หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 506
บทที่ 506
ลมกลางแม่น้ำเย็นเยือกเสียดกระดูก เรือนกายของเด็กสาวผอมบางประหนึ่งว่าจะถูกลมหอบไปได้ทุกเวลา
เฉียวเจายักคิ้วพลางหัวเราะเสียงแผ่วเบา “มันคืออะไรกันแน่นั้นมิใช่ใต้เท้าเจียงเป็นผู้บอกข้าหรอกหรือ”
นี่เป็นการถากถางที่เจียงหย่วนเฉาพูดจาไร้สัจจะ แต่เขากลับหยักยิ้มอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน “แม่นางน้อยปากคมปากกล้าดังคาด พวกเราอย่าเล่นลิ้นตีฝีปากกันเลย วันนี้ข้าต้องพาคนที่อยู่ในเรือลำนี้ไปอย่างแน่นอน คุณหนูหลีเต็มใจเปิดทางสะดวกให้ พวกเราก็เจอกันและจากกันด้วยดี มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้นจะมีเหตุใดหรือ” เฉียวเจาถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เจียงหย่วนเฉาพลันยื่นมือไปจับปลายคางแหลมเล็กของนางเอาไว้ “ไม่กลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
กวนจวินโหวไม่อยู่ตรงนี้ เขากับเจียงเฮ่อสองคนจัดการองครักษ์ของกวนจวินโหวคนเดียวได้อย่างสบายมือ แม่นางน้อยผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกันแน่ ถึงประจันหน้ากับเขาได้อย่างเยือกเย็นเช่นนี้
หรือจะบอกว่านางมีนิสัยอย่างนี้เอง ไม่ว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบใดล้วนรับมือได้อย่างสุขุม…
เจียงหย่วนเฉาใจลอยไปครู่หนึ่ง ภาพเงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด
“ปล่อยมือเสีย” เฉินกวงซัดฝ่ามือจู่โจมอย่างรวดเร็ว
เจียงหย่วนเฉาตวัดสายตามองเขาด้วยแววตาคมกริบดุจใบมีดพลางร้องตวาดเสียงห้วน “หรือเจ้าอยากเห็นข้ายิงเกาทัณฑ์ใส่คุณหนูหลี!”
เฉินกวงชะงักกึก พอได้ประมือกันเมื่อครู่นี้ เขาประจักษ์ได้ว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของเจียงหย่วนเฉา
หากมีเจียงหย่วนเฉาผู้เดียว เขาจะเสี่ยงชีวิตยอมตายพร้อมกันก็ไม่เป็นไร ทว่าขณะนี้อีกฝ่ายมีมากกว่าหนึ่งคน แม้ว่าจะโฉดเขลาไปสักนิด แต่ดีชั่วก็เป็นคนผู้หนึ่งก็เพียงพอจะจัดการคุณหนูหลีที่อ่อนแอไร้ทางสู้ได้แล้ว
ท่านแม่ทัพมอบหมายหน้าที่สำคัญให้เขา แล้วเขาจะปล่อยให้ชีวิตของนางตกอยู่ในอันตรายเพราะอารมณ์ชั่ววูบได้อย่างไรเล่า
เฉินกวงไม่กล้าลงมือไปชั่วขณะดังคำกล่าวว่าขว้างมุสิกเกรงภาชนะแตก* เขาเพียงแต่เบิกตากว้างมองเจียงหย่วนเฉาเขม็ง หากว่าสายตาสังหารคนได้ เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือตรงหน้าคงมีรูพรุนทั่วร่างไปแล้ว
เฉียวเจาขยับมือที่ทิ้งห้อยอยู่ข้างลำตัวพลางกล่าวด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด “กลัวหรือไม่กลัวก็ไม่อาจเปลี่ยนใจใต้เท้าเจียงได้มิใช่หรือ”
เจียงหย่วนเฉาเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ “จริงของท่าน”
เขามองนางด้วยสายตาที่แฝงแววอ่อนโยนไว้เลือนราง
ทั้งที่เป็นเด็กสาวที่ตัวสูงไม่ถึงหัวไหล่เขา เหตุใดถึงสั่นคลอนจิตใจเขาได้อยู่ร่ำไป เขาคงจะป่วยเสียแล้ว
คนผู้นั้นจากไปเขาถึงตระหนักได้ฉับพลันว่าความคิดถึงนั้นฝังลึกลงกลางใจแต่แรก ทำให้เขามองหาเงาของนางจากตัวสตรีอื่นอย่างห้ามใจไม่อยู่
เขาปล่อยปลายคางเด็กสาว และยกมือขึ้นลูบเรือนผมสลวยของนาง “ข้าต้องพาตัวใต้เท้าที่อยู่ข้างในผู้นั้นไปแน่ ท่านเป็นเด็กดีว่าง่ายๆ ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้พวกเจ้า เช่นนี้ดีหรือไม่”
เฉียวเจาเม้มปากไม่เปล่งวาจา
เจียงหย่วนเฉาแย้มปากยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะถือว่าท่านตอบตกลงแล้ว”
ชายหนุ่มหมุนกายออกเดินไปทางท้องเรือ เขาเป็นคนร่างสูงเลยจำเป็นต้องก้มตัวถึงจะก้าวเข้าไปข้างในได้
ชั่วพริบตาที่เขาก้มตัวลงนี่เอง เฉียวเจาหยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กเท่าฝ่ามือออกมาดึงจุกปิดออก เล็งไปที่แผ่นหลังของเขาแล้วสาดสิ่งที่อยู่ในนั้นออกไปอย่างว่องไว
ประตูท้องเรือคับแคบ อีกทั้งนางเลือกจังหวะได้พอดิบพอดี ต่อให้เจียงหย่วนเฉารับรู้ถึงความผิดปกติได้แล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ของเหลวใสๆ ยังคงเปรอะติดตามเนื้อตัวด้านหนึ่ง
ชั่วอึดใจนั้นร่างกายครึ่งซีกนั้นราวกับโดนไฟร้อนแรงแผดเผา เขามองเห็นใบหน้าปราศจากความรู้สึกของเด็กสาวในเปลวเพลิงได้ชัดถนัดตา
ความรู้สึกแสบร้อนทำให้เจ็บปวดแทบขาดใจ เจียงหย่วนเฉาพุ่งตัวกระโจนลงน้ำโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
น้ำในแม่น้ำฤดูนี้เย็นจัดจนเข้ากระดูก กระนั้นยังคงไม่อาจบรรเทาอาการแสบร้อนทั่วสรรพางค์กายของคนที่ดิ้นพล่านๆ อยู่กลางสายน้ำได้
“ใต้เท้า! ใต้เท้า…” เจียงเฮ่อที่เกาะกราบเรืออยู่แทบร่ำไห้ออกมา “ท่านต้องแข็งใจไว้ให้ได้นะขอรับ ข้าว่ายน้ำไม่เป็น ช่วยท่านไม่ได้”
เขาทำท่าคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ จึงจับกราบเรือไว้พร้อมกับมองเฉินกวงด้วยแววตาวาดหวัง “เจ้าว่ายน้ำเป็นกระมัง”
เฉินกวงแค่นหัวเราะ “เป็นแน่นอน แต่ข้าไม่ช่วยเขา”
ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน เจ้าหน้าโง่ผู้นี้คิดอะไรอยู่นะ
เฉียวเจายืนอยู่ที่ริมเรือมองคนที่กระเสือกกระสนอยู่ในน้ำนิ่งๆ สายตาของนางพลันปะทะเข้ากับดวงตาแดงก่ำของเขา
“ท่านสาดอะไรใส่ตัวข้า” เจียงหย่วนเฉาส่งเสียงถามอย่างยากลำบาก
เฉียวเจาเหยียดมุมปากแล้วดึงสายตากลับ พูดด้วยสุ้มเสียงเรียบเฉย “เฉินกวง พวกเราไปเถอะ”
“ขอรับ” เฉินกวงออกแรงพายเรือ
เมื่อเรือลอยห่างออกมาเรื่อยๆ เฉินกวงอดเหลียวหลังไปไม่ได้ เห็นเจียงเฮ่อหมอบอยู่ตรงแคมเรือไกลๆ มองดูเจียงหย่วนเฉาที่ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำพลางถูมือไปมา สุดท้ายหยิบคันเบ็ดตกปลามาเหวี่ยงเบ็ดลงไปเกี่ยวผมของเจียงหย่วนเฉาไว้ได้
เฉินกวงทนดูไม่ไหว กระตุกมุมปากขึ้นหันหน้ากลับมาเห็นเฉียวเจาที่ไม่แม้แต่จะเหลียวไปมองอยู่จนแล้วจนรอด ในใจเขาเกิดความรู้สึกเลื่อมใสหรือสะท้อนใจก็บอกไม่ถูก ท้ายที่สุดจึงถอนใจแล้วกล่าวขึ้น “คราวนี้เคราะห์ดีที่มีท่าน ไม่อย่างนั้นพวกเราเดินทางมาเมืองฝูซิงหนนี้คงต้องคว้าน้ำเหลวแล้ว”
“อย่าเพิ่งพูดเร็วเกินไป รอท่านแม่ทัพของเจ้าตามมาสมทบกับพวกเราแล้วถึงวางใจได้” นางยังกำขวดเปล่าใบนั้นไว้ในมือ คิดไปถึงท่าทางดิ้นรนทุรนทุรายอยู่กลางน้ำของเจียงหย่วนเฉาแล้วจิตใจของนางปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากอย่างยิ่ง
