หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 495
บทที่ 495
ร่างของเด็กสาวเบามาก นางทาบทับอยู่บนกายชายหนุ่มทั้งตัวละม้ายขนนกก็ไม่ปาน
จุมพิตของเขาเริ่มเร่งเร้ายิ่งกว่าลมฝนข้างนอก
“เซ่า…” เฉียวเจาอ้าปากเรียกชื่อเขากลับทำให้อีกฝ่ายสบช่องรุกล้ำเข้าไป นางรู้สึกวิงเวียนตาลายจนได้แต่เกาะเกี่ยวเขาไว้ดุจเถาวัลย์ เสียงเรียกในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางเครือ
ชายหนุ่มตวัดลิ้นเล็กขึ้นอย่างเผด็จการแล้วกวาดปลายลิ้นซอกซอนไปทุกอณูในโพรงปาก พาความสั่นสะท้านแผ่ลามไปทั่วร่าง
ท่ามกลางเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องคำราม เสียงหอบหายใจในห้องคับแคบมืดมิดดังขึ้นทุกที
เขาพลันพลิกตัวอุ้มเด็กสาวบนกายวางลงด้านข้าง มือใหญ่สองข้างเปลื้องเสื้อของนางลงมาถึงหัวไหล่อย่างรวดเร็ว ก้มหน้าเอาปากครอบปลายยอดถันเย้ายวนใจที่อยู่ใต้เสื้อตัวในสีอ่อนละมุน
“เซ่าหมิงยวน…” ดวงตาฉ่ำปรือของเฉียวเจาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ ทว่าเสียงท้ายประโยคกลับแหลมสูงปนกระเส่าเพราะเขาขบกัดตรงจุดนั้นกะทันหัน
หญิงสาวแทบอยากเอาศีรษะมุดแทรกแผ่นดินหนีใจจะขาด นางกล่าวเสียงคับแค้น “เซ่าหมิงยวน ท่านเสียสติไปแล้ว…อือๆ…”
เขาใช้ปากปิดปากนางไว้ทันที ฝ่ามือใหญ่เคล้นคลึงจุดที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลนั่น
เฉียวเจาเพียงรู้สึกว่าความเสียวซ่านแล่นปราดไปตามแขนขา ทำให้นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะดิ้นขัดขืน
พอเจ้าคนบ้าผู้นี้เสียสติขึ้นมา…แทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยทีเดียว!
แม่นางเฉียวคิดคำนึงด้วยสติที่พร่าเลือนขณะที่อารมณ์กำลังปั่นป่วนวุ่นวาย
“เจาเจา ข้าคะนึงหาเจ้า คะนึงหาเสียจนหัวใจเจ็บปวดไปหมดแล้ว…” เซ่าหมิงยวนพูดเสียงอู้อี้ เขารู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมอกร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แรงปรารถนาที่พลุ่งพล่านตรงกลางอกละม้ายคลื่นคลั่งถั่งโถมไปทุกทิศแต่หาทางออกไม่เจอ ส่งผลให้ทุกส่วนของร่างกายเขม็งเกลียวจนเริ่มเจ็บปวด
“เจาเจา ข้าสมควรทำฉันใดดี”
“ท่าน…ท่านบัดซบ…” เสียงต่อว่าต่อขานของเด็กสาวเบาหวิวไร้น้ำหนักแม้สักนิด
“เจาเจา…เจาเจา” เซ่าหมิงยวนส่งเสียงเรียกชื่อนี้ลอดผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่บดเบียดกันไม่หยุด ทุกครั้งที่เรียกเขาจะรู้สึกว่ามีกระแสความร้อนไหลพล่านไปตามเนื้อตัวเป็นระลอก
เขาอาศัยสัญชาตญาณของบุรุษ เลื่อนฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งลงไปล้วงใต้ชายกระโปรงเด็กสาว เข้าไปลูบไล้บุปผางามอย่างคล่องแคล่ว สัมผัสที่ชื้นแฉะตรงนั้นทำให้นิ้วมือของชายหนุ่มเริ่มสำรวจบุกเบิกไปตามครรลองธรรมชาติ
ชั่วอึดใจนั้นเฉียวเจาแอ่นหลังขึ้น นางสั่นระริกไปทั้งตัว เอ่ยถามเสียงออดอ่อยว่า “เซ่าหมิงยวน ท่านคิดจะทำอะไร”
เสียงถามของนางอ่อนเบา ทว่าหางตากลับมีน้ำตาคลอ
บุรุษที่สิ้นความยับยั้งชั่งใจได้สติฉับพลัน
เขาเลื่อนสายตาลงไปเห็นมือใหญ่ที่ล้วงอยู่ใต้กระโปรงนางแล้วตะลึงลานไปหมด
“เจาเจา ข้า…” เมื่อครู่นี้เขาทำอะไรกันแน่!
