หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 497
บทที่ 497
“ไม่ค่อยสงบสุขเช่นไรหรือ” เฉินกวงขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน
ผู้เฒ่าเอาก้อนเงินยัดกลับไปในมือเขา กล่าวทอดถอนใจ “ข้าไม่ได้เห็นแก่เงินของพ่อหนุ่มหรอกนะ แต่เพราะขนมสายไหมรังนกที่ท่านให้หลานชายข้าห่อนั้น ข้าก็เลยอยากเตือนพวกท่านสักคำ คืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน จวนของขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งโดนคนร้ายปิดล้อมไว้ เสียงต่อสู้ฆ่าฟันกันดังอยู่ครึ่งค่อนคืนถึงหยุดลง เผอิญว่าข้าต้องไปส่งฟืนที่คฤหาสน์หลังนั้นทุกวันพอดี เช้าวันนั้นท้องฟ้าเพิ่งสว่างเรื่อๆ มองเห็นพื้นศิลาเขียวกลายเป็นสีแดง มีคนกำลังสาดน้ำชะล้างออกอ่างแล้วอ่างเล่า”
เฉินกวงฟังแล้วสะดุ้งโหยงในใจ เขาถามเสียงรัวเร็ว “ไม่ทราบว่าเป็นจวนของขุนนางใหญ่ท่านใดขอรับ”
“ก็จวนของท่านแม่ทัพสิงผู้นั้นอย่างไรเล่า คนในครอบครัวเขาอาศัยอยู่ในนั้น” ผู้เฒ่าโคลงศีรษะเอ่ยต่อ “จุๆ คนร้ายพวกนั้นช่างเลอะเลือนจริงๆ จะหาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ไฉนต้องไปหาเรื่องแม่ทัพสิงด้วยเล่า เขามีทหารในมือตั้งมากถึงเพียงนั้น รับมือคนร้ายไม่กี่คนเป็นเรื่องง่ายแสนง่ายมิใช่หรือไร”
“ท่านลุงจากมาเพราะเรื่องนี้หรือขอรับ”
ผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ความจริงเรื่องนี้ยังไม่มีข่าวแพร่ออกไปในเมือง คนที่ได้ข่าวล้วนมีลู่ทางเส้นสายอยู่บ้าง ส่วนข้าก็บังเอิญไปพบเห็นเข้าถึงได้รู้ พ่อหนุ่มคิดดูนะ เมืองฝูซิงนี้หาใช่หมู่บ้านเล็กๆ เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นในเมืองใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ไม่น่าตกใจหรือไร วันนี้คนร้ายพวกนั้นบุกเข้าจวนแม่ทัพสิงได้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจฆ่าคนวางเพลิง ด้วยเหตุนี้พวกคนที่ได้ข่าวถึงพากันออกมาหลบภัยชั่วคราว ตัวข้าอยู่ว่างๆ พอดีก็เลยพาหลานชายไปหาบิดามารดาของเขา”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง ขอบคุณท่านลุงที่เตือนนะขอรับ” เฉินกวงประสานมือคำนับ
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนแล้วฉุดหลานชายตัวน้อยทีหนึ่ง “เอาล่ะ พักผ่อนพอแล้ว พวกเราควรไปต่อได้แล้ว พ่อหนุ่ม ถ้าพวกท่านไม่รีบร้อนก็อย่าเพิ่งไปเมืองฝูซิงตอนนี้นะ”
“ขอรับ พวกข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านลุงมาก”
ผู้เฒ่าพาหลานชายเดินห่างไปทุกทีๆ พวกเฉียวเจาสามคนยังคงยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
“มีคนร้ายบุกโจมตีจวนของสิงอู่หยาง?” เซ่าหมิงยวนตรึกตรองคำบอกเล่าของผู้เฒ่า เขาหันไปมองเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าสังเกตได้หรือไม่ว่าน้ำเสียงตอนผู้เฒ่าเอ่ยถึงคนร้ายพวกนั้นเมื่อครู่นี้ไม่คล้ายชาวบ้านเกลียดชังโจรผู้ร้าย กลับแฝงความเสียดายไว้จางๆ”
เฉียวเจาพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ดูเหมือนอยากให้คนร้ายพวกนั้นทำสำเร็จใจจะขาดกระนั้น เห็นได้ว่าสิงอู่หยางไม่เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านมากเพียงใด”
