หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 503
บทที่ 503
เซ่าหมิงยวนหยิบป้ายเหน็บเอวประจำตัวออกมาแสดงและเล่าความเป็นมาเป็นไปให้ฟัง ผู้ตรวจการสิงถึงเชื่อว่าเขาคือกวนจวินโหวในที่สุด
“เพราะพวกท่านได้พบกับบุตรสาวสองคนของข้าถึงรู้ว่าเกิดอะไรกับข้าหรือ” สีหน้าของผู้ตรวจการสิงขรึมลงเล็กน้อย
“ใช่ พวกข้าไปโจมตีเกาะหมิงเฟิงแล้วช่วยสตรีสองนางเอาไว้ ซึ่งก็คือบุตรสาวทั้งสองของท่านนั่นเอง ยามนี้พวกนางติดตามสหายกับผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าไปที่จยาเฟิง ใต้เท้าสิงวางใจได้ อีกไม่นานพวกท่านก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
ผู้ตรวจการสิงหลับตาลงเป็นนานถึงลืมตาขึ้นกล่าวว่า “ขอบคุณท่านโหวมาก ไม่ทราบว่าท่านมีข่าวของภรรยากับบุตรชายข้าหรือไม่”
เขานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนกล่าว “ตอนพวกข้าเพิ่งมาถึงเคยสืบดูแล้ว ภรรยากับบุตรชายท่านล้วนจากไปแล้ว”
นี่คือเหตุผลที่เขาช่วยผู้ตรวจการสิงออกมาทันทีโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังได้
ผู้ตรวจการสิงสะท้านเยือกไปทั้งร่าง ริมฝีปากสั่นระริกอย่างรุนแรง พริบตาเดียวดวงตาของเขาหม่นมัวลงคล้ายคนชราดุจเดียวกับรูปโฉมในขณะนี้ เขาส่งเสียงพึมพำขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว”
ผู้ตรวจการสิงพูดจบไม่ทันไรก็มีเสียงกระอักโลหิตดังพรวด
“ผู้ตรวจการสิง…” เฉียวเจารีบหยิบยาเม็ดหนึ่งใส่ปากเขาพร้อมกับตะโกนบอก “เฉินกวง น้ำ”
เฉินกวงยกน้ำมาป้อนให้ผู้ตรวจการสิงดื่ม
เซ่าหมิงยวนสะกิดนางเบาๆ
เฉียวเจาส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่า ‘ไม่เป็นอะไรมาก’
ผ่านไปนานครู่หนึ่งผู้ตรวจการสิงก็รู้สึกดีขึ้น เขามีน้ำตาคลอเบ้าทว่าสีหน้าสงบนิ่งดุจเก่า “ขอบคุณท่านโหวเป็นอย่างมากที่บอกให้ข้ารู้ อันที่จริงข้าก็คาดเดาไปแล้ว”
“ใต้เท้าสิงหักห้ามใจด้วย”
ผู้ตรวจการสิงโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
“เช่นนั้นท่านพักผ่อนให้มากๆ เถอะ พวกข้าจะออกไปก่อน”
พอทั้งสามเดินไปถึงหน้าประตู เซ่าหมิงยวนก็ทำมือบอกให้เฉินกวงอยู่ที่นี่แล้วสาวเท้าออกไปพร้อมกับเฉียวเจา
บรรยากาศในลานเรือนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปลายสารทฤดูชัดขึ้นจนเริ่มเห็นวี่แววใกล้ย่างต้นฤดูหนาวแล้ว เซ่าหมิงยวนโอบไหล่ของเฉียวเจาพลางพูดเสียงเบาว่า “เข้าเรือนคุยกันเถอะ”
เขากับนางกลับเข้าไปในห้อง
“ผู้ตรวจการสิงสะเทือนใจจนกระอักเลือด ร่างกายเขาจะทนไหวหรือไม่”
“เขาอัดอั้นตรอมใจมานาน หนนี้จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนจนกระอักเลือดออกมานับเป็นการระบายทางหนึ่ง อันที่จริงกลับเป็นผลดีต่อร่างกาย แต่ว่าความโศกเศร้าจากการสูญเสียภรรยากับบุตรชายมิใช่คนปกติจะทานทนได้ อย่างไรก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะบรรเทาเบาบางลง”
“ผู้ตรวจการสิงต้องไม่ทนรับสิ่งเหล่านี้อย่างสูญเปล่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงขรึม
เฉียวเจาเม้มมุมปาก “ใช่ คนพวกนั้นต้องได้รับบทลงโทษแน่”
ราตรีกาลผ่านพ้นไปอย่างเงียบงัน เฉินกวงออกไปสืบข่าวแต่เช้าตรู่ ตอนกลับมาเขาทำสีหน้าแตกตื่นตกใจ
“แตกตื่นอะไร” เซ่าหมิงยวนเพิ่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรแล้วสวมเสื้อตัวนอกตัวใหม่ เพียงรู้สึกเบาสบายไปทั้งกายอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านแม่ทัพ เมืองฝูซิงวุ่นวายยกใหญ่แล้วขอรับ”
เขาเหลือบตาขึ้นแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “วุ่นวายยกใหญ่เช่นไร”
สุขภาพของชายหนุ่มแข็งแรงเป็นปกติแล้ว เมื่อร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดี เขาย่อมจะไม่เป็นเช่นกระต่ายตื่นตูมเพียงเพราะลมพัดยอดหญ้าเล็กน้อย
“ตอนนี้ในเมืองเกิดเสียงเล่าลือไปทั่วว่าจวนแม่ทัพสิงมีคนเป็นโรคระบาดจนคนทั้งจวนตายเกลี้ยง พวกเศรษฐีที่ได้ข่าวพากันหนีไปหมดเหลือแต่ชาวบ้านรอความตาย ขณะนี้ในเมืองฝูซิงแทบจะระส่ำระสายแล้ว ประตูเมืองทุกแห่งมีชาวบ้านไปออกันแน่นขนัด ล้วนตะโกนโวยวายว่าจะออกจากเมืองขอรับ”
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากันแล้วต่างรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลได้หลายส่วน
เฉินกวงเล่าจบแล้วเห็นทั้งคู่ไม่กล่าววาจาก็เกาท้ายทอยแกรกๆ “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสาม ก่อนหน้านี้พวกเราได้ข่าวว่ามีคนร้ายปิดล้อมจวนของสิงอู่หยางมิใช่หรือ เหตุไฉนตอนนี้กลายเป็นโรคระบาดไปอีก ตกลงว่าเรื่องใดจริงอันเรื่องใดเท็จกันแน่”
เซ่าหมิงยวนมองเขาพลางกล่าวเสียงเรียบ “ความจริงย่อมเป็นเท็จไม่ได้ฉันใด ความเท็จย่อมเป็นจริงไม่ได้ฉันนั้น ข้าพบป้ายเหน็บเอวเปื้อนเลือดของนายกองพันฝูตงในจวนของสิงอู่หยาง มันบ่งบอกแล้วว่าข่าวที่พวกเราได้มาในตอนแรกต่างหากที่เป็นความจริง ส่วนเรื่องโรคระบาดที่พูดกันตอนนี้เป็นไปได้มากว่ามีคนเจตนาปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบขึ้น”
“ผู้อยู่เบื้องหลังพุ่งเป้ามาที่สิงอู่หยางหรือ” เฉียวเจามุ่นคิ้วพลางพูดงึมงำ “ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบแล้วจะได้ประโยชน์อะไรนะ”
“ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไร ยามนี้สิงอู่หยางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นแน่ ดังนั้นการค้นหาพวกเราน่าจะผ่อนลงแล้ว”
เสียงของราษฎรนั้นไร้น้ำหนักอย่างมาก ปกติพวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกที่ถูกพวกขุนนางและเศรษฐีเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า ทว่าบางคราก็มีน้ำหนักอย่างยิ่ง ดังเช่นเวลานี้พอชาวบ้านทั้งเมืองก่อความไม่สงบขึ้น ผู้ทรงอำนาจบารมีอย่างสิงอู่หยางก็ต้องกุมขมับดุจเดียวกัน
“สิงอู่หยางจะเคลื่อนกำลังพลมาปราบปรามหรือไม่” เฉียวเจาถามขึ้น
