หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 504
บทที่ 504
กองกำลังเรียงรายเต็มพรืดเคลื่อนขบวนจากที่ไกลเข้ามาใกล้พร้อมกับฝุ่นตลบอบอวล
คนนำหน้าขี่อาชาสีดำถือทวนยาวไว้ในมือ ใบหน้าแดงปลั่ง
เขาชักม้ามาหยุดยืนเบื้องหน้ากลุ่มชาวบ้านละม้ายภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง
พวกชาวบ้านที่อารมณ์พลุ่งพล่านพลันสงบลง
คนตรงหน้าผู้นี้คือขุนเขาใหญ่ที่ค้ำศีรษะพวกเขามานานสิบกว่าปี หนักอึ้งและไม่อาจต้านทานได้
นี่ก็คือแม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยาง
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากันแวบหนึ่งอย่างว่องไว
“ใครบอกว่าข้าเป็นโรคระบาดตายไปแล้ว!” สิงอู่หยางยกทวนยาวในมือชี้ไปข้างหน้า สุ้มเสียงก้องกังวานดุจเสียงตีระฆัง “แม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยางอยู่ที่นี่ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายล้วนเห็นกันชัดเจนแล้วนะ”
เฉียวเจาเหยียดมุมปากยิ้มอย่างเย้ยหยัน เพียงพินิจจากเปลือกนอก ไม่ว่าผู้ใดล้วนรู้สึกว่าสิงอู่หยางผู้นี้ซื่อสัตย์สุจริต รักแผ่นดินและราษฎร ไหนเลยจะคิดถึงว่าภายในจิตใจเขานั้นแสนจะสกปรกโสมมเหลือทน
เมื่อสิงอู่หยางปรากฏตัวพร้อมกับทหารมากมาย สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่เหล่าชาวบ้านอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงงงัน ในดวงตาฉายแววยำเกรงระคนขลาดกลัว
“พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ผ่านมามีข้าสิงอู่หยางอยู่ที่เมืองฝูซิงนี้เคยประสบเภทภัยจากชาววอโค่วหรือไม่ ตอนนี้พวกท่านหนีออกจากเมืองแล้วจะไปที่ใดได้อีก” เขาโบกมือไปมา “ทุกคนกลับไปเถอะ เมืองฝูซิงไม่มีโรคระบาดอะไร อย่าได้หลงเชื่อข่าวลือใดๆ สุ่มสี่สุ่มห้าจนละทิ้งชีวิตที่สุขสงบไป”
เหล่าชาวบ้านมองหน้ากันไปมา ดูท่าทางเริ่มโอนอ่อนแล้ว
เซ่าหมิงยวนเห็นแล้วกล่าวขึ้นทันทีอย่างเฉียบขาด “เฉินกวง ประเดี๋ยวพอเกิดความชุลมุน เจ้าคอยคุ้มครองใต้เท้าสิงไว้ให้ดี”
“ขอรับ”
ด้านสิงอู่หยางบนหลังม้าเห็นว่าตนปรากฏกายขึ้นก็หยุดยั้งเหตุวุ่นวายเอาไว้ได้ จึงยกมุมปากโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างย่ามใจ
ในเพลานี้เองประกายแสงวาบลำหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหา สิงอู่หยางรีบหยิบทวนยาวขึ้นสกัด ลำแสงนั้นกลับเสียบทะลุทวนยาวปักเข้าตรงหัวไหล่ของเขา
เขาเปล่งเสียงร้องลั่นอย่างระงับไม่อยู่เพราะความเจ็บปวดที่แล่นปราดมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้อาชาสีดำใต้หว่างขากู่ร้องพร้อมกับยกเท้าหน้าขึ้นสูงด้วยความตื่นตกใจ
“ท่านแม่ทัพ!” พวกทหารพากันตื่นตระหนกยกใหญ่
องครักษ์ประจำตัวหลายคนตีวงล้อมสิงอู่หยางไว้ตรงกลาง มีคนหนึ่งตะเบ็งเสียงบอก “อารักขาท่านแม่ทัพออกจากที่นี่โดยไว!”
สิงอู่หยางเอามือกุมหัวไหล่ที่มีเลือดไหล ออกคำสั่งอย่างโกรธแค้น “จับกุมคนพวกนี้ไว้ค้นตัว!”
