หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 499
บทที่ 499
เซ่าหมิงยวนถือป้ายเหน็บเอวที่มีรอยเลือดด้วยท่าทางครุ่นคิด
สิงอู่หยางกับนายกองพันเหยาไม่ลงรอยกัน หากจวนของเขาโดนคนร้ายปิดล้อมไว้ เขาไม่มีทางส่งนายกองพันเหยามาจัดการกับคนร้าย
แต่ป้ายเหน็บเอวของนายกองพันเหยากลับปรากฏอยู่ในจวนของสิงอู่หยาง นี่แสดงว่าคืนวันนั้นเขาเคยไปที่นั่นและเข้าร่วมการต่อสู้
เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุผลที่นายกองพันเหยาปรากฏตัวที่นั่นก็แทบเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว มีโอกาสเก้าในสิบส่วนว่าเขาคือหัวหน้ากลุ่มคนที่ไปล้อมโจมตีจวนของสิงอู่หยางนั่นเอง
“จริงสิ ตอนไปจวนสิงอู่หยาง ข้ายังได้พบกับคนผู้หนึ่ง”
“ใคร” เฉียวเจาถามคำนี้ แต่นางรู้สึกสังหรณ์ใจแล้ว
ไม่ผิดคาดเมื่อได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวว่า “เจียงหย่วนเฉา”
“พวกท่านเจอหน้ากันแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มมองนาง “มิใช่แค่เจอหน้ากัน ยังประมือกันด้วย”
เฉียวเจาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “เขาจำท่านได้หรือ”
“บอกยาก ตอนข้าประมือกับเขาไม่ได้ออกกระบวนท่าที่ใช้บ่อยๆ อีกทั้งปิดบังใบหน้าไว้ แต่ก็เหมือนดั่งที่ข้าจดจำสายตาที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าของเจียงหย่วนเฉาได้ตั้งแต่แวบแรก บางทีเขาอาจมีวิธีจำคนแบบพิเศษได้เช่นกัน”
“หากเป็นอย่างนั้นคงได้แต่บอกว่าโชคไม่ดี บัดนี้ข้าสนใจใคร่รู้จุดประสงค์ที่เจียงหย่วนเฉามาที่นี่มากขึ้นแล้ว จะอย่างไรเขาไม่มีทางคิดจะโค่นล้มสิงอู่หยางเหมือนกับพวกเรากระมัง”
เซ่าหมิงยวนเก็บป้ายเหน็บเอวขึ้น “สือซีเคยบอกว่าระหว่างเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินกับสมุหราชเลขาธิการหลันซานเป็นดั่งน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง* แต่บางคราวก็จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เจียงหย่วนเฉาเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของเจียงถัง ส่วนสิงอู่หยางเป็นคนของฝ่ายหลันซาน ในเวลาที่ทั้งสองยังไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกันเช่นนี้ เจียงถังจงใจส่งเจียงหย่วนเฉามาสืบเรื่องของสิงอู่หยาง ดูเหมือนจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล”
เฉียวเจาฟังคำกล่าวของเขาแล้วตรึกตรองชั่วครู่ ความคิดหนึ่งพลันวาบผ่านเข้ามาในสมอง นางเอ่ยถามขึ้นว่า “ถ้าเป็นความคิดของเจียงหย่วนเฉาเองเล่า”
“เจ้าหมายถึงเขาทำโดยพลการหรือ”
“ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ กององครักษ์จินหลินประจำฝูตงถูกสิงอู่หยางซื้อตัวไป ข่าวที่ส่งไปให้ทางเจียงถังที่เมืองหลวงหลายปีมานี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จ บางทีเจียงหย่วนเฉามาปฏิบัติงานที่หลิ่งหนานหนนี้แล้วพบร่องรอยโดยบังเอิญ เขาถึงมาที่ฝูตงเพื่อสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่างด้วยเหตุนี้”
นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกายเข้มขึ้น “เลิกเอ่ยถึงเขาเถอะ ตราบเท่าที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือผู้ตรวจการสิงของพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ”
“จริงสิ ท่านไปที่จวนของผู้ตรวจการสิงพบเห็นอะไรบ้าง” เฉียวเจารู้สึกได้ชัดเจนว่าเขาไม่อยากพูดถึงเจียงหย่วนเฉาต่อ นางจึงเปลี่ยนไปถามอีกเรื่องหนึ่ง
