หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 50
เรือนหยาเหอในจวนตะวันตก
ชิงอวิ๋นมาถึงอย่างเร่งร้อน นางบอกกับปิงลวี่ที่ออกมาต้อนรับว่า ไปบอกให้คุณหนูสามเตรียมตัวเร็วเข้า ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ข้ามารับนางไปที่วัดต้าฝู
หา?!
จะหาอะไรเล่า รีบไปสิ ชิงอวิ๋นแสนจะอ่อนใจ
ปิงลวี่อุทานเสียงแหลมคำหนึ่งก่อนหันหลังออกวิ่งไปตะโกนไป คุณหนู! ท่าน…ท่านมีตาทิพย์จริงๆ พี่ชิงอวิ๋นมาแล้ว บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้นางรับท่านไปวัดต้าฝูเจ้าค่ะ
เฉียวเจาคิดไว้แต่แรกแล้ว ยามนี้นางมุ่นมวยแกละ สวมเสื้อคลุมกระดุมผ่าหน้าสีเขียวปักลายดอกจินอิ๋นสีขาวคู่กับกระโปรงจีบรูดสีขาว เป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องสำหรับออกไปข้างนอก
นางลุกขึ้นยืนแล้วผงกศีรษะกับปิงลวี่ ไปกันเถอะ
จากนั้นผินหน้าไปกำชับอาจู เฝ้าเรือนให้ดีนะ
บนตัวปิงลวี่เป็นเสื้อคลุมผ่าหน้าสีเขียวอ่อนชุดเก่งที่ค้นออกมาตัวนั้น ได้ยินคำนี้แล้วประคองแขนเฉียวเจาอย่างปลาบปลื้มใจ แต่ยังปรายตามองอาจูแวบหนึ่งก่อนออกไป
ชิงอวิ๋นเห็นเฉียวเจากับสาวใช้ออกมาอย่างว่องไวปานนี้ก็ประหลาดใจครามครัน นางอดมองสำรวจเฉียวเจาอย่างช่วยไม่ได้ เห็นเด็กสาวแต่งกายเรียบง่ายเหลือเกิน แม้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นชุดสวมออกนอกเรือนจริงๆ จึงปัดความพิศวงในใจทิ้งไป เดินเข้าไปเอ่ยบอก คุณหนูสาม ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ข้ามารับท่านเจ้าค่ะ
เฉียวเจาพยักหน้าไม่เผยทีท่าผิดปกติแม้แต่น้อย ให้ชิงอวิ๋นนำทางพาเดินไปข้างนอก
ชั่วอึดใจที่ย่างเท้าออกจากประตูจวนสกุลหลี นางชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แหงนคอมองท้องฟ้าสีครามสดใสแล้วอมยิ้ม
วันนี้นางออกเดินได้หนึ่งก้าวแล้ว วันหน้ายังต้องพยายามมากยิ่งขึ้น
เฉียวเจา เจ้าต้องสู้ต่อไปนะ!
เฉียวเจาแอบให้กำลังใจตนเองเงียบๆ
ทั้งสามคนขึ้นรถม้าติดม่านสีเขียวที่จอดอยู่หน้าประตูมุ่งหน้าไปวัดต้าฝู
บนรถม้า ชิงอวิ๋นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดให้เฉียวเจาฟังอย่างละเอียดตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
ตอนได้ยินว่าหลีเจียวสวมรอยแทน ปิงลวี่ก่นด่ายกใหญ่ ถุย! นี่หรือสตรีสูงศักดิ์ตระกูลบัณฑิต ถึงกับกระทำเรื่องพรรค์นี้ได้
นางลูบๆ อกพลางพูดกับเฉียวเจา เคราะห์ดีนะเจ้าคะที่ซือไท่ท่านนั้นมีสายตาแหลมคมถึงไม่ถูกนางหลอกลวง คุณหนู คราวนี้พวกเราโชคดีไม่เลวเลย
หวุดหวิดไปนิดเดียว นางเกือบไม่ได้สวมชุดสวยๆ ออกมาเป็นเพื่อนคุณหนูไปอวดสายตาคนที่วัดต้าฝูแล้ว
ใช่ โชคดีไม่เลวเลย เฉียวเจาหยักยิ้มเอื่อยๆ พักนี้นางดวงตกก็จริง แต่นางเชื่อคำกล่าวว่า ‘ความสำเร็จอยู่ที่คน’ มากกว่า
ชิงอวิ๋นมองเฉียวเจาซ้ำอีกคราอย่างอดใจไม่อยู่ ความกังขาในใจทบทวีมากขึ้น
นางรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าคุณหนูสามผู้นี้นับว่ายิ่งไม่เหมือนเดิม เด็กสาวไร้ไหวพริบอย่างปิงลวี่จับพิรุธไม่ออก แต่นางที่มองดูอยู่ห่างๆ คุณหนูสามมั่นใจว่าจะได้ไปที่วัดต้าฝูแต่แรก ไม่เช่นนั้นจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมออกจากเรือนไว้ล่วงหน้าได้อย่างไร
ชิงอวิ๋นตวัดสายตามองกล่องใกล้ๆ มือปิงลวี่แวบหนึ่ง
ข้างในนั้นตามปกติจะใส่อาภรณ์เครื่องประดับของสตรีสำรองไว้ยามอยู่นอกเรือน
นางใคร่ครวญแล้วตัดสินใจเอ่ยเตือนคุณหนูสามที่นางหยั่งใจไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้นี้ คุณหนูสาม ข้าขออาจเอื้อมกล่าวสักคำหนึ่ง ชุดที่ท่านสวมใส่วันนี้เรียบง่ายเกินไปบ้างนะเจ้าคะ