ครั้นสิงอู่หยางถูกลอบโจมตีกะทันหัน กลุ่มคนที่สงบลงแล้วก็อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นอีกคำรบหนึ่ง พอเห็นพวกทหารย่างสามขุมเข้ามาหาพวกตนก็มีคนตะโกนพูดสุดเสียง
“แย่แล้ว พวกเขาจะสังหารพวกเราจนหมดเพื่อแก้แค้นให้แม่ทัพสิง!”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้นฝูงชนต่างผลักกันดันกันวิ่งกระเจิงไปคนละทิศละทางประหนึ่งน้ำไหลบ่าทลายทำนบ
ทหารม้ากระจายกำลังเป็นกลุ่มๆ ไล่ล่า พวกเฉียวเจาสบช่องลัดเลี้ยวเข้าสู่ป่าทึบกลางเขา
แดนใต้มีแม่น้ำลำคลองมาก ทั้งสี่ซื้อเรือลำเล็กๆ ได้ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เซ่าหมิงยวนกลับไม่ขึ้นเรือ เขาเอ่ยสั่งเฉินกวงด้วยสีหน้าขึงขัง “ดูแลคุณหนูหลีกับใต้เท้าสิงให้ดี ข้าจะรีบตามไปภายหลัง”
“น้อมรับคำสั่ง” เฉินกวงขานรับทันที เขามองสีหน้าเคร่งขรึมของผู้เป็นนายแล้วทำท่าอึกๆ อักๆ
“ท่านจะกลับไปหรือ” เฉียวเจายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม นางเงยหน้าขึ้นไต่ถาม
เซ่าหมิงยวนยกมือยีผมนางเบาๆ
เรือนผมของนางนุ่มนิ่มมากเหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของนาง อ่อนหวานบอบบางแทบปลิวลม แต่เขารู้ว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่อ่อนแอเฉกนี้ซุกซ่อนดวงวิญญาณที่เข้มแข็งเพียงใดไว้อยู่ข้างใน
เขารักในตัวตนที่แท้จริงนั้นของนางจนหัวปักหัวปำแล้ว
“ใช่ ข้าต้องกลับไป”
เฉินกวงสอดปากขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวในที่สุด “ท่านแม่ทัพ เหตุใดท่านยังจะเสี่ยงอันตรายกลับไปด้วยขอรับ พวกเราพาใต้เท้าสิงกลับเมืองหลวงก็ฟ้องร้องสิงอู่หยางได้แล้วมิใช่หรือ”
พยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ ยังมีคำฟ้องร้องของท่านผู้ตรวจการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ สิงอู่หยางต้องโดนตัดสินโทษเป็นแน่
เซ่าหมิงยวนตวัดสายตามองผู้ตรวจการสิงก่อนกล่าวเสียงเรียบ “อย่าถามให้มากความ ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด”
“ท่านแม่ทัพวางใจได้ ถึงร่างกายแหลกเหลว ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่นอนขอรับ”
“เจาเจา รอข้ากลับไป”
“ท่านต้องไปให้ได้หรือ” เฉียวเจาคาดเดาเจตนาของเขาได้รางๆ แต่ไม่พูดออกมา
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเล็กน้อย “ไปคราวนี้จะขจัดปัญหายุ่งยากในวันหน้าไปได้มาก”
“ตกลง ท่านไปเถอะ พวกข้าจะรอท่านอยู่ที่จุดนัดหมาย” เฉียวเจารักษาสีหน้าสงบนิ่งไว้อย่างสุดกำลังยามกล่าวขึ้น
“ข้าไปแล้วนะ” เขามองเฉียวเจาอย่างลึกซึ้งแล้วหมุนกายไป
“ถิงเฉวียน…” เฉียวเจาอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เซ่าหมิงยวนหันกลับมา
“ยาผงห้ามเลือด ยาลูกกลอนถอนพิษ ยาขับไอเย็น แล้วก็ยาทิพย์ล้วนพกติดตัวไว้แล้วใช่หรือไม่”
เขาแย้มยิ้มแล้ว “สบายใจได้ พกติดตัวไว้เรียบร้อย”
“เช่นนั้น…หมดเรื่องแล้ว ท่านไปเถอะ”
