หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 509
บทที่ 509
ข้ามีน้องสาวที่ใดกัน น้องสาวเพียงคนเดียวของข้าป่วยตายไปในปีที่อายุสิบขวบนั่นแล้ว…
เสี้ยวขณะที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายของบุรุษผู้นั้นหลุดลอยไป ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวสมองก่อนจะหงายหลังล้มลง
ศพของบุรุษติดคาอยู่ระหว่างคาคบไม้พอดีจึงไม่ร่วงหล่นลงไป
เฉียวเจาหน้าซีดเผือด นางเกาะกิ่งไม้พลางหอบหายใจเฮือกใหญ่ๆ ราวกับว่าเรี่ยวแรงในกายถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น แม้แต่ปลายนิ้วยังสั่นเทา
เมื่อครู่นี้นางใช้วิชาสะกดจิตลวงคนผู้นั้น ดูไปแล้วเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วต้องทุ่มพลังกายทั้งหมด ตอนนี้นางปวดศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ จนรับศึกหนักไม่ไหวแล้ว
ถึงกระนั้นก็ตามเฉียวเจายังคงเกาะลำต้นของต้นไม้ไถลตัวลงมาอย่างว่องไว
นางปีนต้นไม้ไม่เป็น อีกทั้งร้อนใจเป็นห่วงอาการของเฉินกวง ปล่อยให้อุ้งมืออ่อนนุ่มครูดกับเปลือกไม้ขรุขระโดยไม่นำพา ขณะที่ฝ่าเท้าย่ำเหยียบลงบนพื้นดิน ฝ่ามือก็ถลอกปอกเปิกแล้ว
เฉียวเจาไม่มีแก่ใจคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ นางวิ่งไปหาเฉินกวงด้วยฝีเท้าซวนเซ
เขานอนคว่ำนิ่งสนิทอยู่บนพื้นที่มีใบไม้ร่วงกองสุมจนเต็ม ใต้ร่างเป็นสีแดงเข้มวงใหญ่
นางจับตัวเขาหงายขึ้นมาเผยให้เห็นดวงหน้าอ่อนเยาว์คมคายของเขา
“เฉินกวง…” เฉียวเจาใช้นิ้วมือที่สั่นระริกอังใต้จมูก แต่เขาหมดลมหายใจไปแล้ว
รูม่านตาของเฉียวเจาหดแคบลง นางล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าปักติดกาย แต่อารามรีบร้อนควานหาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียที จึงกระชากถุงผ้าปักจนหลุดแล้วเทขวดกระเบื้องใบเล็กใบน้อยออกมาทั้งหมด หยิบขวดสีเขียวมาเทยาทิพย์ออกมายัดใส่ปากเฉินกวง
บนตัวเขามีบาดแผลน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ที่สาหัสที่สุดเป็นรอยแผลจากคมดาบกลางแผ่นหลัง
เฉียวเจาโรยยาผงห้ามเลือดแล้วฉีกชายเสื้อมาพันแผลให้เขาจนเสร็จเรียบร้อย นางก็หลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย
นางเอียงหน้าแนบอกเฉินกวงฟังเสียง พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นแผ่วเบาของเขาได้รางๆ ก็แทบร่ำไห้ด้วยความยินดีล้นเหลือ นางกอดเขาไว้พร้อมกับพูดกระซิบ “เฉินกวง เจ้าได้ยินที่ข้าพูดใช่หรือไม่ เจ้าต้องแข็งใจไว้นะ เจ้าบอกว่ายังไม่ได้ตบแต่งภรรยาจะตายไม่ได้ไม่ใช่หรือ ข้าให้ปิงลวี่แต่งงานกับเจ้าดีหรือไม่ ขอเพียงเจ้ามีชีวิตรอดต่อไป ข้าก็จะยกปิงลวี่ให้เจ้า…”
แพขนตาของเฉินกวงกระดิกเบาๆ
เสียงฝีเท้าดังลอยมา รองเท้าสีดำคู่หนึ่งสะท้อนเข้าคลองจักษุ เจ้าของรองเท้ามีท่อนขาที่เพรียวยาว
เฉียวเจาที่กอดเฉินกวงไว้แข็งทื่อไปทั้งสรรพางค์กาย นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ตรงขอบฟ้าปรากฏแสงขาวเรื่อๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจาเลื่อนสายตาขึ้นมอง เห็นชายเสื้อสีดำของผู้มาถึงก่อน จากนั้นค่อยเห็นใบหน้าคุ้นตาและมุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มี
หลังจากทั้งคู่ประสานสายตากันในทีแรก เจียงหย่วนเฉาพลันย่อตัวลงสบตากับเฉียวเจาตรงๆ
นางกอดเฉินกวงแน่นๆ มองเขาโดยไม่ขยับกาย
เจียงหย่วนเฉายื่นนิ้วไปปาดหางตาของนางทีหนึ่ง เขาอมยิ้มตรงมุมปากอย่างเยาะหยัน “ร้องไห้แล้วหรือ เพื่อองครักษ์เล็กๆ ผู้หนึ่ง?”
เฉียวเจากัดริมฝีปากแน่นๆ ไม่ปริปาก สายตาของนางเบนไปข้างหลังแล้วหยุดอยู่ที่ตัวผู้ตรวจการสิงที่โดนคนชุดดำที่เหลืออยู่คนเดียวจับไว้
เจียงหย่วนเฉาเห็นว่าถึงเวลานี้แล้วนางยังไม่แยแสตนอีกก็พาให้ในใจกรุ่นโกรธอย่างไร้สาเหตุ จึงพูดเยาะๆ ว่า “เขายังไม่ตายหรือ”
นางลอบกำมือเป็นหมัด กล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านยังไม่ตาย เพราะอะไรเขาต้องตาย”
ถ้อยคำนี้ยั่วโทสะของเจียงหย่วนเฉาอย่างไม่ต้องสงสัย
รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเลือนหายไปฉับพลัน เขาถามอย่างเฉยเมย “อย่างนั้นหรือ ข้าส่งเขาไปพบท่านยมบาลตอนนี้เลย ดูสิว่าข้าจะตายหรือไม่”
เขายื่นมือมาเฉียวเจาเอาตัวบังเฉินกวงไว้ทันใด
เจียงหย่วนเฉาหยุดชะงัก เอ่ยถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหตุใดรึ นึกว่าข้าลงมือกับท่านไม่ลงคอหรือ”
เฉียวเจาหัวเราะเบาๆ “ไฉนใต้เท้าเจียงจะทำไม่ลงคอเล่า”
เขามองนางอย่างพินิจครู่หนึ่งถึงหลบสายตาที่คุ้นตาอยู่บ้างชอบกลคู่นั้นแล้วพูดเอื่อยๆ “ท่านสำเหนียกตนเองได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
เขายื่นฝ่ามือใหญ่ที่เห็นข้อนิ้วชัดข้างหนึ่งไปแตะคอนาง
ลำคอของเด็กสาวเรียวยาวระหงประหนึ่งก้านดอกไม้ที่เปราะบาง บีบเบาๆ ทีเดียวก็หักเป็นสองท่อนได้
นิ้วมือของชายหนุ่มลูบไล้ไปมาแล้วกำเข้าหากันแน่นฉับพลัน
ความรู้สึกหายใจไม่ออกแล่นมา เฉียวเจาก็ไอสำลักอย่างอึดอัดทรมาน นางมองบุรุษที่จู่ๆ ก็จะสังหารตนอย่างอำมหิตโดยไม่ละสายตา
“ห้ามมองข้าอย่างนี้” เจียงหย่วนเฉายื่นมืออีกข้างไปปิดตาเด็กสาวไว้
ดวงตาของนางคล้ายกับคนผู้นั้นเหลือเกิน ทำให้เขาออกแรงบีบมือไม่ได้เสียที
ทว่าเขาไว้ชีวิตแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้แล้ว
ตอนแรกเขารู้สึกว่านางเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจมากผู้หนึ่งจึงอดจับตามองนางไม่ได้ ถึงขั้นไม่ถือสาอะไรที่นางก้าวร้าวลามปาม
แต่นางกลับเข้ามาพัวพันกับเรื่องสกปรกโสมมของแดนใต้ ทั้งยังรู้ความลับมากเกินไป แล้วก็เล่นงานเขาโดยไม่ยั้งมือไว้ไมตรีสักน้อยนิด เขาไม่อาจปล่อยให้นางมีชีวิตรอดกลับเมืองหลวงได้แล้ว
เฉียวเจาเพียงรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าดับวูบ
ฝ่ามือใหญ่ที่บีบเข้าหากันแน่นคู่นั้นทำให้ลมหายใจของนางติดขัด สติเริ่มพร่าเลือน ภาพตอนที่ได้พบปะกับบุรุษผู้นี้ชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อภพก่อนวาบผ่านเข้ามาในหัว
กลางป่าเขามีบุรุษหนุ่มน้อยอ่อนต่อโลกนอนอยู่ริมทาง ใบหน้าออกเขียว
นางผ่านไปทางนั้นพอดี มองปราดเดียวก็แน่ใจว่าเขาโดนพิษเลยเดินเข้าไปถามไถ่
เมื่อได้รู้จากปากเด็กหนุ่มว่าเขาโดนงูกัด นางดูดพิษงูออกและมอบยาขี้ผึ้งแก้พิษงูโดยเฉพาะให้ จึงช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ก่อนจากกัน เขาบอกนางว่าเขาชื่อ ‘สือซาน’
ยามนั้นนางคิดคำนึงว่า ‘สือซาน’ เป็นชื่อที่มีเรื่องราวที่มาเป็นแน่แท้
แต่เสี้ยวขณะนี้เฉียวเจาเพียงอยากหัวร่ออย่างขมขื่น
นางต่างหากที่น่าจะเป็นชาวนาที่ช่วยงูพิษไว้ผู้นั้น เรื่องราวของ ‘สือซาน’ ก็คือนิทานเรื่องชาวนากับงูพิษ
ทว่านางไม่อยากตาย
ความแค้นใหญ่หลวงของสกุลเฉียวใกล้จะได้รับการสะสาง รูปโฉมของพี่ชายคนโตจะกลับเป็นดังเดิมในอีกไม่ช้า ไหนเลยนางจะเต็มใจตายไปตอนนี้เล่า
ทั้งยังมีคนผู้นั้น ชาติก่อนเขากับนางมีบุญแต่ไร้วาสนาต่อกัน ชาตินี้นางไม่อยากให้ทั้งคู่มีวาสนาต่อกันแต่ไร้บุญครองคู่อีกต่อไป นางอยากอยู่กับเขาจนแก่เฒ่าผมหงอกขาว ผูกพันรักใคร่กันไปชั่วชีวิต
นางหักใจตายไม่ได้
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาของเฉียวเจาหยดใส่นิ้วมือที่บีบแน่นจนขาวซีดของเจียงหย่วนเฉา
น้ำตาหยดนั้นราวกับน้ำเดือดจัดทำให้เขาชะงักมือทันที
นางร้องไห้แล้ว เพราะเจ็บมากใช่หรือไม่
ชั่วอึดใจนี้เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในใจคืออะไร เรียวปากบางเม้มแน่นขณะตัดสินใจ
เขาเป็นอะไรไปกันแน่ จวบจนตอนนี้แล้วยังตกลงปลงใจอย่างเด็ดขาดไม่ได้อีก
ช่างเถอะ ปลิดชีพนางโดยไวให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียก็ดี
ระหว่างที่เจียงหย่วนเฉาตัดสินใจพลันได้ยินเสียงเรียกขาดเป็นห้วงๆ ของเด็กสาว “สือ…สือซาน…”
เพราะเจ็บร้าวไปทั้งคอและหายใจไม่สะดวก เสียงพูดของนางอู้อี้ไม่ปะติดปะต่อกัน ทว่ายามมันลอยไปกระทบหูของเจียงหย่วนเฉากลับเป็นดั่งอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงกลางหัวสมองที่สับสนยุ่งเหยิง
มือของชายหนุ่มผละออกโดยพลัน เขาคว้าข้อมือนางไว้หมับพลางถามเสียงกร้าว “ท่านเรียกข้าว่าอะไร”
เฉียวเจาขยับนิ้วมือหมายจะสะบัดมือเขาออก แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงกำลังแม้สักเศษเสี้ยว
การหลบหนีเอาชีวิตรอดจากความตายที่แสนตึงเครียดระทึกขวัญมาครึ่งค่อนคืน ทำให้นางใช้แรงกายแรงใจไปเกินขีดจำกัดแล้ว
“บอกข้ามา เมื่อครู่นี้ท่านเรียกข้าว่าอะไร” น้ำเสียงของเจียงหย่วนเฉาขุ่นมัวดุจเมฆดำหนาทึบก่อนพายุฝนจะมาเยือน
นัยน์ตาที่เคยสุกใสเป็นประกายแต่เดิมทั้งคู่ของเด็กสาวปรือขึ้นน้อยๆ มองเขาอย่างไร้ชีวิตชีวา สุ้มเสียงของนางเลื่อนลอย “สือซาน…”
พอคำว่า ‘สือซาน’ ดังมาเข้าหู เจียงหย่วนเฉาแทบควบคุมตนเองไม่อยู่ เหตุการณ์เมื่อครั้งที่พานพบกับคุณหนูสกุลเฉียวไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิดเป็นฉากๆ
นางช่วยชีวิตเขาไว้ เขาบอกว่า ‘ข้าชื่อสือซาน คุณหนูอย่าลืมนะ’
ได้พบกันอีกครั้งเขาล่วงรู้แล้วว่านางคือหลานสาวของจอมปราชญ์เฉียวจัว และหมั้นหมายกับคุณชายรองของจวนจิ้งอันโหวมานานแล้ว
นางยิ้มแย้มอย่างสงบเยือกเย็นดุจเก่า ‘ข้าจำท่านได้ สือซาน’