คุณหนูสามมีรูปโฉมเกลี้ยงเกลาผุดผาด โดยเฉพาะไฝแดงเม็ดหนึ่งตรงหว่างคิ้วกลับขับเน้นให้นางในอาภรณ์ชุดนี้ดูมีเสน่ห์จับตามากขึ้น ถึงกระนั้นจะอย่างไรสตรีผู้หนึ่งแต่งกายเช่นนี้จะถูกคนอื่นจ้องติติงได้
เฉียวเจาดูคาดไม่ถึงกับคำเตือนของชิงอวิ๋นเป็นอันมาก ทว่าแต่ไรมาความปรารถนาดีที่ผู้อื่นมีให้ นางล้วนรับไว้อย่างถูกมารยาทเสมอ นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุภาพ ขอบคุณที่เตือนเจ้าค่ะ แต่ข้าเห็นว่าแต่งตัวอย่างนี้เหมาะกว่า
บิดามารดาและญาติพี่น้องของนางเคราะห์ร้ายจบชีวิตอย่างอเนจอนาถ นางกลับไม่สามารถไว้ทุกข์ให้อย่างเปิดเผย ทำได้เพียงแสดงความอาลัยเล็กน้อยเท่านี้
ชิงอวิ๋นเข้าใจผิดว่าเฉียวเจาคิดว่าสวมชุดนี้งามกว่า นางคลี่ยิ้มไม่พูดไปมากกว่านี้
รถม้าหยุดจอดในที่สุด เฉียวเจาเดินเข้าวัดต้าฝูก็รับรู้ว่ามีสายตาจับจ้องที่ตัวนางนับไม่ถ้วนได้ในพริบตา
นางเดินเอื่อยๆ ไปทางด้านในโดยไม่ใส่ใจ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยแว่วมาเบาๆ
เห็นหรือยัง นั่นก็คือคุณหนูสามสกุลหลี ได้ยินว่านางถูกล่อลวงไปทางทิศใต้นานพักใหญ่ถึงกลับเรือนมา
จุๆ ที่แท้คุณหนูสามสกุลหลีมีรูปโฉมงดงามอย่างนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ใครว่ามิใช่เล่า ดีที่ได้หมอเทวดาพามาส่ง เสียงซุบซิบนินทาถึงน้อยลงบ้าง หาไม่แล้วเกรงว่านางคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
นั่นก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าพอดู
ขายหน้าก็ขายหน้าอยู่หรอก แต่นางมีฝีมือเขียนอักษรได้ดี ถ้าเกิดเป็นที่ถูกตาต้องใจขององค์หญิงใหญ่ท่านนั้น ก็นับว่าบุญพาวาสนาส่งแล้ว
คิกๆ เรื่องนี้บอกได้ยาก ใครจะไปรู้ว่าคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นเป็นลายมือของผู้ใด เรื่องนี้ของจวนสกุลหลีชักน่าสนใจเสียแล้วสิ
เฉียวเจาย่างเท้าเข้าโถงรับรองด้วยสีหน้านิ่งสนิทท่ามกลางเสียงเหน็บแนมถากถางเหล่านี้
ชั่วอึดใจที่นางเข้าไป ในโถงไม่มีผู้ใดพูดคุยกันราวกับว่าเวลาหยุดเดินไปในเสี้ยวขณะหนึ่งนั่น
ครู่ต่อมา เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงดังขึ้น เจาเจา มาหาท่านย่าตรงนี้
หลีเจี่ยวไม่กะพริบตาเลยตั้งแต่เฉียวเจาก้าวเข้าประตูแล้วเดินไปถึงข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
ตู้เฟยเสวี่ยด้านข้างก็เบิกตากว้างพร้อมพูดพึมพำ พี่เจี่ยว เหตุใดเมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้สึกว่าหลีซานงามชวนมองอย่างนี้เลยเจ้าคะ
นางเอี้ยวคอไปถามจูเหยียนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด พี่เหยียน ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ
จูเหยียนถือกำเนิดในจวนไท่หนิงโหวซึ่งมิได้อยู่วงสมาคมเดียวกับคุณหนูจวนสกุลหลี แต่เพราะตู้เฟยเสวี่ยเกี่ยวดองกับหลีเจี่ยว นางถึงเคยพบหน้าค่าตาหลีเจาหลายครั้งหลายครา
นางทอดสายตามองตามเฉียวเจา นิ่งคิดก่อนเอ่ยขึ้น นรลักษณ์เกิดจากใจ*
คุณหนูหลีผู้นี้ประสบเคราะห์ภัยร้ายแรง บางทีอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ พาให้อุปนิสัยแปรเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นดูแล้วไม่ใคร่เหมือนกับเมื่อก่อน
ตู้เฟยเสวี่ยได้ยินคำนี้แล้วทำเสียงฮึอย่างดูแคลน
ท่านย่า ท่านย่าใหญ่ เฉียวเจาเอ่ยเรียกด้วยความเคารพยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเม้มปากแน่นอย่างไม่สบอารมณ์
เป็นเด็กสาวดีๆ ผู้หนึ่งกลับแต่งกายเยี่ยงนี้ อัปมงคลสิ้นดี!
จนปัญญาที่จวนตะวันออกเพิ่งอับอายขายหน้าครั้งใหญ่เมื่อครู่นี้ จะพูดมากนักก็ไม่เหมาะ นางถึงมิได้ปริปากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งขึงไปเช่นกัน แต่นางปล่อยวางกับธรรมเนียมจุกจิกหยุมหยิมพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวกับเฉียวเจาอย่างเมตตาใจดีว่า ระหว่างทางชิงอวิ๋นคงบอกกับเจ้าแล้ว เจ้าก็ตามท่านซือฟู่ไปเดี๋ยวนี้เลยเถอะ ต่อหน้าผู้คนมากมายทั้งในห้องนอกห้อง นางจะพูดกำชับกำชามากกว่านี้กลับไม่เข้าที
ฝ่ายเฉียวเจากลับดูคล้ายเข้าใจถึงความวิตกกังวลของหญิงชรา นางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ท่านย่าวางใจได้ หลานทราบดีเจ้าค่ะ
ชั่วพริบตานั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกโล่งอกจริงๆ แม้แต่ตัวนางเองยังแปลกใจในภายหลัง
นางแลมองแผ่นหลังของหลานสาววัยเยาว์ที่ตามภิกษุต้อนรับออกไปพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ขอให้เด็กผู้นี้อย่าทำอะไรผิดพลาดเลย
เพื่อให้เรื่องราวราบรื่น นางยังตั้งใจสำทับชิงอวิ๋นไม่ให้เรียกสะใภ้คนโตตามมาสร้างความวุ่นวาย เป็นนางน่ะมันไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
ในอารามซูอิ่ง อู๋เหมยซือไท่ยังอยู่ในห้องไม่ขยับตัวไปที่ใด จนกระทั่งจิ้งซีที่ดูแลรับใช้นางกล่าวรายงานว่า พระอาจารย์ใหญ่ คุณหนูสามสกุลหลีมาถึงแล้วเจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่เงยหน้าขึ้น เอ่ยถามเด็กสาวที่แสดงคารวะต่อนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจ้าเป็นเจ้าของตัวจริงของคัมภีร์พระธรรมเขียนด้วยลายมือเล่มนั้นหรือ
การบำเพ็ญเพียรมาเป็นระยะเวลายาวนานมิได้ทำให้อู๋เหมยซือไท่กลายเป็นคนนุ่มนวลวางเฉยกับทุกสิ่งได้ เสี้ยวขณะที่นางเปล่งเสียงถาม บารมีขององค์หญิงในครั้งนั้นก็แผ่กระจายไปทั่วห้องทำสมาธิเล็กๆ
เผชิญหน้ากับผู้มีศักดิ์ฐานะพิเศษเช่นนี้ เฉียวเจายังคงเยือกเย็นดุจเก่า นางกล่าวตอบอย่างสงบนิ่ง คัมภีร์พระธรรมเป็นสิ่งที่ถวายแก่พระพุทธองค์ ข้ามิบังอาจยกตัวเป็นเจ้าของ แต่หากซือไท่ถามว่าลายมือที่คัดเขียนคัมภีร์เล่มนี้เป็นใคร เช่นนั้นก็คือข้าอย่างปราศจากข้อสงสัยเจ้าค่ะ
ใบหน้านางแฝงรอยยิ้มด้วยความเชื่อมั่นในตนเองสุดจะเปรียบ ท่านซือไท่โปรดวางใจได้ ครานี้ไม่ผิดแล้ว
* นรลักษณ์เกิดจากใจ หมายถึงลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่งแสดงออกมา หรือกิริยาทางกายและวาจาเกิดจากความรู้สึกนึกคิดในจิตใจ