หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 498
บทที่ 498
เฉียวเจากำขวดกระเบื้องไว้แน่นพลางมองบุรุษร่างสูงใหญ่เบื้องหน้า
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มพลางยีผมนาง “ไม่ต้องใช้จริงๆ เจ้าวางใจได้ ข้าจะกลับมาโดยไว”
“ตกลง พวกข้าจะเตรียมอาหารมื้อดึกไว้รอท่านนะ”
รอยยิ้มในดวงตาเขาฉายชัดขึ้น “ข้าจำได้ว่าเฉินกวงซื้อของทะเลสดไว้ ข้าอยากกินไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนกับกุ้งผัดต้นหอม”
“รู้แล้ว” ความวิตกกังวลในใจหญิงสาวถูกแทนที่ด้วยความขบขัน
“ข้าไปแล้วนะ” เขาพลันยื่นสองแขนไปกอดเฉียวเจาอึดใจหนึ่งแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปั้นหน้าขรึมสั่งกำชับเฉินกวง “คุ้มครองคุณหนูหลีให้ดี”
จวบจนเซ่าหมิงยวนไปแล้ว เฉินกวงยังขยุ้มผมตนเองอยู่
เพราะอะไรถึงรู้สึกคล้ายดังคำกล่าวว่าลูกศิษย์สำเร็จวิชา อาจารย์อดตายเล่า
ท่านแม่ทัพกับคุณหนูหลีหวานชื่นเพียงนี้ เขาทั้งดีใจทั้งเปลี่ยวใจจริงๆ
เฉินกวงเห็นเฉียวเจายืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิมเลยพูดปลอบ “คุณหนูสาม ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องไปสอดแนมข้าศึกยามวิกาลพรรค์นี้ สำหรับท่านแม่ทัพของข้าแล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อยนิดขอรับ”
นางมองเขาแวบหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ากำลังคิดวิธีทำอาหารมื้อดึกอยู่”
กุ้งผัดต้นหอมยังพอรับมือไหว แต่ไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนนั้นควรทำอย่างไรดีนะ
แม่นางเฉียวง่วนอยู่ในห้องครัวที่ขอยืมใช้อยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ยกอาหารที่ดูเข้าท่าเข้าทางออกมาสองจาน
เฉียวเจาล้างมือเสร็จก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะกินอาหาร แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนาน นางอดสะดุดใจไม่ได้
ใช่หรือไม่ว่าเซ่าหมิงยวนไม่อยากให้นางรู้สึกว่าช่วงเวลาที่จับเจ่าเฝ้ารอนั้นยากทานทน ถึงได้อยากจะกินไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนอะไรนี่
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวตรงกลางอกนางก็อุ่นผะผ่าว ห้วงความคิดปรากฏภาพดวงหน้าหล่อเหลาสดใสของคนผู้นั้นอย่างแจ่มชัด
นางมั่นใจว่าเขาไม่มีทางพบกับอันตรายใดๆ ทว่าในค่ำคืนอันสงัดเงียบไร้สรรพเสียงนี้ พอได้กลิ่นหอมของอาหารนางถึงได้กระจ่างแจ้งว่าอันใดเรียกว่าพะวักพะวนจนเสียกระบวนไปเอง
ใจนางพะวงถึงบุรุษผู้นั้น ความรู้สึกที่พันผูกกันไว้ทำให้นางอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ มีเพียงเห็นหน้าเขาความวิตกหวาดหวั่นในอกจึงจะสงบลงได้
นางอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับอารมณ์อย่างนี้ กระนั้นลึกๆ ในใจกลับบังเกิดความอบอุ่นมั่นคงคล้ายหัวใจมีที่พักพิงแล้ว
จิตใจตรงกันคงเป็นเรื่องดีงามมากเรื่องหนึ่ง แม่นางเฉียวคิดคำนึงเช่นนี้แล้วเม้มปากยิ้ม
เฉินกวงลอบทำจมูกฟุดฟิด เขาลูบท้องพร้อมกล่าวว่า “อาหารที่ท่านทำดูท่าทางไม่เลวเลยขอรับ”
ไฉนท่านแม่ทัพยังไม่มาอีกนะ ขืนมาช้ากว่านี้อาหารเย็นชืดหมดแล้ว!
เฉียวเจาหลุบตามองไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนที่โรยหน้าด้วยพริกหวานหั่นฝอยจานนั้น ลอบนึกในใจว่า ทำเสียไปตั้งหลายจานกว่าจะทำออกมาได้เข้าท่าเข้าทางจานหนึ่งเช่นนี้ ถ้าเกิดรสชาติไม่ดี ข้าคงต้องขายหน้าแล้ว
“คุณหนูสาม ไก่ผัดแมงกะพรุนนี่อร่อยหรือไม่ขอรับ”
นางชายตามองเฉินกวงที่ยิ้มหน้าระรื่น ก่อนพูดอย่างถ่อมตนว่า “น่าจะพอกินได้ แค่ไม่รู้ว่าจะถูกปากท่านแม่ทัพของเจ้าหรือไม่”
เขาหัวเราะแหะๆ “ความจริงข้ากับท่านแม่ทัพชอบรสชาติเดียวกัน หรือไม่ข้าช่วยลองชิมให้ดีหรือไม่ขอรับ”
โอยๆๆ ตอนกลางดึกหิวท้องร้องจ๊อกๆ เลย เหตุใดท่านแม่ทัพยังไม่มาอีก!
เฉียวเจามองเขายิ้มๆ “จานนี้ทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้า ถ้าเจ้าอยากชิม ข้ายังเก็บไว้อีกจานหนึ่ง”
นางลุกขึ้นเดินออกไป ไม่นานนักก็ยกไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนจานหนึ่งมาวางตรงหน้าเฉินกวง พลางบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “กินสิ”
เฉินกวงลังเลใจเล็กน้อย เขารู้สึกไม่วายว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่สมควรจะตกมาถึงเขาได้อย่างไรอย่างนั้น
เขากวาดตามองไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนสองจานปราดหนึ่งอย่างว่องไว เห็นว่าสีสันดูไม่แตกต่างกันถึงคลายใจลงได้ ก่อนจะคีบไก่ฉีกกับแมงกะพรุนเข้าปากคำใหญ่
“อร่อยหรือไม่” เฉียวเจาไต่ถาม
ดวงตาของเฉินกวงเบิกกว้าง มุมปากกระตุกริกๆ เขาเคี้ยวอาหารในปากนานครู่ใหญ่ถึงหลับหูหลับตากลืนลงคอ ค่อยกล่าวตอบเสียงฝืดเฝื่อน “อร่อยขอรับ”
นี่นางใส่น้ำส้มดำลงไปครึ่งขวดหรือ
“เจ้าเห็นว่าอร่อยก็ดี ข้ารู้สึกเหมือนว่าจะใส่น้ำส้มดำเยอะเกินไป”
องครักษ์น้อยน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็รู้เหมือนกันหรือว่าใส่น้ำส้มดำเยอะเกินไป!
พอเห็นเฉียวเจาทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เฉินกวงก็ชักเอะใจ
ประเดี๋ยว นี่คงไม่ใช่จานที่นางทำผิดพลาดกระมัง
ขณะเฉินกวงกำลังแคลงใจ เงาร่างสายหนึ่งก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง
ยามนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง ตกดึกจะน้ำค้างแรง เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทิ้งตัวลงพื้นก็พากระไอเย็นเยียบเข้ามาในห้องด้วย
เฉียวเจาเดินฉับๆ เข้าไปหา “กลับมาแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนดึงผ้าคลุมหน้าลงเผยให้เห็นวงหน้าคมคายเหนือใคร “ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว”
จิตใจของหญิงสาวสงบลงได้ในที่สุด นางเผยรอยยิ้มจากใจจริง “กลับมาก็ดีแล้ว ข้าไปอุ่นอาหารนะ”
“ไม่ต้อง” เขาห้ามนางไว้ “มิใช่เดือนสิบสองที่อากาศหนาวจัดเสียหน่อย จะเย็นชืดได้สักเพียงใดกัน อย่าวุ่นวายเลย นั่งกินเป็นเพื่อนข้าเถอะ”
เขาจูงเฉียวเจาแล้วสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปนั่งลงข้างโต๊ะ สูดจมูกดมๆ ดูแล้วกล่าวชม “แค่ได้กลิ่นก็อร่อยแล้ว”
พอเห็นเขาหยิบตะเกียบขึ้นจะกิน นางก็ผลักตัวเขา “ไปล้างมือก่อน”
เซ่าหมิงยวนวางตะเกียบลงอย่างอิดเอื้อนแล้วไปล้างมือ เฉียวเจาก็ยกไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนที่ใส่น้ำส้มดำเยอะเกินไปจานนั้นเทลงถังข้าวหมูด้านนอกไปเลย
“เททิ้งแล้วหรือขอรับ” เฉินกวงเดาะลิ้น
แม้ว่าจะใส่น้ำส้มดำเยอะเกินไป แต่ที่จริงก็พอทนกินไหว เททิ้งก็น่าเสียดายเกินไป
แม่นางเฉียวทำสีหน้านิ่งสนิท “อื้อ จานนั้นกินไม่ได้”
เฉินกวงเพียงรู้สึกราวกับโดนลูกธนูเสียบกลางอก เขากุมอกอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
กินไม่ได้ก็เลยให้ข้ากินหรือ
ท่าน…ท่านไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจบ้างหรือไร
อย่าลืมว่าท่านแม่ทัพที่แสนดีถึงเพียงนี้ ข้าเป็นคนเลือกสรรให้ท่านนะ
เซ่าหมิงยวนย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองเฉินกวงที่ทำสีหน้าชอบกลปราดหนึ่งก่อนหยิบตะเกียบขึ้นคีบไก่ฉีกผัดแมงกะพรุนเข้าปาก สองตาเป็นประกายวิบวับอย่างสุดระงับ
เขากลืนลงคอแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “อร่อย”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้มแล้ว “เช่นนั้นท่านกินมากๆ หน่อย”
พอเห็นท่านแม่ทัพสวาปามยกใหญ่ เฉินกวงรีบแย่งคีบเข้าปากคำหนึ่ง รสชาติกลมกล่อมหอมหวนแผ่ซ่านไปตามตุ่มรับรสในพริบตา ส่งผลให้เขาถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างอิ่มเอม “อร่อยเหลือเกิน”
เซ่าหมิงยวนเหล่ตามองเขา “ก่อนหน้านี้ไม่ได้กินหรือ”
เฉินกวงเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง
ยังไม่ได้กินแน่นอน พวกข้าจะกินก่อนท่านแม่ทัพกลับมาได้อย่างไรเล่า!
“กินแล้ว” เฉียวเจาตอบแทนเฉินกวง
คิ้วเข้มพาดเฉียงของท่านแม่ทัพขมวดน้อยๆ เขากล่าวเสียงเรียบ “ดึกป่านนี้แล้ว กินจนแน่นท้องจะไม่ดี รีบไปนอนเสีย”
อาหารที่เจาเจาอุตส่าห์เข้าครัวทำให้ เห็นเจ้าหนุ่มนี่กินคำหนึ่งเขาก็เสียดายใจจะขาด
“ท่านแม่ทัพ” องครักษ์ทำหน้าเหลือเชื่อ เขามองไปทางเฉียวเจาด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า
กินไปคำเดียวก็เรียกว่ากินแล้วได้หรือ มิหนำซ้ำยังเป็นจานที่ใส่น้ำส้มดำเยอะเกินไปด้วย!
คุณหนูสาม ขืนท่านเป็นเช่นนี้จะไม่ได้ออกเรือนนะ!
สุดท้ายสายตาตัดพ้อดูน่าเวทนาขององครักษ์น้อยก็ทำให้ว่าที่ฮูหยินแม่ทัพใจอ่อนลงบ้าง “ตอนกลางคืนกินมากไปไม่ดี พวกท่านสองคนแบ่งกันกินเถอะ”
หลังกินอาหารเสร็จเซ่าหมิงยวนถึงเริ่มเล่าเรื่องที่ไปสอดแนมจวนสกุลสิงทั้งสองแห่ง
“จวนของสิงอู่หยางกลายเป็นคฤหาสน์ร้างไปแล้ว ข้าพบเจอสิ่งนี้ น่าจะหลงหูหลงตาตอนที่เก็บกวาดหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว” เซ่าหมิงยวนยกมือล้วงเข้าอกเสื้อ หยิบป้ายเหน็บเอวที่เปื้อนคราบเลือดเป็นดวงๆ ป้ายหนึ่งออกมา
เฉียวเจาเลื่อนสายตาไปมองตัวอักษรบนป้ายแล้วอ่านออกเสียง “เหยาปิน นายกองพันฝูตง”
นางช้อนตาขึ้นมองเซ่าหมิงยวน “ตอนนั้นเจินเหนียงเอ่ยถึงขุนนางหลายคน หนึ่งในนั้นคือนายกองพันเหยาผู้นี้ เหยาปินนั้นต่างจากสิงอู่หยางที่โยกย้ายไปที่นั่น เขาเป็นชาวฝูตงแต่กำเนิด สืบทอดตำแหน่งนายกองพันประจำตระกูล เจินเหนียงบอกว่านายกองพันเหยาลอบไม่พึงใจในพฤติกรรมของสิงอู่หยางมาโดยตลอด และเคยช่วยเหลือบิดาของนางด้วย”
“ดูทีว่าข้าคาดเดาได้แปดส่วนเก้าส่วนไม่ถึงสิบส่วนเสียแล้ว”