กระนั้นนางไม่นึกเสียใจภายหลัง
พวกนางทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากมายปานนี้กว่าจะช่วยผู้ตรวจการสิงออกมาได้ ทำให้ความแค้นและหนี้เลือดของสกุลเฉียวมีความหวังที่จะได้รับการสะสางแล้ว ใครหน้าไหนกล้าแตะต้องผู้ตรวจการสิง นางจะเอาชีวิตเข้าแลกกันมันผู้นั้น
เจียงหย่วนเฉา การที่ท่านดึงดันจะพาตัวผู้ตรวจการสิงไปให้ได้นั้นเป็นเพราะอะไรกัน
เฉียวเจาครุ่นคิดอยู่ในใจ นางเหวี่ยงมือขว้างขวดเปล่าลงไปในแม่น้ำ
ตะวันตกดินสาดแสงกระทบสายน้ำเป็นประกายระยับจับตา เจียงหย่วนเฉาปีนขึ้นเรือ ใบหน้าแดงจัดดุจเปลวไฟ สองตาแดงก่ำ หัวคิ้วที่ขมวดแน่นกับเหงื่อเม็ดโป้งที่หยดแหมะๆ ลงมาจากหน้าผากล้วนบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมานของเขาในเพลานี้
“ใต้เท้า…”
“หุบปากเสีย!” เจียงหย่วนเฉาแผดเสียงตวาด
เจียงเฮ่อยกมือปิดปาก มองผู้เป็นนายตาโตด้วยความห่วงใย
เจียงหย่วนเฉาถอดเสื้อตัวบนออกเงียบๆ พอเสื้อเสียดสีกับผิวกายระหว่างที่ถอด เป็นเหตุให้เขาร้องครางในลำคออย่างห้ามไม่อยู่
เจียงเฮ่อเบิกตากว้างโดยพลัน เขาพูดเสียงหลงว่า “ใต้เท้า เนื้อตัวท่านแดงไปหมดเหมือนกุ้งต้มสุกเลยขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาโกรธจนมือสั่น
เจ้าหน้าโง่ผู้นี้นอกจากช่วยอะไรไม่ได้ไม่ว่า ยังจะพูดจายั่วโมโหเขาให้อกแตกตายอีก หากมิใช่ติดตามเขามานานหลายปี เขาต้องนึกว่าเจ้าหน้าโง่นี่เป็นไส้ศึกแล้วจริงๆ
“ใต้…ใต้เท้า ตรงนี้เป็นตุ่มพองเต็มไปหมดเลย ท่าทางสาหัสมาก…”
“หยิบผ้านุ่มๆ มาให้ข้าผืนหนึ่ง” เจียงหย่วนเฉาบอกด้วยสีหน้าเฉยเมยประหนึ่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
เจียงเฮ่อกุลีกุจอวิ่งผลุบเข้าไปในท้องเรือ ไม่นานนักก็หยิบผ้าเนื้อนุ่มมาให้
เจียงหย่วนเฉาถือผ้าเนื้อนุ่มเช็ดตามจุดที่ขึ้นตุ่มน้ำเบาๆ เขาสูดปากไม่หยุดด้วยความเจ็บ
“คุณหนูหลีสาดอะไรใส่ท่านขอรับถึงมีพิษสงถึงเพียงนี้!”
เจียงหย่วนเฉาไม่เปล่งเสียงตอบ ในหัวสมองเขามีภาพเหตุการณ์ที่พบปะกับเฉียวเจาวาบผ่านเข้ามาเป็นฉากๆ ดุจโคมม้าวิ่ง สุดท้ายหยุดค้างอยู่ที่ภาพตอนประสานสายตากับนางซึ่งแปลงโฉมเป็นเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้
เขาชะล่าใจไปแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยท่าทางอ่อนแอปวกเปียกนางนั้นก็ทำร้ายคนได้ หาไม่แล้วด้วยวรยุทธ์ของเขาจะถูกนางทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัวได้เช่นไร
นางเป็นเด็กสาวใจร้ายผู้หนึ่งโดยแท้!
นัยน์ตาของเจียงหย่วนเฉาทอประกายกร้าววูบหนึ่ง เขาลอบยิ้มเยาะ ก็แค่อาศัยว่าเขาปฏิบัติต่อนางผิดจากผู้อื่นอยู่สักหน่อยเท่านั้น
ถึงนางจะคล้ายคลึงคนที่อยู่ในหัวใจของเขาผู้นั้น แต่จะอย่างไรก็ไม่ใช่คนเดียวกัน
เป็นเขาโง่เขลาเอง เหตุไฉนยังตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่เลิกราเล่า
หลีเจา…
เจียงหย่วนเฉาพึมพำสองคำนี้อยู่ในใจแล้วพูดเสียงเบาๆ “พบกันคราวหน้า ข้าไม่ละเว้นท่านอย่างแน่นอน”
* ขว้างมุสิกเกรงภาชนะแตก เป็นสำนวน หมายถึงห่วงหน้าพะวงหลังจนไม่กล้าทำอะไร