“ที่จวนของผู้ตรวจการสิง การคุ้มกันภายนอกหละหลวมทว่าภายในแน่นหนา มีคนเฝ้าดูอยู่ในที่ลับไม่น้อย แต่ข้าสำรวจการจัดเวรยามลาดตระเวนตรวจตราของคนพวกนั้นอย่างละเอียดแล้ว รอไว้พรุ่งนี้ย้ายไปอยู่ที่เรือนชาวบ้านแล้วข้าจะลอบเข้าไปในจวนผู้ตรวจการสิงอีกครั้งและช่วยเขาออกมา”
“อื้อ เช่นนั้นก็รีบพักผ่อนเถอะ”
“ได้” เซ่าหมิงยวนเพ่งมองนางนิ่งๆ แล้วพลันยิ้มออกมา “เจาเจา ข้าชอบอาหารที่เจ้าทำมาก”
เฉียวเจาตวัดสายตามองเฉินกวงอย่างฉับไว นางยกมุมปากโค้งขึ้นพลางกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยทำอีก”
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเฉินกวงด้วยสายตาเฉยชาอย่างไม่พึงใจเป็นอันมาก
ปกติเจ้าหนุ่มนี่หัวไวปานนั้น คืนนี้เป็นอะไรไปถึงยืนทื่อขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้ตลอด เป็นต้นเหตุให้เขาจะจูบเจาเจาก่อนนอนก็ทำไม่ได้
เฉินกวงก้มหน้าคางจรดอก หากดวงตามีแววกระหยิ่มใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง
ฮึ ไม่ยอมให้ข้ากินอาหารมื้อดึกรึ ข้าก็จะตลบหลังเอาคืนบ้าง! ถึงอย่างไรดูจากท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมของท่านแม่ทัพกับคุณหนูหลีแล้ว เป็นก้างขวางคอเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ส่งผลเสียอันใด
หนึ่งราตรีผ่านไปโดยไร้วาจา เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคืนห้องพักแล้วย้ายเข้าเรือนชาวบ้านที่เช่าไว้อย่างราบรื่น
เฉินกวงพูดเอาหน้าขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสาม เรือนที่ข้าเช่าไว้หลังนี้พอใช้ได้กระมัง ตรงริมกำแพงมีต้นไห่ถังด้วยนะขอรับ”
“นับว่าสะอาดสะอ้านดี” เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างพออกพอใจ
ต่อให้พำนักแค่วันสองวัน เขาก็หวังว่าเจาเจาจะได้อยู่อย่างสบาย
ย่ำค่ำอย่างรวดเร็ว เซ่าหมิงยวนสวมชุดสีดำรัดกุมออกไปอีกคราหนึ่ง
ด้านเฉียวเจาทำอาหารไว้เต็มโต๊ะรอเขากลับมาตั้งนานแล้ว ทว่าไม่รู้เหตุผลกลใดหนังตาถึงกระตุกไม่หยุด
“เฉินกวง เจ้าออกไปรับท่านแม่ทัพของเจ้าเถอะ วันนี้เขากลับมาช้ากว่าเมื่อคืน”
“ไม่ได้ขอรับ ท่านแม่ทัพสั่งกำชับแล้วว่าข้าจะต้องเฝ้าอยู่ข้างกายท่าน”
“ข้าอยู่ในนี้ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปตามหาท่านแม่ทัพ ถ้าเกิดเขาเจอปัญหาเข้ายังช่วยได้อีกแรง”
เฉินกวงฉีกปากยิ้ม “ท่านวางใจได้ ไม่เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่ทัพของข้าแน่นอนขอรับ”
ครั้นเห็นนางยังคิดจะพูดต่อ เฉินกวงจึงพูดตามตรง “ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าไม่มีวันอยู่ห่างจากท่านแม้สักครึ่งก้าวเป็นอันขาด”
เฉียวเจารู้ว่าหว่านล้อมเฉินกวงไม่ได้ นางจึงย่างเท้าออกนอกประตูพร้อมความในใจหนักอึ้ง
ใต้แสงเดือนกิ่งก้านของต้นไห่ถังตรงข้างกำแพงแกว่งไกวไปมาตามแรงลม ภายในลานเรือนเล็กๆ เงียบสงบ แต่ตรงกลางอกนางกลับถูกปกคลุมด้วยเงาดำรางๆ
เซ่าหมิงยวนต้องเจอกับปัญหาใดเป็นแน่แล้ว
เมื่อคืนนางก็เป็นห่วง แต่ยังมีสติรู้ว่าตนพะวักพะวนจนเสียกระบวนไปเอง กระนั้นลางสังหรณ์ในคืนนี้ต่างออกไปอย่างชัดเจน
เฉียวเจาเดินไปถึงข้างต้นไห่ถังตรงริมกำแพงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนจะเด็ดผลไห่ถังที่สุกงอมลูกหนึ่งมาบีบคลึงในมือ
ดึกสงัดมากขึ้นดวงจันทร์หลบเข้าไปอยู่ในผืนเมฆ เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างต้นไห่ถังแทบจะกลืนหายไปในความมืด
ก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งถูกโยนจากด้านนอกเข้ามาตกอยู่กลางลาน เฉียวเจาตั้งท่าจะขยับตัว แต่เฉินกวงห้ามไว้
เขาเดินลิ่วๆ ไปตรงหน้าประตูลานเรือน ก่อนเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ท่านแม่ทัพ?”
