หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 494
บทที่ 494
“ท่านประหม่าอะไรอยู่ ตอนอยู่ในถ้ำหนนั้นก็มีพวกเราแค่สองคนมิใช่หรือ” ครั้งนั้นเลยเถิดกว่าตอนนี้ไปตั้งมาก
“นั่น…นั่นไม่เหมือนกัน…”
“ไม่เหมือนกันอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มฝืดๆ “เจาเจา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นข้าหมดสติอยู่”
เขาไม่รู้ว่าบุรุษคนอื่นเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ หรือจะมีบุรุษที่เป็นอย่างหลิ่วซย่าฮุยในเรื่องเล่าขานอยู่จริง ไม่ว่าอย่างไรพอมาคราวตนเอง ได้นอนร่วมเตียงเดียวกับสตรีอันเป็นที่รัก ทั้งที่เขามีสติรู้ดีว่าไม่สมควรคิดเหลวไหล แต่ห้ามอารมณ์ที่เตลิดเพริดไปไกลไม่อยู่
“เหตุใดเจียงหย่วนเฉาถึงมาโผล่ที่นี่ได้นะ” เฉียวเจาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่นเสียเลย
การปรากฏตัวของเจียงหย่วนเฉาไม่ต่างอะไรกับเมฆดำที่แผ่คลุมจิตใจของคนทั้งคู่ พอได้ยินเฉียวเจากล่าวคำนี้เซ่าหมิงยวนหันเหความสนใจมาที่เรื่องนี้ดังคาด
“ก่อนหน้านี้พวกเราคาดเดาว่าเขาไปที่หลิ่งหนาน หรือว่าคะเนผิดพลาดเสียแล้ว หรือจะบอกว่าเขามีภารกิจอื่นอีกถึงออกจากหลิ่งหนานมาที่ฝูตง”
เซ่าหมิงยวนหันศีรษะไปมองเด็กสาวตรงริมเตียงด้านใน รู้สึกว่าทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป เขาจึงเบนสายตาไปมองด้านบน “เขาน่าจะเพิ่งเข้ามาในเขตฝูตงเหมือนพวกเรา ไม่อย่างนั้นด้วยศักดิ์ฐานะของเขาไม่มีทางพักแรมในโรงเตี๊ยมเช่นนี้”
“บางทีอาจเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจก็ได้นะ”
“ก็เป็นไปได้”
“เจินเหนียงเคยบอกว่าองครักษ์จินหลินที่ประจำการในฝูตงถูกสิงอู่หยางซื้อตัวไปแล้ว ถิงเฉวียน ท่านว่าเจียงหย่วนเฉามาสืบสวนเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
“บอกยาก องครักษ์จินหลินเป็นพวกมีลับลมคมใน ยากคาดเดาได้ว่าทำไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่เจียงหย่วนเฉามาในเวลานี้ก็มีนัยชวนให้ขบคิดอยู่บ้าง” เซ่าหมิงยวนสอดสองมือรองท้ายทอยแล้วรู้สึกว่าอิริยาบถนี้ไม่ค่อยสบายตัว เขาลอบกระเถิบเข้าไปด้านในอีกครา
เมื่อตัวไม่ยื่นออกไปนอกขอบเตียงอีก เซ่าหมิงยวนพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ อย่างสบายขึ้นพลางกล่าวต่อว่า “เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมบอกว่ามีเศรษฐีจากเมืองฝูซิงมาที่เมืองนี้มากมาย เห็นได้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่นเป็นแน่ อีกทั้งมิใช่เรื่องดีด้วยถึงทำให้เศรษฐีที่รักตัวกลัวตายพวกนั้นหนีมาหลบภัย ดังนั้นเจียงหย่วนเฉาปรากฏตัวขึ้นที่นี่กะทันหัน บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฝูซิง”
เฉียวเจาถอนใจเฮือก “หวังว่าเขาจะไม่สร้างความยุ่งยากให้พวกเราจึงจะดี”
“เจาเจา นอนเถอะ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในฝูซิง พรุ่งนี้พวกเราไปถึงก็รู้เอง”
“อื้อ นอนแล้ว”
ในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครา ทั้งคู่ต่างได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดหู
เมื่อตะเกียงน้ำมันมอดดับไป ทั่วทั้งห้องก็มืดมิด
นานพักใหญ่ต่อมาเฉียวเจาอดพลิกตัวไม่ได้ ก็ปะทะเข้ากับนัยน์ตาแวววาวคู่หนึ่งโดยพลัน
สายตาสองคู่มองสบกันแล้วต่างนิ่งงันไป
“ท่านยังไม่นอนอีกหรือ” เฉียวเจารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จะนอนแล้ว” เซ่าหมิงยวนรู้สึกประหม่าดุจเดียวกัน
เฉียวเจาเม้มปาก “เช่นนั้น…ก็รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางแต่เช้าตรู่นะ”
“ได้” ชายหนุ่มขานตอบอย่างว่าง่าย แต่ดวงตาทั้งคู่ยังจ้องมองนางอยู่
“ท่านมองอะไร” เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัดแน่น
เซ่าหมิงยวนกระดากอายอยู่บ้าง “ข้า…ข้ารู้สึกว่าเจ้างามชวนมอง”
เฉียวเจาลอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง นางแสร้งทำเยือกเย็นกล่าวขึ้น “ข้ารู้ว่าข้าโฉมงาม รีบนอนเถอะ”
“อื้อ นอนแล้ว” เซ่าหมิงยวนหลับตาลง
ด้านนอกมีเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ เป็นระยะ แต่ยังคงไม่มีฝนตกลงมาเสียที
ห้องนี้มีหน้าต่างเล็กๆ บานเดียว พอปิดเอาไว้ทำให้ในห้องร้อนอบอ้าวมาก
เฉียวเจาดึงผ้าห่มลงจนเผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวอ้อนแอ้น
เซ่าหมิงยวนลืมตาขึ้นแล้วหลับตาทันควัน ลมหายใจถี่แรงขึ้นหลายส่วน
แผ่นหลังของนางแข็งทื่อนานครู่ใหญ่ถึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางรำพึงในใจ ไม่ต้องสนใจเจ้าคนทึ่มผู้นั้น ข้าจะนอนของข้าแล้ว!
นางขยับเข้าไปด้านในอีกอย่างช่วยไม่ได้
“เจาเจา อย่าชิดผนัง จะเย็นเกินไป”
เฉียวเจาเกร็งตัวตรง พูดเสียงเรียบว่า “รู้แล้ว นอนเร็วเข้าเถอะ มัวแต่ร่ำไรต่อไปก็ฟ้าสางแล้ว…”
สิ้นเสียงนางอสนีบาตสายหนึ่งก็พาดผ่านกลางฟ้านอกห้อง ประกายแสงสว่างวูบขึ้นตรงช่องหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าลงมาดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งพื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปด้วยทันที
เสียงฟ้าผ่านี้น่าตกใจเหลือเกิน เซ่าหมิงยวนโอบตัวเฉียวเจาไว้โดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ เขาพูดเสียงนุ่มว่า “เจาเจา ไม่ต้องกลัวนะ”
เฉียวเจาแข็งเกร็งไปทั้งตัว ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่กลัว”
ดึกดื่นค่อนคืนจู่ๆ ก็โดนกอดไว้ยังน่ากลัวกว่าฟ้าผ่าตั้งเป็นกอง ทำเอานางตกใจจนตั้งสติไม่ได้เป็นนาน
ยังดีที่เป็นเซ่าหมิงยวน ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ นางคงเอาเข็มจิ้มไปแล้ว
นอกห้องสายพิรุณเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักพร้อมกับเกิดลมแรงโหมมาตีหน้าต่างราวกับจะกระแทกให้มันขาดทะลุจะได้พัดถาโถมเข้ามาในห้อง
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงๆ ไม่ขาดสายสลับกับประกายฟ้าแลบแปลบปลาบสาดส่องห้องให้สว่างไสวเป็นครั้งคราว
เขากับนางนอนหันหน้าเข้าหากัน ชั่วพริบตาที่สายฟ้าฟาดกลางฟ้านั้นสามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจน
เซ่าหมิงยวนเพ่งมองเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนิ่งๆ
ฝ่ายเฉียวเจาถูกนัยน์ตาสีดำเข้มเป็นพิเศษคู่นั้นของชายหนุ่มดึงดูดไว้จนลืมเบนสายตาออกไปชั่วขณะ
ท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนอง เซ่าหมิงยวนเลียริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ น้ำเสียงเขาแหบพร่า “เจาเจา?”