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองไปที่ไกลๆ สองปู่หลานคู่นั้นลับร่างไปทีละน้อยแล้ว
“คนร้ายพวกนั้นเป็นใคร ชักน่าสนใจแล้วสิ”
เฉียวเจาทำท่าครุ่นคิด “เล็งเป้าไปที่จวนของสิงอู่หยางต้องมิใช่เพื่อทรัพย์สิน หากเป็นเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกแทะกระดูกชิ้นโตที่สุด”
“แล้วเจ้าเห็นว่าเพราะอะไร” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถาม
“พวกเรายังไม่รู้สถานการณ์ทางนั้นสักนิด จะเดาได้ที่ใดกัน” เฉียวเจาหัวเราะ แต่พอมองสบสายตาคะยั้นคะยอของชายหนุ่ม นางคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าจะเกี่ยวข้องกับชาวบ้านลุกฮือขึ้น”
เซ่าหมิงยวนเอามือไพล่หลัง ประกายตาเขาแปรเป็นเข้มขึ้นขณะกล่าวเสียงเบา “หรืออาจจะเป็นทหารแข็งข้อ”
เฉียวเจาตกใจ “ทหารก่อกบฏ? เหตุใดท่านคิดเช่นนี้”
ทหารก่อกบฏต่างจากชาวบ้านก่อจลาจล ในอาณาเขตของผู้บัญชาการทหารประจำการผู้หนึ่งมีทหารกระด้างกระเดื่อง นี่พิสูจน์ได้ว่ามณฑลทหารใต้อาณัติเขาเน่าฟอนเฟะถึงเนื้อในแล้ว
“ข้าไม่มีสิ่งใดอ้างอิง เป็นเพียงสัญชาตญาณของแม่ทัพผู้หนึ่งที่รบทัพจับศึกมาตลอดหลายปีนี้” เซ่าหมิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา
สัญชาตญาณเช่นนี้มิใช่ถ้อยคำเหลวไหลไร้สาระอันใดเด็ดขาด แต่เป็นประสบการณ์ในการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงในพริบตาของสถานการณ์รบที่สั่งสมจากสมรภูมิน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน
“ไปเถอะ เมืองฝูซิงเป็นอย่างไรกันแน่ ไปดูให้เห็นกับตาก็รู้เอง”
ทั้งสามเร่งเดินทางต่อไปจนถึงตอนบ่าย เมืองฝูซิงซึ่งมีประตูเมืองทรงโค้งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตา
ข้างประตูเมืองมีทหารยืนอยู่กองหนึ่งกำลังตรวจค้นคนเข้าเมือง
“คุณชายใหญ่…” เฉินกวงเรียกขานคำหนึ่ง
“ไม่เป็นไร”
ทั้งสามเดินไปต่อแถวรอตามลำดับจนถึงพวกเขา ทหารที่ยืนอยู่ข้างประตูเมืองพิศดูเซ่าหมิงยวนกับเฉินกวงแล้วเอ่ยถามเสียงกระด้าง “ไม่ใช่คนท้องถิ่น?”
ไม่ว่าเซ่าหมิงยวนหรือเฉินกวงต่างมีเรือนกายสูงเด่นสะดุดตาในแถบชายทะเลทิศใต้นี้
“ใช่ พวกข้าจะขอพึ่งพาอาศัยญาติพี่น้องขอรับ” เฉินกวงตอบยิ้มๆ
“ใบผ่านทาง” ทหารยื่นมือออกมา
เฉินกวงรีบยื่นใบผ่านทางให้ สิ่งที่มอบให้พร้อมกันยังมีก้อนเงินน้ำหนักพอสมควรก้อนหนึ่ง
น้ำหนักของก้อนเงินในมือทำให้ทหารกวาดตามองใบเบิกทางผ่านๆ แล้วส่งคืนให้เฉินกวง พลางเอ่ยเตือนว่า “อย่าก่อเรื่อง”
“แน่นอนขอรับๆ พวกข้าเป็นชาวบ้านสุจริตที่รู้หน้าที่ของตนดีขอรับ”
ทั้งสามเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นแล้วมองหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากจวนของสิงอู่หยางไม่ไกลนักเป็นที่พักแรม เฉินกวงบ่นอุบอิบ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอยู่มาวันหนึ่งความสูงจะกลายเป็นอุปสรรคได้เช่นกัน”
“จุดเด่นกับจุดด้อยเดิมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เฉินกวง เจ้าพักผ่อนสักครู่แล้วออกไปเสาะหาเรือนชาวบ้านธรรมดาๆ สักหลังแล้วเช่าเอาไว้ พรุ่งนี้พวกเราย้ายไปอยู่ที่นั่น”
