หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 51
อู๋เหมยซือไท่เพ่งสายตามองเฉียวเจานิ่งนานก่อนคลายยิ้มฉับพลัน มา เขียนกลอนบทนี้ให้อาตมาดู
เฉียวเจามองแผ่นเขียนอักษรที่น้ำหมึกยังไม่แห้งบนโต๊ะ ลอบคิดคำนึงว่า เป็นคำกลอน ‘เชิญร่ำสุรา’ ของอุบาสกแห่งชิงเหลียนดังคาด แม้นวันคืนผ่านมาเนิ่นนาน องค์หญิงใหญ่ท่านนี้ยังฝังใจกับกลอนบทนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย
นางหยิบกระดาษแผ่นเดิมออก วางแผ่นใหม่ปูบนโต๊ะ จับพู่กันจุ่มหมึกที่เพิ่งฝนหมาดๆ แล้วจรดปลายพู่กันลากปราดๆ เขียนรวดเดียวจนจบได้อย่างคล่องแคล่วตามใจนึก
อู๋เหมยซือไท่อยู่ข้างๆ จับจ้องตัวอักษรที่เฉียวเจาเขียนโดยไม่ละสายตา นางพึมพำอ่านอย่างเคลิบเคลิ้มไปแล้ว
ฤามิเห็นบุพการีผมหงอกขาว ส่องคันฉ่องหน้าหม่นเศร้าทอดถอนใจ
อรุณรุ่งยังดกดำดุจขนกา เพิ่งสนธยาไยขาวโพลนดั่งหิมะ…
เฉียวเจายกพู่กันออกแล้วมองไปทางอู๋เหมยซือไท่
ในห้องเงียบสงัดไร้สรรพเสียง ได้ยินแต่เสียงร้องของวิหคที่ไม่รู้จักชื่อทางนอกหน้าต่างลอยเข้ามากับสายลม
อู๋เหมยซือไท่หลุดจากภวังค์แล้วมองเฉียวเจาด้วยแววตาสับสนปนเป
สีหน้าของเด็กสาวเรียบเฉย ปล่อยให้นางพิศดูตนตามสบาย
เป็นนานพักใหญ่ อู๋เหมยซือไท่เอ่ยปากขึ้นในที่สุด ตัวอักษรของเจ้าร่ำเรียนจากอาจารย์คนใด
นางแอบถอนใจเฮือก
เฉียวเจาคาดเดาได้แต่แรกว่าขอแค่คัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นถูกส่งมาตรงหน้าซือไท่ผู้นี้ นางจะต้องอยากพบคนที่เขียนอักษรเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
ใครให้นางใช้ลายมือของท่านปู่เล่า ถึงแม้เทียบกับของท่านปู่แล้ว ตัวอักษรของนางยังขาดความสมบูรณ์อยู่บ้าง ด้านเอกลักษณ์เด่นยิ่งห่างชั้นกันไกลลิบ กระนั้นหากทอดสายตาไปทั่วแผ่นดิน ในเชิง ‘องค์ประกอบ’ น่าจะไม่มีผู้ใดที่เขียนได้ใกล้เคียงท่านปู่เท่าตัวอักษรของนางแล้ว
แล้วอู๋เหมยซือไท่อดีตองค์หญิงผู้ทรงเกียรติผู้นี้ก็เป็นเพราะในอดีตเคยปักใจกับท่านปู่แต่ไม่สมหวังในรักถึงได้ออกบวชด้วยความคับแค้นขมขื่น
ความลับเมื่อเนิ่นนานมาแล้วขององค์หญิงแห่งราชวงศ์ซึ่งคนใต้หล้าไม่มีทางล่วงรู้นี้ เด็กรุ่นหลังผู้หนึ่งอย่างเฉียวเจากลับได้รู้ เป็นเพราะในปีที่นางมาเมืองหลวง นางเลียนแบบลายมือของท่านปู่เพื่อกลั่นแกล้งพี่ชายด้วยความซุกซน หลอกให้เขาไปวัดต้าฝูดูตัวกับสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวง แต่พี่ชายทำกระดาษสารหล่นหายโดยไม่ระวัง ไม่รู้ว่ามันไปอยู่กับอู๋เหมยซือไท่ได้เช่นไร
วันประสูติของพุทธองค์ในปีนั้น คนทั้งวัดต้าฝูล้วนเสาะหาเจ้าของกระดาษสาร