ใบหน้าของเฉียวเจาแดงก่ำ “ท่านยังไม่เอามือออกไปอีก”
“อ้อ ได้…” เซ่าหมิงยวนดึงมือกลับอย่างลนลาน แต่พอเห็นรอยเปียกเป็นวงที่เสื้อบังทรงสีเขียวอ่อนตัวนั้นซึ่งสวมอยู่บนร่างบอบบางของเด็กสาวแล้ว เขาก็นิ่งงันไปอีก
บางสิ่งร้อนผ่าวตรงลำตัวท่อนล่างกระตุกสองทีอย่างควบคุมไม่อยู่ มันยื่นไปจ่อต้นขาของนางอย่างไม่เกรงใจสักนิด
เซ่าหมิงยวนพลิกกายลงจากเตียงอย่างอับอาย
เฉียวเจาดึงเสื้อขึ้นอย่างว่องไว นางกัดริมฝีปากไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เขาเดินไปที่โต๊ะเทน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่มอั้กๆ ลงคอจนหมดแล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสู้หน้าเฉียวเจาไปชั่วขณะ
เสียงฝนนอกหน้าต่างเบาลงทุกที มีลมเย็นเล็ดลอดเข้ามาตามรอยแยกหน้าต่างทำให้หัวสมองแจ่มใสขึ้น
รอหลังจากอารมณ์สงบลง เซ่าหมิงยวนจุดตะเกียงน้ำมันใหม่อีกทีถึงรวบรวมความกล้าหมุนกายไป
ใต้แสงไฟสลัวๆ เห็นเด็กสาวมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย สายตาลึกล้ำจนหยั่งใจไม่ออก
เซ่าหมิงยวนเดินไปลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางที่ข้างเตียงแล้วนั่งลง เขาเปล่งเสียงเรียก “เจาเจา”
เฉียวเจาเม้มมุมปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
เจ้าคนผู้นี้ทำวางท่าเคร่งขรึมจริงจัง แต่แท้ที่จริงไม่มีเรื่องที่เขาไม่กล้าทำ!
“เจาเจา เจ้าโมโหหรือ”
“หรือว่าข้าไม่ควรโมโห”
“ควรโมโหๆ” เซ่าหมิงยวนจับมือนางขึ้น “ข้าสมควรถูกตบ เจ้าตบข้าสิ”
เฉียวเจาสะบัดมือออก พลางกล่าวอย่างเยาะหยัน “ขอทีเถอะ ตอนนี้มีสติก็บอกว่าสมควรถูกตบ แต่คราวหน้าท่านก็ทำเหลวไหลโดยไม่ยับยั้งชั่งใจอีก”
พอเห็นริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น เฉียวเจาแค่นหัวร่อด้วยความโกรธ
เจ้าคนบัดซบผู้นี้ถึงกับไม่กล้าโต้แย้ง เห็นได้ว่าวันหน้ายังคิดจะทำเช่นนี้อีก
คราวนี้เขากล้าเอามือล้วงกระโปรงนางแล้ว คราวหน้าจะร่วมหอกันจริงๆ ใช่หรือไม่
“เจาเจา อย่าโมโหเลยนะ” เซ่าหมิงยวนพูดอ้อนวอนเสียงอ่อน เพราะเพิ่งบังเกิดอารมณ์ปรารถนา ทำให้สุ้มเสียงเขาทุ้มต่ำแหบพร่ามากขึ้น
เฉียวเจาเบือนหน้าหนี
เซ่าหมิงยวนพลันก้มตัวลงดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งจากสนับแข้งมายัดใส่มือนาง
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นอย่างฉงนใจ
เขาเม้มริมฝีปากที่แห้งผากแล้วบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “เจาเจา หากมีครั้งหน้าอีก เจ้าแทงข้าได้เลย”
นางโยนมีดสั้นลงพื้นทันที พูดเสียงโกรธเกรี้ยว “คนบัดซบ!”