“หากเหตุการณ์ลุกลามจนควบคุมไม่อยู่ เป็นไปได้มากว่าเขาจะทำ”
“เช่นนั้นเมืองฝูซิงก็จะวุ่นวายมากขึ้น”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “เก็บของเตรียมตัวไว้ ดูว่าพวกเราจะสบช่องชุลมุนแฝงตัวออกจากเมืองได้หรือไม่”
ไม่ผิดจากคำบอกกล่าวของเฉินกวง ตามถนนหนทางในเมืองฝูซิงจะเห็นชาวบ้านที่หิ้วสัมภาระหอบลูกจูงหลานมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองได้ทุกหนแห่ง
กลุ่มของเฉียวเจาปะปนอยู่ในนั้นได้อย่างกลมกลืนไม่สะดุดตาประหนึ่งน้ำหยดหนึ่งที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
ตรงประตูเมืองแออัดเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
“ให้พวกข้าออกไปๆ พวกข้าไม่อยากอยู่ในเมืองรอความตาย”
เพลานี้เองมีทหารผู้หนึ่งกระโดดออกมายืนบนเก้าอี้ที่ยกมาชั่วคราวพร้อมตะเบ็งเสียงพูด “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย! พวกท่านมองดูกันให้ดีๆ หากมีโรคระบาดจริงๆ พวกเรายังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นั่นล้วนเป็นข่าวลือที่ผู้ประสงค์ร้ายกุขึ้น พวกท่านอย่าได้หลงเชื่อ กลับเรือนไปอย่างสบายใจเถอะ”
ทหารพูดเสียงดังทำให้ชาวบ้านที่อารมณ์พลุ่งพล่านนิ่งเงียบลง
ในตอนนี้มีคนตะโกนขึ้นกลางฝูงชน “ถ้าไม่มีโรคระบาดจริงๆ เช่นนั้นให้แม่ทัพสิงพาครอบครัวออกมาให้พวกข้าได้เห็นสิ!”
ชาวบ้านทั้งหลายพูดสนับสนุน “ใช่ ให้พวกข้าได้เห็นสิ”
ทหารทำหน้าบึ้งตึง กล่าวอย่างเยาะหยัน “คนในครอบครัวแม่ทัพสิงจะออกมาให้พวกเจ้ามองดูได้อย่างไร พวกเจ้าเลิกก่อกวนได้แล้ว รีบกลับเรือนไปเสีย…”
ไม่ทันสิ้นเสียงของเขารองเท้าผ้าข้างหนึ่งก็ลอยมาจากกลุ่มคนพุ่งตรงเข้าใส่สันจมูกเขา
“เจ้ายังจะโกหกพวกข้าอีก คนในครอบครัวแม่ทัพสิงเป็นโรคระบาดตายหมดแล้ว ดีไม่ดีแม่ทัพสิงก็เป็นโรคระบาดเช่นกัน แต่กลัวพวกข้าแพร่ข่าวออกไปถึงไม่ยอมให้ออกจากเมือง จะให้พวกข้าอยู่ในเมืองรอความตายพร้อมกัน รีบปล่อยพวกข้าออกไป…”
เหล่าชาวบ้านตกอยู่ในอารมณ์พลุ่งพล่านก็ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น พุ่งฝ่าการสกัดกั้นของพวกเจ้าหน้าที่ทางการแล้วกระแทกประตูเมืองจนเปิดออก จากนั้นคนนับไม่ถ้วนก็วิ่งกรูกันออกไปนอกเมือง
เซ่าหมิงยวนกับเฉินกวงคนหนึ่งคุ้มครองเฉียวเจา คนหนึ่งคุ้มครองผู้ตรวจการสิง ทั้งสี่คนปะปนอยู่ในฝูงชนที่เบียดเสียดกันวุ่นวายออกจากเมืองตามไปด้วย
เฉินกวงแทบไม่อยากเชื่อว่าจะราบรื่นถึงเพียงนี้ เขาพูดอย่างตื่นเต้นไม่หยุด “ออกมาแล้ว พวกเราออกมาแล้วจนได้”
ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเมืองแย่ๆ พรรค์นี้ตามไปสมทบกับพี่น้องทั้งหลายได้เสียที วันๆ ต้องดูท่านแม่ทัพกับคุณหนูหลีกะหนุงกะหนิงกันจนเขาชักเริ่มกังขากับชีวิตเสียแล้ว
“ดูข้างหน้าสิ” เซ่าหมิงยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยชา
พวกชาวบ้านที่วิ่งหนีออกมาพากันหยุดฝีเท้ามองไปเบื้องหน้าอย่างงงงัน