นางรู้สึกแปลกใจที่อู๋เหมยซือไท่หมกมุ่นกับกระดาษสารแผ่นนั้น หลังกลับถึงจยาเฟิง นางเอ่ยกับท่านย่าโดยบังเอิญ ท่านย่าถึงเล่าเรื่องราวในอดีตนี้ให้นางฟัง
ความรักของคนรุ่นก่อนไม่พึงกล่าวถึงมากนัก รวมความได้ว่าเป็นเรื่องราวของญาติผู้พี่ผู้น้องที่หลงรักบุรุษผู้เดียวกัน คนหนึ่งได้ครองคู่สุขสมหวัง อีกคนต้องผิดหวังชอกช้ำใจ
ผ่านมาหลายปีปานนี้ ตัวอักษรของเฉียวเจารุดหน้าขึ้นอีกขั้นแล้วเมื่อเทียบกับฝีมืออันอ่อนด้อยในครั้งนั้น นางถึงได้มั่นใจว่าองค์หญิงใหญ่ท่านนี้ต้องพบนางแน่นอน
แท้จริงแล้วเฉียวเจารู้สึกผิดอยู่บ้าง นางใช้ประโยชน์จากปมในใจของผู้อื่นมิใช่เรื่องน่าภูมิใจเท่าไรนัก แต่ตอนนี้นางจำต้องทำเช่นนี้
ข้าไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ เพียงฝึกฝนตามแบบคัดอักษรของอาจารย์เฉียวเรื่อยมาเจ้าค่ะ
สายตาของอู๋เหมยซือไท่ยังจับอยู่ที่กระดาษ นางส่ายหน้าช้าๆ ลายเส้นเค้าโครงพลิ้วไหวอิสระ เป็นพรสวรรค์โดยธรรมชาติ ตัวอักษรเฉกนี้ใช่ว่าลอกตามแบบคัดอักษรก็จะฝึกปรือกันได้
นางเงยหน้าขวับ จ้องเฉียวเจาเขม็ง เจ้าเป็นอะไรกับเฉียวจัว
อู๋เหมยซือไท่แผ่บารมีอำนาจข่มขวัญอย่างกะทันหัน แต่เฉียวเจายังหน้าไม่เปลี่ยนสี กล่าวอย่างซื่อสัตย์ว่า ข้าเห็นอาจารย์เฉียวเป็นดั่งเทพสวรรค์และเป็นความใฝ่ฝัน ข้ามีวาสนาได้ฝึกฝนจากแบบคัดอักษรของอาจารย์เฉียวคือเกียรติยศสูงสุดของข้าเจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่สงบอารมณ์ลงทีละน้อย นางมองดูตัวอักษรที่เฉียวเจาเขียนซ้ำอีกคราก่อนก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่าง
นอกหน้าต่างมีต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง สูงใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาหนาทึบเป็นร่มเงาครึ้มเย็นสงัดเงียบไปทั่วบริเวณลานเรือน
เจ้าฝึกฝนด้วยตนเองจริงๆ หรือ
ท่านซือไท่เชื่อหรือไม่เจ้าคะว่าคนบางคนเกิดมาพร้อมความสามารถยอดเยี่ยมจนน่าทึ่ง เฉียวเจาอมยิ้มเอ่ยถาม
เอ่อ…ข้าไม่ได้หมายถึงตนเองนะ แค่พูดให้เข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
เกิดมาพร้อมความสามารถยอดเยี่ยมจนน่าทึ่ง? ในหัวสมองของอู๋เหมยซือไท่มีเงาร่างบุรุษผู้หนึ่งผุดขึ้นวูบหนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีเขียว ดื่มสุรารสแรง เขียนอักษรที่วิจิตรบรรเจิดที่สุดในใต้หล้า ทั้งยังวาดภาพได้งามตระการตาที่สุด อิสรเสรีดุจสายลมราวกับไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้เขาเก็บใส่ใจได้
