หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 5
บทที่ 5
ฉือชั่นเอ่ยถามเสียงเรียบ เจ้าเดินหมากกับข้าถึงกับนอนหลับเชียวหรือ
เฉียวเจาสะดุ้งตื่นขึ้น ยกมือวางหมากบังเกิดเสียงกังวานใส
ท่านดูผิดแล้ว สุ้มเสียงของสาวน้อยอ่อนหวานนุ่มนวล นางแค่สัปหงกเท่านั้นเอง
ข้าเห็นเมื่อครู่นี้เจ้าหลับตาอยู่นะ ฉือชั่นฉีกยิ้มกล่าวขึ้น หากแต่น้ำเสียงชวนให้หนังศีรษะคนฟังชาวาบ
ไม่เชื่อท่านดูสิว่าข้าเดินหมากผิดหรือไม่ นิ้วมือขาวนวลเนียนดุจหยกของเด็กสาวแตะกระดานหมากทำจากไม้ชิว* เบาๆ
ในช่วงชีวิตอันสงบสันโดษ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินหมากจึงเหมาะสำหรับฆ่าเวลาอย่างยิ่ง คนที่เคยดวลหมากกับท่านปู่เช่นนางประมือกับคนเบื้องหน้าผู้นี้ ถึงนางหลับตาก็ไม่มีทางเดินผิดจริงๆ
เมื่อคิดไปเยี่ยงนี้คล้ายจะรังแกคนอยู่บ้าง
ฉือชั่นไล่สายตาไปยังจุดที่นิ้วมือของเด็กสาวหยุดนิ่งโดยไม่รู้ตัว มองเห็นหลังอีกฝ่ายวางหมากเม็ดนั้นแล้ว เขาก็เสียหมากอย่างหนักอีก เป็นคราแรกที่นึกสงสัยในความเข้าใจของตน
เมื่อครู่นี้คงจะ…น่าจะ…เป็นไปไม่ได้ที่แม่นางน้อยผู้นี้จะนอนหลับกระมัง
เลิกได้แล้ว เก็บข้าวของกันเร็วเข้า ใกล้เทียบฝั่งแล้ว หยางเอ้อร์กลั้นยิ้มตัดบทคนทั้งคู่
ไม่นานนักเรือก็เข้าเทียบฝั่ง จากนั้นก็มิได้เข้าเมืองตามที่หยางเอ้อร์พูดไว้ ฉือชั่นเสาะหาคอกม้าแห่งหนึ่งพบที่นอกเมืองอย่างคุ้นเคยที่ทางแล้วคัดเลือกอาชาพ่วงพีมาสามตัว
เขาตบๆ หลังม้าพลางเอ่ยกับเฉียวเจา พวกข้าสามคนไม่มีใครสะดวกจะขี่ม้าตัวเดียวกับเจ้า ประเดี๋ยวข้าพาเจ้าเข้าเมืองไปหาที่พักในโรงเตี๊ยมสักแห่งก่อน
ข้าขี่ม้าเป็นเจ้าค่ะ เฉียวเจากล่าว
ฉือชั่นชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงมองสำรวจแม่นางน้อยที่ยังตัวสูงไม่ถึงใต้รักแร้ตน เหยียดมุมปากออกแล้วเลือกม้าอีกหนึ่งตัว ในเมื่อขี่เป็น เช่นนั้นก็พาเจ้าไปด้วย
ขอบคุณเจ้าค่ะ เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือก เผยรอยยิ้มกว้างๆ สาวเท้าไปหาม้าสีปลั่งตัวนั้น
หยางเอ้อร์อดพูดกระซิบกับจูเยี่ยนไม่ได้ จู่ๆ สือซีกลายเป็นคนพูดง่ายได้อย่างไร
จูเยี่ยนเหลือบมองเฉียวเจาแล้วกล่าวคาดคะเนแบบไม่ถนอมน้ำใจคน คงจะเห็นว่าแม่นางน้อยปีนขึ้นม้าไม่ได้ เลยอยากจะหัวเราะเยาะนางกระมัง
ข้าว่านะ สงสัยสือซีคงต้องผิดหวังแล้ว แม่นางน้อยนั่นลึกล้ำน่าดู อายุเพียงแค่นี้ก็เดินหมากชนะเจ้าได้ ไม่แน่ว่าทักษะการขี่ม้าอาจสูงส่งกว่าข้าก็เป็นได้นะ
จูเยี่ยนมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าแปลกพิกล
หยางเอ้อร์มองตามสายตาของอีกฝ่ายไป เห็นอาชาสีปลั่งสูงใหญ่ตัวนั้นสลัดเด็กสาวตกพื้นด้านข้าง แล้วออกวิ่งเหยาะๆ ไป
เด็กสาวล้มหน้าคว่ำจูบดิน สำลักกระอักกระไอยกใหญ่
ทักษะการขี่ม้าสูงส่งดังคาด จูเยี่ยนหัวร่อเสียงดัง
เฉียวเจามองม้าที่วิ่งจากไปอย่างงุนงงอยู่สักหน่อย นางขี่ม้าเป็นจริงๆ นะ…
เจ้ารอพวกข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมเถอะ ฉือชั่นอมยิ้ม แววพึงใจฉายออกมาทางสายตาโดยไม่เก็บงำแม้แต่น้อย
คนผู้นี้อยากสลัดข้าทิ้งใจจะขาดกระมัง เฉียวเจาหลุบตาครุ่นคิด