“หือ?”
“รอถึงปีหน้าพวกเราก็แต่งงานกันเถอะ”
ในบรรยากาศที่รัญจวนใจเฉกนี้ ได้ยินชายหนุ่มข้างกายเอ่ยคำนี้กะทันหัน พาให้เฉียวเจาหน้าแดงระเรื่อ “ปีหน้าข้ายังไม่ปักปิ่น”
ด้านนอกลมฝนกระโชกแรง เสียงพูดของบุรุษฟังดูทุ้มต่ำแหบแห้ง “สตรีที่ยังไม่ปักปิ่นแต่ออกเรือนมีอยู่ไม่น้อย”
เขาทนรอไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่มีทางเห็นด้วย”
ด้วยความรักที่นายท่านหลีกับฮูหยินมีต่อบุตรสาว ต้องหักใจให้นางออกเรือนเร็วไม่ได้เป็นแน่
“ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมพวกท่านเอง”
“ถ้าอย่างนั้นรอท่านพยายามแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เฉียวเจาพูดอย่างกำกวม
เซ่าหมิงยวนยินดียกใหญ่ “เจาเจา นี่หมายความว่าเจ้าไม่คัดค้าน?”
นางเม้มปากไม่กล่าววาจา
เสี้ยวเวลาที่มีนัยลึกซึ้งเฉกนี้ การเงียบของอีกฝ่ายไม่ต่างอันใดกับตอบตกลงทางอ้อม
เซ่าหมิงยวนดีใจจนอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ จูบหน้าผากเฉียวเจาทีหนึ่ง
เขาจูบแล้วชะงักนิ่ง
ทั้งคู่อยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง กระทั่งปลายจมูกยังแทบชนกัน ลมหายใจรินรดใส่กันและกัน พลอยให้หัวใจเริ่มเต้นเป็นจังหวะเดียวกันทีละน้อย
“เจาเจา ข้า…”
นางยื่นนิ้วชี้ไปวางบนริมฝีปากเขา “ไม่ต้องอธิบาย”
ปลายนิ้วนุ่มนิ่มของเด็กสาวละม้ายแผ่ประจุพลังระลอกหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย
เฉียวเจาหลบสายตาแรงกล้าของอีกฝ่าย นางพลิกตัวอย่างเก้อเขิน กลับรับรู้ได้โดยพลันว่ามีของแข็งๆ บางอย่างจ่อที่หลังตน
นางพลิกตัวกลับเหมือนโดนไฟลวก แต่อารามรีบร้อนทำให้กลีบปากอ่อนนุ่มชนเข้ากับเรียวปากของเขา
ลมหายใจของเซ่าหมิงยวนสะดุดขาดห้วง
สายตาของเขากับนางสบประสานกัน ปากประกบปาก
หลังจากหายตะลึงพรึงเพริดในทีแรก เฉียวเจารีบกระถดตัวถอยหนี แต่ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับท้ายทอยของนางดันมาข้างหน้าแล้วจุมพิตอย่างดูดดื่ม
ลมหายใจถี่แรงอาจถูกเสียงฝนฟ้าคะนองกลบทับไว้ แต่พอมันลอยมากระทบหูคนทั้งคู่กลับดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าคำรามนอกห้อง
เฉียวเจาถูกเขาจูบจนสมองว่างเปล่าขาวโพลน ได้ยินแต่เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง
ท่าทางโอนอ่อนของเด็กสาวทำให้ลมหายใจของเขาถี่แรงมากขึ้น เวลานี้เองสายอสนีสว่างวาบขึ้น ทำให้เขามองเห็นแพขนตายาวเฟื้อยสั่นระริกกับสองแก้มแดงปลั่งดุจดอกท้อของเด็กสาวได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะพลันขาดผึง เซ่าหมิงยวนเลื่อนสองมือลงไปที่เอวนางแล้วอุ้มขึ้นมาวางบนตัวเขา