เสียงคุ้นหูลอยมาจากนอกประตู “ข้าเอง”
สีหน้าของเฉินกวงฉายแววยินดี เขารีบเปิดประตูออก
เงาร่างคนผู้หนึ่งเซถลาเข้ามา
เฉินกวงตกอกตกใจ เขาปิดประตูอย่างมิดชิดตามสัญชาตญาณก่อนเปล่งเสียงเรียก “ท่านแม่ทัพ?”
“รีบ…รับตัวผู้ตรวจการสิงไป…”
เขากุลีกุจอรับคนที่อยู่บนหลังเซ่าหมิงยวนไว้ อาศัยแสงดาวริบหรี่ก็มองเห็นใบหน้าขาวซีดของผู้เป็นนายได้ เขาตื่นตระหนกยกใหญ่ “ท่านแม่ทัพ ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้ว “เบาเสียงหน่อย อย่ารบกวนคุณหนูหลี”
เฉินกวงหันหน้าไปมองริมกำแพงโดยไม่ทันคิด
เฉียวเจาสาวเท้าเร็วรี่เข้ามาประคองเขาไว้ “ถิงเฉวียน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร เข้าเรือนไปดูอาการของผู้ตรวจการสิงก่อน”
ทั้งสามเข้าไปในเรือนอย่างเร่งร้อน
พอเฉินกวงวางตัวผู้ตรวจการสิงที่หมดสติอยู่ลงบนเตียง เฉียวเจาตรวจอาการอย่างว่องไวแล้วสีหน้านิ่งขรึมลงเล็กน้อย “ร่างกายของผู้ตรวจการสิงอ่อนแอมาก จำเป็นต้องฟื้นฟูบำรุงอย่างพิถีพิถัน”
กล่าวจบนางก็ก้าวปราดๆ ไปทางชายหนุ่ม มองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ แล้วหน้าเสียเล็กน้อย “บาดเจ็บหรือ”
“ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” เซ่าหมิงยวนเอามือกุมท้องพลางพูด
“เอามือออก ข้าขอดูหน่อย”
“บาดเจ็บเล็กน้อยจริงๆ”
“ข้าขอดูหน่อย!” สีหน้าของแม่นางเฉียวแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
เซ่าหมิงยวนจำต้องปล่อยมือออกแต่โดยดี มุมปากเขายังประดับรอยยิ้มดุจเดิม “เจาเจา เจ้าไม่ต้องกลัว แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นจริงๆ แผลประเภทนี้ข้าเคยเป็นมากี่หนต่อกี่หนก็สุดรู้ ไม่เป็นอะไรมาก”
เฉียวเจาไม่แยแสวาจาไร้สาระของคนบางคนโดยสิ้นเชิง นางยื่นมือไปเลิกชายเสื้อเขาขึ้นทันที
ตรงหน้าท้องที่กล้ามเนื้อแข็งแน่นเป็นลอนๆ ชัดของเขามีบาดแผลเป็นรูลึกอีกทั้งเลือดออกเป็นสีดำสะดุดตาน่ากลัว
ริมฝีปากของนางปราศจากสีเลือดในพริบตา นางพูดเสียงหลง “อาบยาพิษ!”
ใช่ว่าในกาลก่อนนางไม่เคยเห็นบาดแผลน้อยใหญ่บนตัวเขามาก่อน รวมถึงพิษไอเย็นในกายเขาล้วนแล้วแต่สร้างความทรมานให้อย่างล้นเหลือ แต่เวลานี้เฉียวเจาเพิ่งรู้ว่าอันใดเรียกว่าปวดใจ
เซ่าหมิงยวนเพ่งมองเด็กสาวที่ใบหน้าซีดเผือด ก่อนคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจาเจา ยาถอนพิษที่เจ้าให้ข้าไว้มีประโยชน์อย่างยิ่ง”
นางไม่พูดตอบเขา เพียงออกคำสั่งทันใด “เฉินกวง เจ้าเฝ้าผู้ตรวจการสิงให้ดี”
จากนั้นเฉียวเจาก็ฉุดเซ่าหมิงยวนออกเดิน “ตามข้ากลับห้อง”
* น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง เป็นสำนวน หมายถึงต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน