หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 505
บทที่ 505
เฉียวเจามองไปทางที่เฉินกวงชี้บอก เห็นเรือเล็กลำหนึ่งแล่นตรงมาหาพวกนาง บุรุษชุดดำผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังที่หัวเรือ ชายเสื้อเขาปลิวไสวตามแรงลม
เพราะว่าบุรุษชุดดำหันหลังให้แสง บันดาลให้ใบหน้าของเขาเลือนรางไม่ชัดเจน ถึงกระนั้นเฉียวเจาเห็นแวบเดียวก็จดจำได้
ผู้มาเยือนคือเจียงหย่วนเฉาอย่างไร้ข้อกังขา
เรือที่อยู่เบื้องหน้าเคลื่อนมาใกล้ขึ้นๆ ทุกที เฉินกวงรู้ว่าเป็นเจียงหย่วนเฉาแล้วเช่นกัน เขาอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง จากนั้นรีบหลุบตาลงซ่อนความรู้สึกไว้
เจียงหย่วนเฉาหันเหสายตาไปมองเฉียวเจา มุมปากประดับรอยยิ้มคุ้นตา
เฉียวเจายังคงสวมหน้ากากหนังมนุษย์เอาไว้ นางก้มหน้าลงเหมือนกับเด็กหนุ่มขี้อายอ่อนต่อโลก
เจียงหย่วนเฉาหัวร่อเบาๆ ชั่วขณะที่เรือสองลำแล่นสวนกัน เขาพลันโผนกายกระโดดข้ามไปบนเรือของเฉียวเจา
ตัวเรือโคลงเคลงไปมา พาให้ร่างผอมบางของเด็กสาวซวนเซตาม
ชายหนุ่มซึ่งทิ้งตัวลงข้างๆ ยื่นมือหนึ่งประคองนางไว้
เฉินกวงเห็นดังนั้นก็โกรธจัด เขาลงมือจู่โจมทันใด
ราวกับเจียงหย่วนเฉาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาเริ่มประมือกับเฉินกวง
เดิมทีเรือลำนี้ก็ไม่ใหญ่นัก พื้นเรือที่คับแคบโยกไหวอย่างรุนแรงระหว่างที่ทั้งสองต่อสู้กัน
เฉียวเจาเกาะกราบเรือทรงตัวไว้ นางมองดูบุรุษสองคนประลองฝีมือกันอยู่ด้านข้าง
เฉินกวงเป็นองครักษ์ที่ผ่านการอบรมบ่มเพาะจากเซ่าหมิงยวนย่อมมีวิชายุทธ์ไม่เลว
ฝ่ายเจียงหย่วนเฉาเป็นบุตรบุญธรรมที่เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินตั้งความหวังไว้มากที่สุด จึงได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์ประจำตัวบิดาบุญธรรมมาอย่างเต็มที่
พวกเขาปะทะกันไปสิบกว่ากระบวนท่า เฉินกวงค่อยๆ ตกเป็นรอง
แล้วในเวลานี้เองบนเรือที่เจียงหย่วนเฉานั่งมาลำนั้นมีชายหนุ่มเดินออกมาจากด้านในอีกคนหนึ่ง
เขาขยี้ตาถามอย่างงุนงง “ใต้เท้า ท่านมีอะไรจะสั่งให้ข้าทำหรือไม่”
เจียงหย่วนเฉาอมยิ้มตรงมุมปาก ระหว่างที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับกับเฉินกวง เขาฉวยจังหวะเหลือบตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบเรื่อยขึ้นว่า “พาคุณชายน้อยผู้นี้ไปที่เรือเรา”
เฉินกวงได้ยินแล้วร้อนใจเป็นการใหญ่ เขาพูดตะคอก “เจ้ากล้ารึ!”
เฉินกวงคิดจะไปขัดขวาง แต่เจียงหย่วนเฉาหน่วงเหนี่ยวเขาไว้ได้อย่างคล่องแคล่วฉับไว
“น้อมรับคำสั่ง” เจียงเฮ่อขานรับสั้นๆ แล้วกระโจนตัวไปบนเรือของเฉียวเจาโดยไม่รอช้า
ชั่วพริบตาที่เขากระโดดข้ามมา ฝ่าเท้ายังไม่ทันแตะพื้น เฉียวเจาก็ง้างเท้าถีบออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่
เจียงเฮ่อหล่นลงแม่น้ำดังตูมใหญ่จนน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาโดนเจียงหย่วนเฉากับเฉินกวงทั้งตัว
เจียงหย่วนเฉาลูบน้ำบนใบหน้าออก มุมปากไม่หลงเหลือรอยยิ้มให้เห็นอีกต่อไป เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เจียงเฮ่อ เจ้าปัญญาทึบถึงเพียงใดกันแน่”
เจ้าคนโง่เง่าผู้นี้ออกมาจากท้องเรือก็เพื่อสร้างความอับอายให้เขาใช่หรือไม่
เฉินกวงฉีกยิ้มจนแก้มปริพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เฉียวเจา เขาสบช่องเจียงหย่วนเฉาบันดาลโทสะรุกเข้าโจมตี
เจียงเฮ่อซึ่งตกลงไปในน้ำดิ้นรนกระเสือกกระสนสุดชีวิต เขาร้องตะโกนอย่างน่าเวทนา “ใต้เท้า! ข้าว่ายน้ำไม่เป็น…”
เจียงหย่วนเฉาโกรธจนควันออกหู ยากจะรักษาท่วงท่าสุภาพสง่างามเป็นนิจต่อหน้าพวกเฉียวเจาไว้ได้ เขาตวาดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ไฉนเจ้าไม่ไปตายเสีย!”
เจียงหย่วนเฉาพลางด่าพลางโน้มตัวไปฉุดเจียงเฮ่อ แต่มีหรือเฉินกวงจะเปิดโอกาสให้ เขาตามเข้าไปโรมรันพันตูไว้ทันควัน
สุดท้ายเจียงหย่วนเฉาโดนไล่ต้อนจนหมดหนทาง จำต้องกระโดดลงจากเรือไปลากตัวเจียงเฮ่อโยนขึ้นเรือของพวกตนเหมือนสุกรตายตัวหนึ่งแล้วค่อยปีนตามขึ้นไป ตัวเขาเปียกม่อล่อกม่อแล่กอย่างสิ้นท่ามาก
เฉินกวงเปล่งเสียงหัวเราะดังๆ
ทันใดนั้นเจียงหย่วนเฉาล้วงมือเข้าแขนเสื้อหยิบเกาทัณฑ์แขนเสื้อ* ออกมาเล็งตรงไปที่เฉียวเจา
เสียงหัวร่อของเฉินกวงเงียบหายไปกะทันหัน
เจียงเฮ่อเห็นดังนั้นก็ลุกลนล้วงเกาทัณฑ์แขนเสื้อออกมาเล็งที่เฉียวเจาดุจเดียวกัน เขานึกในใจ เมื่อครู่นี้น่าขายหน้าเกินไป ข้าต้องทำคุณไถ่โทษ!
มุมปากของเจียงหย่วนเฉากระตุกริกๆ เขาพูดอย่างโมโห “เล็งไปที่อีกคนหนึ่งสิ!”
เพราะอะไรตอนนั้นข้าถึงได้คิดสั้น พาเจ้าหน้าโง่ผู้นี้มาด้วยนะ
“อ้อ!” เจียงเฮ่อแจ่มแจ้งในบัดดล รีบเร่งปรับทิศทางเล็งเกาทัณฑ์ไปที่เฉินกวง
สีหน้าของเฉินกวงปราศจากอารมณ์ใด เขาดึงตัวเฉียวเจาไปไว้ข้างหลัง เอ่ยถามเสียงเย็นๆ ว่า “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะเอาอย่างไร”
ยามนี้เขากับคุณหนูสามล้วนแปลงโฉมอยู่ เจียงหย่วนเฉาเป็นสุนัขบ้าไปแล้วหรือถึงกัดคนไม่เลือก
เจียงหย่วนเฉาไม่ตอบคำถามของเฉินกวง เขาเพ่งมองเฉียวเจานิ่งๆ เหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อยเอ่ยถาม “น้องชายยังจำข้าได้หรือไม่”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นสบตากับบุรุษร่างสูงใหญ่บนเรือฝั่งตรงข้าม รอยเย้าหยอกในดวงตาอีกฝ่ายทำให้นางใจหายวาบ
เจียงหย่วนเฉาจดจำข้าได้!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เฉียวเจาเม้มมุมปากเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย “มิกล้าลืมเลือน”
เขาได้ยินคำนี้แล้วหัวร่อลั่น มาตรว่าจะเปียกโชกไปทั้งกายก็ไม่อาจกลบความมีสง่าราศีแต่กำเนิดของชายหนุ่มไว้ได้ เจียงหย่วนเฉากล่าวเสียงดังกังวาน “คุณหนูหลี ไม่ได้พบกันนาน”
เฉียวเจาคิดไม่ออกในชั่วขณะว่าเขาจำนางได้เช่นไร แต่ในเมื่อถูกจับได้แล้ว ทำปิดๆ บังๆ ต่อไปมีแต่จะเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้นางจึงผลิยิ้มบางๆ สายตาจับอยู่ที่เกาทัณฑ์แขนเสื้อในมือเขาซึ่งเล็งตรงมาที่ตน “ไม่ได้พบกันนาน นับวันใต้เท้าเจียงยิ่งทำให้ข้าประหลาดใจมากขึ้นแล้ว”
เจียงหย่วนเฉาควงเกาทัณฑ์ในมือ ดีดกายขึ้นจากพื้นดุจอินทรียักษ์สยายปีกถลาร่อนลงบนเรือของเฉียวเจาอีกครา
เฉินกวงจ้องเขาเขม็งอย่างตื่นตัวระวังภัย “ใต้เท้าเจียง ในเมื่อท่านจดจำได้ว่าเป็นคุณหนูหลี เหตุใดต้องสร้างความลำบากใจให้พวกข้า”
เจียงหย่วนเฉาหัวเราะเบาๆ “เจ้าพูดผิดแล้ว ข้ามิได้คิดจะสร้างความลำบากใจให้คุณหนูหลี”
“แล้วท่านมีจุดประสงค์ใดกัน”
เจียงหย่วนเฉาชายตามองไปทางด้านในเรืออย่างเฉยชา กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “ข้าแค่คิดจะพาคนผู้หนึ่งไป”
เฉินกวงหน้าเปลี่ยนสีทันใด เขาพูดเสียงกระด้างขึ้นว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของใต้เท้าเจียง”
เจียงหย่วนเฉายิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่ต้องเข้าใจ คุณหนูหลีเข้าใจก็พอแล้ว”
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านจะพาผู้ตรวจการสิงไปหรือ”
เจียงหย่วนเฉาแย้มปากยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูหลีเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง”
สายตาของเฉียวเจาจับจ้องที่บุรุษตรงหน้าอย่างไม่คลาดคลา นางรู้สึกไม่วายว่าพบกันหนนี้อีกฝ่ายมีที่ใดไม่เหมือนเดิมแล้ว
ท่าทีที่เขาแสดงต่อข้าไม่เหมือนเดิม…