“ยังต้องเช่าเรือนด้วยหรือขอรับ” เฉินกวงประหลาดใจครามครัน
“พอช่วยผู้ตรวจการสิงออกมาได้ อีกฝ่ายต้องรู้ทันที ถึงตอนนั้นต้องเริ่มออกค้นตามโรงเตี๊ยมเป็นที่แรก ความสูงของพวกเราสองคนทำให้คนอื่นเดาออกได้ง่ายว่ามาจากทางทิศเหนือ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยอธิบาย
“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้เลย”
จากนั้นตอนพลบค่ำเฉินกวงก็กลับมา
“ท่านแม่ทัพ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “อื้อ คืนนี้เจ้าคุ้มครองคุณหนูหลีด้วย ข้าจะไปสอดแนมที่จวนสกุลสิงสักหน่อย”
“จวนสกุลสิงแห่งใดหรือ” เฉียวเจาไต่ถาม
สิงอู่หยางกับผู้ตรวจการสิงต่างแซ่เดียวกันโดยบังเอิญ เซ่าหมิงยวนตั้งใจจะไปที่ใดต้องถามให้แน่ชัดจริงๆ
“ต้องสอดแนมทั้งสองแห่ง”
ล่วงเข้ายามราตรีอย่างรวดเร็ว เซ่าหมิงยวนผลัดอาภรณ์เป็นชุดสีดำรัดกุม กระทั่งดวงหน้าหล่อเหลาก็ถูกปกปิดไว้ใต้ผ้าสีคลุมสีดำ มีเพียงดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นโผล่ออกมา
“เจาเจา ข้าไปล่ะนะ” เซ่าหมิงยวนยกมือลูบเรือนผมสลวยของเฉียวเจาเบาๆ
“ท่านระวังตัวด้วย”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “วางใจได้ ข้าจะกลับมาโดยไว”
เฉียวเจาหยิบถุงผ้าปักใบเล็กกะทัดรัดในแขนเสื้อออกมายื่นส่งให้ “พกสิ่งนี้ไว้ ในนั้นใส่ยาไว้หลายอย่าง ขวดสีแดงเป็นยาลูกกลอนถอนพิษหนึ่งเม็ด ถ้าโดนพิษที่พบได้บ่อยๆ กินเข้าไปสามารถต้านทานได้หนึ่งชั่วยามเป็นอย่างน้อย ขวดสีขาวเป็นยาผงห้ามเลือด โรยบนปากแผลจะห้ามเลือดได้อย่างรวดเร็ว ส่วนในขวดสีเขียวเป็นยาทิพย์…”
นางชะงักเล็กน้อย มองเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ “ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องใช้มัน”
เรือนกายของชายหนุ่มสูงกว่ามาก นางจำเป็นต้องแหงนคอมองหน้าเขา จึงเห็นรอยยิ้มหวานซึ้งในดวงตาคู่นั้นได้ชัดถนัดถนี่พอดี
แม่นางเฉียวคิดคำนึง บุรุษผู้นี้เป็นของข้า ไม่ว่าเขาจะหน้าหนาพาลเกเรปานใด ข้าล้วนหักใจให้ผู้ใดทำร้ายเขาไม่ได้ ผู้ใดกล้าทำร้ายบุรุษของข้า ข้าก็จะให้มันผู้นั้นต้องเคราะห์ร้าย
แม่นางเฉียวหยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กเท่าฝ่ามืออีกใบหนึ่งในแขนเสื้อออกมายื่นส่งให้ นางพูดกำชับว่า “ยาทิพย์ใช้สำหรับยื้อชีวิต ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางได้ใช้มัน เพียงเผื่อไว้ป้องกันหนึ่งในหมื่น สำหรับของในขวดใบนี้ ถ้าหากพบกับคนที่รับมือได้ยากมากจริงๆ เปิดฝาจุกออกแล้วสาดใส่ตัวเขา”
“แล้วจะเป็นอย่างไร”
“ก็ไม่มากไม่มาย แค่ไหม้พุพองไปทั้งร่างคล้ายโดยไฟเผาในชั่วพริบตาเท่านั้นเอง” แม่นางเฉียวพูดง่ายๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เซ่าหมิงยวนถือขวดกระเบื้องในมืออย่างลังเลครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามขึ้น “นี่เป็นหมอเทวดาหลี่มอบให้เจ้ากระมัง”
เฉียวเจามิได้ปฏิเสธ
เดิมทีนี่คือของป้องกันชีวิตที่หมอเทวดาหลี่มอบให้นางตอนแยกจากกันก่อนหน้านี้ไม่นาน
เซ่าหมิงยวนยัดขวดกระเบื้องคืนใส่มือนาง “เด็กโง่ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้หรอก”