ถ้านางทำได้ลงคอ ไยถึงขั้นปล่อยให้เขาประชิดตัวลวนลามรังแกตามชอบใจ
เขาใช้วิธีถอยเพื่อรุกเช่นนี้ ยังมียางอายอยู่หรือไม่กันแน่
สายตาของชายหนุ่มมองตามมีดสั้นที่หล่นลงบนพื้นแล้วมุมปากยกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาดึงเด็กสาวที่โมโหจนตัวสั่นเข้ามาในวงแขน กระซิบถามนางเสียงเบา “เจาเจา เจ้าหักใจทำไม่ได้ใช่หรือไม่”
“เซ่าหมิงยวน ท่านใช้กำลังรังแกข้าอย่างนี้ มโนสำนึกของท่านหายไปที่ใดกัน”
เขากะพริบตาปริบๆ วางปลายคางเกยบนกระหม่อมของนางพลางพูดพึมพำ “เด็กโง่ ยามใกล้ชิดเจ้า ข้าลืมแม้กระทั่งว่าตนเองเป็นใคร มีหรือยังจำได้ว่ามโนสำนึกคืออะไร”
เด็กโง่คนนี้ช่างไม่เข้าใจบุรุษจริงๆ บุรุษผู้หนึ่งอาจมีจิตใจเข้มแข็งดุจเหล็กกับสตรีคนใดก็ได้ แต่คนที่เป็นพระอิฐพระปูนกับนางในดวงใจได้นั้นคงจะมีแต่พวกไร้ดุ้นในวังหลวงนั่น
เซ่าหมิงยวนจับมือนางขึ้นมาจรดเรียวปากแล้วจุมพิต “เจาเจา รีบแต่งงานกับข้าเถอะนะ ข้ากลัวว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องกลายเป็นคนบัดซบจริงๆ”
“ท่านก็เป็นคนบัดซบอยู่แล้ว”
“ใช่ ข้าเป็นคนบัดซบ วันนี้ข้าทำเกินไปแล้ว…” เซ่าหมิงยวนพูดคำนี้แล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่กลับวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดอย่างช่วยไม่ได้
เฉียวเจาเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะไม่รู้ว่าบุรุษตรงหน้าคิดไปถึงอะไร นางหน้าแดงเตะเขาทีหนึ่งเต็มแรง “ห้ามคิดเหลวไหลอีกนะ”
สำหรับเซ่าหมิงยวนแล้วโดนนางเตะก็ไม่เจ็บไม่คัน กลับทำให้จิตใจสั่นหวิว เขาตวัดมือจับเท้าเล็กเท่าฝ่ามือของเด็กสาวมาวางกลางอก พูดล่อหลอกว่า “เจาเจา เตะขาไม่เจ็บ เจ้าเตะตรงนี้เถอะ”
หัวอกเขาใกล้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะแรงปรารถนาที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกใหม่อยู่แล้ว
เขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าที่แท้ความรู้สึกที่หัวใจเต้นเพราะสตรีนางหนึ่งเป็นอย่างนี้นี่เอง
ลืมตาก็คิดถึงนาง หลับตาก็ยังคิดถึงนาง อยากจะกลืนกินนางเข้าไปหลอมรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกห่างกันสักเสี้ยวขณะอีกต่อไป
เฉียวเจาดิ้นขัดขืน “ปล่อยข้านะ”
ท่านแม่ทัพซึ่งได้สติคืนมาแล้วอยู่ในโอวาทมาก เขาปล่อยเท้าของนางอย่างว่านอนสอนง่าย ทว่าในอกว่างโหรงเหรงเคว้งคว้าง
พอเห็นท่าทางของเขา เฉียวเจาไม่รู้ว่าจะโมโหหรือหัวเราะดี สุดท้ายนางหลับตาลงกล่าวว่า “เซ่าหมิงยวน วันหน้าท่านห้ามทำอย่างนี้ ข้า…ข้ายังไม่ปักปิ่นนะ”
ชายหนุ่มทำคอตกราวกับสุนัขตัวโตโดนเจ้าของทอดทิ้งในค่ำคืนที่พายุฝนโหมแรง เขาพยักหน้าอย่างเชื่องๆ “ข้ารู้แล้ว”
เฉียวเจาชายตามองเขาแล้วลอบถอนใจเบาๆ นางพูดเสียงค่อย “ปักปิ่นแล้วก็ไม่ได้ ท่านจะรอหลังจากแต่งงานไม่ได้หรือ”
แม้ว่านางไม่สนใจธรรมเนียมมารยาทอันใด แต่ตั้งครรภ์โดยยังไม่แต่งงานก็ผิดจารีตประเพณีเกินไป
“ข้าจะรอ” เขาจับมือนางไว้ “ข้ารอได้”