ในกาลก่อนเจียงหย่วนเฉาเห็นนางเป็นแม่นางน้อยที่น่าสนใจผู้หนึ่ง ถึงขั้นโอนอ่อนผ่อนปรนให้เป็นพิเศษผิดจากผู้อื่นอยู่หลายส่วนเพราะว่านางมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับ ‘หญิงในดวงใจ’ ของเขา
ทว่าครั้งนี้นางแลเห็นเพียงความเย็นชาเฉยเมยบนใบหน้าประดับรอยยิ้มที่ไม่แผ่ไปถึงดวงตา ราวกับว่าขอเพียงนางพูดคำเดียวว่า ‘ไม่’ เขาก็จะยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้อในมือมาคร่าชีวิตนางโดยไม่ยั้งไมตรีแม้แต่น้อยนิด
เฉียวเจาเดือดดาลอยู่ในใจ
ตอนนางยังเป็นเฉียวเจา สามีของนางยิงธนูใส่นางดอกหนึ่งทำให้นางลืมตาขึ้นมาก็กลายเป็นหลีเจา
บัดนี้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ คนที่เคยบอกนางเองกับปากว่ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อเฉียวเจาก็เตรียมพร้อมจะยิงเกาทัณฑ์ใส่นางได้ทุกเมื่ออีกแล้ว
ชาติก่อนนางต้องขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเฒ่าจันทรา* เป็นแน่แท้
ถึงแม้ไฟโทสะลุกโชนตรงกลางอก แต่เฉียวเจาไม่แสดงออกทางสีหน้าดุจเก่า นางเอ่ยถามเสียงราบเรียบ “ขอถามว่าเพราะอะไรได้หรือไม่”
เจียงหย่วนเฉาชูนิ้วชี้วางทาบริมฝีปาก โคลงศีรษะยิ้มๆ แล้วกล่าว “เด็กสาวที่ฉลาดเฉลียวไม่พึงถามว่าเพราะอะไรนะ”
นางขยับมือนิดเดียว เขาก็กล่าวขึ้นอีก “แล้วก็ไม่มีทางถือขนไก่ต่างธงคำสั่ง** ด้วย”
เฉียวเจาเป็นคนชาญฉลาดชั้นใด นางได้ยินถ้อยคำนี้ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที
เขากำลังตักเตือนว่าห้ามหยิบป้ายคำสั่งอักษรฟ้าของกององครักษ์จินหลินที่เจียงถังมอบให้นางมาออกคำสั่งกับเขา
หากที่น่าขันที่สุดคือป้ายคำสั่งป้ายนั้นเขาเป็นคนมอบให้แก่นางเองกับมือ
“ใต้เท้าเจียงเห็นว่านั่นเป็นขนไก่?” เฉียวเจาโกรธเหลือทนแล้วจริงๆ นางถามขึ้นคำหนึ่งห้วนๆ
เฉินกวงกับเจียงเฮ่อล้วนฟังคำสนทนาของทั้งคู่ไม่รู้เรื่อง ทั้งสองต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างช่วยไม่ได้
ยามพวกเขาสบตากันเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ว่าขณะนี้เป็นศัตรูกัน จึงเบนสายตาออกอย่างขุ่นเคืองพร้อมกันอีก
เจียงหย่วนเฉายกยิ้มมองเด็กสาวที่ตัวสูงไม่ถึงหัวไหล่ตน เอ่ยถามอย่างใจเย็น “คุณหนูหลีอยากให้ข้าเห็นว่ามันคืออะไรเล่า”
* เกาทัณฑ์แขนเสื้อ เป็นอาวุธลับชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ ปกติจะถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อจึงได้ชื่อดังกล่าว
* เฒ่าจันทรา หรือเทพจันทรา เป็นเทพองค์หนึ่งในลัทธิเต๋า มีหน้าที่ผูกด้ายแดงไว้ที่ข้อเท้าของชายหญิงที่สมควรครองคู่กันตามดวงชะตา มักปรากฏตัวในรูปชายชรามีหนวดเครายาว ผมขาวโพลน ใบหน้าแดงเรื่อคล้ายคนดื่มสุรา มือซ้ายถือสมุดรายชื่อที่เรียกว่า ‘บันทึกบุพเพสันนิวาส’ เหตุที่ชื่อผู้เฒ่าจันทราเพราะในตำนานเล่าว่ามีคนเห็นเทพองค์นี้เปิดบัญชีรายชื่ออยู่ใต้แสงจันทร์
** ถือขนไก่ต่างธงคำสั่ง เป็นสำนวน หมายถึงการถืออภิสิทธิ์ออกคำสั่งพร่ำเพรื่อ