เซ่าหมิงยวนสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งกะทันหัน แล้วยื่นแขนทรงพลังไปสวมกอดเฉียวเจา จากนั้นก้มหน้าลงกระซิบพูดกลั้วเสียงหัวร่อที่ข้างหูนาง “รู้สึกว่าลืมสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้แม่นางเฉียวลืมเลือนความกังวลใจใดๆ ไปเสียสนิท นางหน้าแดงยกเท้าเตะเขาเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดดุ “อย่าพูดเหลวไหล”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังกังวาน “วางใจได้ ข้าจะกลับมาโดยไว”
เขาแย้มยิ้มหากแต่แววตาทอประกายกร้าววูบหนึ่งขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถึงเป็นสิงอู่หยางก็ขวางข้าไม่ได้”
จวบจนมองไม่เห็นเงาร่างของเซ่าหมิงยวนแล้ว เฉียวเจาถึงยอมขึ้นเรือไป
เรือลำน้อยเคลื่อนห่างจากฝั่งทีละน้อยทีละนิด…
กลางท้องน้ำเงียบสงบ ไม่รู้เพราะเหตุใดแทบไม่เห็นเรือผ่านไปผ่านมา
เฉียวเจายืนอยู่ตรงหัวเรือ เพียงรู้สึกว่าสายลมจากแม่น้ำเย็นเฉียบจับกระดูก
ต้องมองดูคนผู้นั้นไปบุกเดี่ยวเข้าถ้ำเสือแดนมังกรต่อหน้าต่อตา จะบอกว่าไม่เป็นห่วงคงเป็นคำเท็จ ทว่าจะเป็นห่วงสักเพียงใด นางก็รั้งเขาไว้ไม่ได้
บุรุษของนางคือพญาอินทรี นางไม่อาจเป็นคนที่หักปีกของเขาผู้นี้
“คุณหนูสาม ด้านนอกหนาวนะขอรับ เข้าไปข้างในเถอะ”
เฉียวเจาหันหน้าไปมองเฉินกวงแล้วคลี่ยิ้ม ค่อยเบนสายตากลับไปยังทิศทางที่เรือแล่นจากมา “ใกล้เข้าฤดูหนาวเต็มที แม้แต่ทางนี้อากาศยังเริ่มเย็นลง เมืองหลวงตอนนี้คงต้องสวมเสื้อสองชั้นกันแล้วกระมัง”
ตอนออกเดินทางมาเหอซื่อมารดาของนางตั้งครรภ์แล้ว เวลานี้น่าจะเห็นครรภ์ได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าแพ้ท้องหรือไม่ หากนางอยู่ใกล้ๆ ยังต้มยาช่วยเจริญอาหารให้ท่านแม่ได้บรรเทาอาการเล็กๆ น้อยๆ บัดนี้ห่างไกลกันนับพันลี้ คงได้แต่คิดถึงคะนึงหาอยู่ในใจ
ยังมีท่านพ่อที่เคารพ ท่านน่าจะตั้งตารอคอยบุตรในครรภ์ของท่านแม่อย่างมากกระมัง
เฉียวเจาคิดไปเช่นนี้แล้วรอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่
เฉินกวงเห็นนางยืนนิ่งเฉยก็เลยหมุนกายกลับเข้าไปในตัวเรือ ไม่นานนักเขาเดินถือเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาคลุมบนตัวเฉียวเจา ใบหูแดงเรื่อๆ กล่าวว่า “คุณหนูสาม โดนความเย็นเข้าจะยุ่งยากนะขอรับ”
ถ้าปิงลวี่อยู่ด้วยก็คงดี หรือว่าบุรุษอกสามศอกอย่างข้ายังต้องทำหน้าที่สาวใช้ควบคู่ไปด้วย
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา นางกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นพลางกล่าวยิ้มๆ “ข้างนอกอากาศปลอดโปร่งกว่า เฉินกวง เจ้าอยากกลับเมืองหลวงหรือยัง”
เฉินกวงเผยรอยยิ้ม “ข้าอยู่กับท่านแม่ทัพที่แดนเหนือมานาน จริงๆ แล้วไม่รู้สึกผูกพันกับเมืองหลวงเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าที่นี่ ชาวต๋าจื่อที่แดนเหนือพวกนั้นก็ร้ายกาจเหมือนกัน แต่พวกข้าทหารนักรบกับชาวบ้านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมพลังกันต่อต้านคนนอก ส่วนแดนใต้นี้ช่างน่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน”
“นั่นสิ มาแล้วถึงได้รู้ ทางแดนใต้เหนือความคาดหมายไปมากจริงๆ” น้ำเสียงของเฉียวเจาแฝงความสะทกสะท้อนใจ
เฉินกวงยืนตัวตรงกะทันหันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาลดสุ้มเสียงลงกล่าว “คุณหนูสาม ท่านดูคนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือลำโน้นสิ คุ้นๆ ตาอยู่บ้างใช่หรือไม่ขอรับ”