กระนั้นนางไม่ตัดพ้อต่อว่าอะไร
เดิมทีนางกับสามคนนี้พานพบกันโดยบังเอิญ พวกเขายินยอมยื่นมือช่วยนางไว้สมควรซาบซึ้งในบุญคุณแล้ว
แต่คราวนี้ นางได้แต่ต้อง ‘เนรคุณ’ แล้ว
ข้าอยากไปกับพวกท่านเจ้าค่ะ พี่ฉือให้ข้านั่งซ้อน…
ไม่ได้ ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน ฉือชั่นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ไฉนแม่นางน้อยถึงได้หน้าไม่อายถึงเพียงนี้นะ
ข้าไม่ถือสา
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น พูดอย่างไม่ไว้หน้า ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าไม่ถือสา แต่ข้าถือสา!
อย่าโทษว่าเขากล่าววาจาแล้งน้ำใจ หากเขาเป็นคนอ่อนโยนกว่านี้อีกสักนิด เกรงว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงคงไม่กล้าออกนอกเรือนแล้ว
เฉียวเจาได้ยินฉือชั่นพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับหัวเราะเบาๆ
ปีนั้นคนผู้นี้ก็ทำหน้าหนารบเร้าท่านปู่เช่นนี้ บัดนี้เปลี่ยนเป็นนางตามตื๊อเขา ช่างเข้าตำรากรรมสนองกรรมอยู่สักหน่อย
เจ้าหัวเราะอะไร ฉือชั่นมุ่นคิ้ว
แม่นางน้อยผู้นี้พิลึกพิลั่นอยู่บ้าง เขาไม่อาจมองนางเป็นเด็กสาววัยสิบสองสิบสามทั่วๆ ไปได้
ข้าหัวเราะเพราะว่าหากหนนี้พวกท่านไม่พาข้าไปด้วย หวั่นใจว่ายากจะสมหวังดั่งประสงค์น่ะสิ
นัยน์ตาของฉือชั่นทอแววกระด้างทันใด เขามองสบสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสาวน้อย หัวเราะหึๆ ก่อนพูดเยาะ พวกเด็กสาวก็ชอบแสร้งมีลับลมคมใน นึกว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้าไปด้วยรึ ฮ่าๆ พาเจ้าไปก็ไม่มีอันใดเสียหาย เว้นแต่ว่าเจ้าบอกได้ว่าที่ที่พวกข้าจะไปคือสถานที่ใด
สือซี เจ้าเลิกเย้าแหย่หลีซานเสียที หยางเอ้อร์เริ่มบังเกิดความสงสาร
จูเยี่ยนกล่าวเสริมขึ้น นั่นสิ ไม่อย่างนั้นข้าขี่ม้าตัวเดียวกับนางเอง
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง
จูเยี่ยนเป็นซื่อจื่อ* ของไท่หนิงโหว ไม่เพียงฐานะสูงศักดิ์ ยังมีความสามารถโดดเด่น ผ่านการสอบขุนนางได้เป็นจวี่เหริน** ตั้งแต่อายุยังน้อย
ปกติเขาดูเป็นคนสุภาพนุ่มนวล แท้จริงแล้วมีนิสัยถือตนอยู่หลายส่วน ทว่าตอนนี้กลับเต็มใจขี่ม้าตัวเดียวกับเด็กสาวผู้หนึ่ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจดีแท้
จูเยี่ยนโดนฉือชั่นมองจนชักกระดากใจ เขากระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกล่าว อย่าคิดมาก ข้าเพียงรู้สึกว่าพานางไปก็ไม่มีอันใดเสียหาย
ระดับฝีมือเดินหมากบ่งบอกอุปนิสัย สตรีที่เอาชนะเขาได้ด้วยความเก่งกาจเฉียบขาด ไม่น่าจะกระทำเรื่องอาศัยบารมีผู้สูงศักดิ์ไต่เต้าเลื่อนฐานะพรรค์นี้ได้ เหนือสิ่งอื่นใดนางยังเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ยังไม่เจริญวัยเป็นหญิงสาวจริงๆ
สกุลเฉียวที่สวนซิ่งจื่อ*** เฉียวเจาอ้าปากเปล่งเสียงกล่าวหกคำนี้
สายตาสามคู่หันขวับไปมองนาง
เจ้ารู้ได้อย่างไร หยางเอ้อร์หลุดปากพูด
เฉียวเจาโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เดิมพันถูกแล้ว!
ฉือชั่นเคยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่เมื่อสามปีก่อน มาตรว่าตอนนี้ท่านปู่จากไปแล้ว แต่พวกท่านพ่อล้วนกลับมายังจยาเฟิง นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าโอรสขององค์หญิงใหญ่ผู้ทรงเกียรติจะดั้นด้นรอนแรมมาถึงที่นี่โดยไม่ระย่อต่อความลำบากตรากตรำเพื่อเที่ยวเล่นเพียงประการเดียว
เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมาเยี่ยมคารวะท่านพ่อ
ถ้านางเดาถูก ฉือชั่นต้องพานางไปด้วยแน่ ไม่ว่าเขาจะทำไปด้วยความสนใจใคร่รู้หรือระวังป้องกันก็ตามที
แต่หากเดาผิด…พวกฉือชั่นไม่ได้ไปที่เรือนนาง แน่นอนว่านางก็ไม่จำเป็นต้องติดตามไปแล้ว
ถึงที่สุดแล้ว นอกจากพูดสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นแล้วไม่เป็นผลเสียใดๆ ต่อนางทั้งสิ้น
ทว่าสายตาของสามคนนั้นเปลี่ยนไปตามๆ กัน
ฉือชั่นถึงขั้นลืมเรื่อง ‘ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน’ คว้าข้อมือของเฉียวเจาไว้หมับ เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเป็นใครกันแน่
เดาเจ้าค่ะ เฉียวเจายิ้มน้อยๆ แล้วก็ข้าเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์หลีที่เมืองหลวง พำนักอยู่ในตรอกซิ่งจื่อบนถนนสายตะวันตก
เฉียวเจาเอ่ยคำนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย
ตรอกซิ่งจื่อ…
เรือนของนางอยู่ที่สวนซิ่งจื่อ เรือนของแม่นางน้อยหลีเจา…อยู่ในตรอกซิ่งจื่อ
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระพรรค์นี้ เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้ ฉือชั่นมองสำรวจเฉียวเจาอีกคำรบหนึ่ง
ตอนพินิจดูนางเช่นนี้ในคราแรก เขาแค่นึกทึ่งที่เด็กสาวผู้นี้ฉลาดแกมโกงอยู่หลายส่วน
แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยนี่…ร้ายลึกจริงๆ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาเฉกสาวน้อยอย่างแนบเนียนเต็มที่ มันมิได้สลับซับซ้อนอย่างที่พี่ฉือคิดหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่…
นางหยุดเว้นจังหวะก่อนกล่าวต่อ ข้าแค่นับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียวอย่างล้นเหลือ ถึงได้คาดเดาเอาว่าพี่ชายทั้งสามมาจยาเฟิงเพื่อไปที่เรือนของอาจารย์เฉียว
อันว่าบุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง* แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ท่านเฉียวจัวกลับได้รับการยอมรับจากบัณฑิตทั่วหล้าว่าคือคนเก่งอันดับหนึ่ง ฉะนั้นเหล่าปัญญาชนจะนับถือเลื่อมใสเขาย่อมชอบด้วยประการทั้งปวง
เด็กสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสามมีทักษะเดินหมากสูงส่งเช่นนั้น ย่อมต้องออกอ่านเขียนได้เป็นธรรมดา
อาจารย์เฉียว…สิ้นบุญไปแล้ว น้ำเสียงของฉือชั่นแปลกชอบกล
เฉียวเจาปวดร้าวใจ นางช้อนตาขึ้นสบตาเขา ใช่เจ้าค่ะ แต่ใต้เท้าเฉียวยังอยู่
ใต้เท้าเฉียวอดีตข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคือบิดาของนาง หลังท่านปู่ล่วงลับ ท่านพาครอบครัวกลับสู่จยาเฟิงเพื่อไว้ทุกข์ให้
ท่านพ่อมีนิสัยเคร่งครัดเข้มงวดไม่เหมือนกับท่านปู่ที่ห้าวหาญรักอิสระ ส่วนทักษะด้านดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนอักษร และวาดภาพ หากว่ากันตามจริง แล้วยังเทียบนางไม่ได้ ทว่าคนใต้หล้าไม่ล่วงรู้
เจ้าเดาได้เพราะอย่างนี้จริงหรือ
จยาเฟิงหาได้มีภูเขาชื่อดังหรือสายน้ำน่าชม ดังนั้นเหตุผลที่พี่ชายทั้งสามเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่จึงคาดเดาได้ไม่ยากปานนั้นเจ้าค่ะ
ฉือชั่นเขม้นตามองเฉียวเจาเป็นนานถึงเอ่ยถามต่อ แล้วไยเจ้ามั่นใจนักว่าหากไม่พาเจ้าไปด้วย ข้ายากจะสมหวังดั่งประสงค์?
เขามาจยาเฟิงย่อมต้องมีเป้าหมาย
เฉียวเจาแย้มยิ้มหวาน เอียงคอพูดอย่างซุกซน รอเมื่อถึงสวนซิ่งจื่อแล้ว พี่ฉือก็จะทราบเองมิใช่หรือเจ้าคะ
ฉือชั่นพลิกกายขึ้นม้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเฉียวเจา ขึ้นมา
นางส่งมือให้เขา เพียงรู้สึกถึงพละกำลังมหาศาลแผ่มาระลอกหนึ่ง ตัวนางก็ลอยขึ้นจากพื้นไปอยู่บนหลังม้าในพริบตา
ในระหว่างที่เจ้าอาชาวิ่งห้อเต็มเหยียดประหนึ่งลมกรด ข้างหูได้ยินแต่เสียงลมฟิ้วๆ สุ้มเสียงเอื่อยเฉื่อยทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะ พวกเขาสองคนพูดง่ายกว่าข้าชัดๆ ไฉนก่อนหน้านี้เจ้าไม่ขอขี่ม้าตัวเดียวกับพวกเขา
เอ่อ…ถึงเหตุผลสำคัญที่สุดคือข้ารูปงามหล่อเหลา แต่ข้าก็ยังอยากได้ยินอะไรแปลกใหม่สักหน่อย
เฉียวเจากล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มละไม เป็นเพราะเรื่องเดียวกันไม่พึงรบกวนคนที่สองน่ะสิเจ้าค่ะ
นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ในเมื่อต้องจดจำบุญคุณที่ติดค้างฉือชั่นไว้ แล้วจะให้ติดค้างอีกคนหนึ่งคงไม่ได้กระมัง
ฉือชั่นทำหน้าบึ้งตึง ที่แท้จะจิกหัวใช้เขาคนเดียวนี่เอง
เขานึกไว้แล้วเชียว แม่นางน้อยผู้นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด
* ไม้ชิว (Chinese Catalpa) เป็นไม้เนื้อดีมีค่าของประเทศจีน ใช้ทำเครื่องเรือนหรือปลูกเป็นไม้ประดับ
* ซื่อจื่อ เป็นคำเรียกทายาทผู้จะสืบทอดชั้นยศ ปกติคือบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
** จวี่เหริน คือการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
*** ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต
* บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง เป็นสำนวนจีน หมายถึงความสามารถด้านบุ๋นนั้นยากจะวัดได้ชัดเจนว่าใครเป็นที่หนึ่ง ในขณะที่ความสามารถด้านบู๊ใช้วิธีประลองฝีมือเพื่อชิงความเป็นหนึ่งได้