้ยินเสียงดังตุบลอยมาในเวลาชั่วอึดใจเดียวกัน
หลังจากหายตกตะลึงในทีแรก เด็กสาวก็หัวเราะออกมาเสียงเบาๆ นางย้อนถามเขาว่า “ไม่มีทางตกหรือ”
เซ่าหมิงยวนตะกายตัวลุกขึ้นอย่างหมดท่า เขาพูดอย่างเก้อกระดาก “ไม่ทันระวัง ไม่ทันระวังจริงๆ”
เฉียวเจาหันหลังไปแล้วไม่ปริปากอีก
เขาลอบมองแผ่นหลังของเด็กสาวแวบหนึ่ง
นางยังรวบผมขึ้นมุ่นมวยไว้กลางกระหม่อมดังเก่าเพื่อความสะดวก เผยให้เห็นเรียวคอระหงขาวผ่องกับลำตัวด้านข้างที่แบบบาง
นางห่มผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่งไว้บนตัว เห็นส่วนโค้งเว้าและเอวคอดกิ่วได้อย่างชัดเจน
เซ่าหมิงยวนลอบเขยิบตัวเข้าไปด้านในทว่าไม่กล้ามองต่อ เขาหันสายตาไปจ้องเพดานห้องที่เรียบเกลี้ยง หัวใจเต้นดุจรัวกลอง
เจาเจายังเด็กอยู่ เขาไม่สมควรคิดเหลวไหล
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เซ่าหมิงยวนยกมือก่ายหน้าผาก
คิดเหลวไหลไม่ได้!
เด็กสาวนิ่งเงียบมากคล้ายว่าหลับสนิทไปแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงัดเงียบ ราวกับว่ากลิ่นหอมอ่อนจางนั่นฉุนแรงขึ้นกะทันหัน ทำให้คนที่ได้กลิ่นแล้วตรงกลางอกปั่นป่วนว้าวุ่น จิตใจเคลิบเคลิ้มมึนเมา
เซ่าหมิงยวนลอบมองนางซ้ำอีกคราก่อนจะหลับตาพลิกตัว ผ่านไปครู่เดียวก็พลิกตัวอีก
เฉียวเจาซึ่งหันหน้าเข้าหาผนังกัดริมฝีปาก พูดอย่างเหลือทนว่า “เซ่าหมิงยวน ท่านทำแป้งย่างอยู่หรือ”
“ทำเสียงดังรบกวนเจ้าใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนกระอักกระอ่วนพอดู เขากำมือแน่นกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ข้าลงไปนอนบนพื้นจะดีกว่า”