เผอิญว่าเขาไม่เหลียวมองนางซึ่งเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ กลับมอบใจให้ญาติผู้น้องที่สามัญธรรมดาไร้จุดเด่นใดๆ
เรื่องราวในโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมดีแท้
นางเคยชิงชัง เคยคับแค้น เคยซักไซ้ เคยวิงวอน แต่กลับลงท้ายด้วยการสะบั้นผมทั้งศีรษะปลีกสันโดษอยู่ในอารามซูอิ่ง หลายสิบปีผ่านไป ในหัวใจหลงเหลือเพียงความเจ็บปวดบางเบาเจือจางกับเศษเสี้ยวความคะนึงหาชั่วนิรันดร์
เมื่อได้ยินข่าวการตายของเขา นางแค่นั่งจับเจ่าตลอดราตรี วันรุ่งขึ้นก็ทำวัตรเช้าตามปกติแล้ว
นางนึกว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นร่องรอยของคนผู้นั้นแม้แต่น้อยนิดอีกต่อไป แต่วันนี้กลับได้เห็นอักษรแผ่นนี้
พูดได้ว่าลายมือนี้ถ่ายทอดฝีมือเขามาได้ถึงแปดส่วน
เมื่อครู่นี้นางมองดูเด็กสาวเขียนอักษรอยู่อย่างนั้น คลับคล้ายได้มองดูคนผู้นั้นเขียนอักษรกระนั้น
อู๋เหมยซือไท่หมุนกายมามองเฉียวเจาด้วยสายตาสงบนิ่ง นางพยักหน้าน้อยๆ สีกาน้อยกล่าวได้ถูกต้อง คนบางคนเกิดมาก็ได้รับพรจากสวรรค์ มีคุณสมบัติโดดเด่นเหนือใคร เป็นอาตมาความคิดตื้นเขินแล้ว
อู๋เหมยซือไท่พูดพลางเดินมาใกล้ เอ่ยถามนางด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล สีกาน้อยเต็มใจมาที่อารามคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนอาตมาทุกๆ เจ็ดวันหรือไม่
เฉียวเจาเผยสีหน้าแย้มยิ้ม เต็มใจอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่เริ่มมีรอยยิ้ม นางไต่ถามต่อ สีกาน้อยชื่อเรียงเสียงไร
ข้าแซ่หลี นามคำเดียวว่า ‘เจา’ เจ้าค่ะ
หลีเจา? ที่แปลว่าแจ่มแจ้ง เป็นอักษรเดียวกับในถ้อยคำที่ว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’ หรือไม่
เฉียวเจาหลุบตาลง เป็นตัวเดียวกับในถ้อยคำที่ว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’ เจ้าค่ะ
สีหน้าแววตาของอู๋เหมยซือไท่อ่อนละมุนยิ่งขึ้น นางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า ไปเถอะ เจ็ดวันให้หลังอย่าลืมมาที่นี่ จิ้งซี ส่งคุณหนูหลีออกไป
เจ้าค่ะ จิ้งซีเข้ามาแล้วเพ่งมองเฉียวเจาปราดหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท คุณหนูหลี เชิญตามข้าออกไปเถอะ
ข้าขออำลาเจ้าค่ะ
ขณะเฉียวเจาเดินตามภิกษุณีจิ้งซีออกไปข้างนอก อู๋เหมยซือไท่พลันอ้าปากบอก จิ้งซี เจ้าพาคุณหนูหลีไปส่งที่วัดต้าฝูด้วยตนเองนะ
จิ้งซีหยุดฝีเท้าแล้วขานรับ เจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่ถึงหลับตาลงไม่มองพวกนางอีก
ตอนแรกผิดคนรึ ฮึๆ
ผู้เป็นองค์หญิงเช่นนางเคยเห็นการเล่นลูกไม้สกปรกต่ำช้าพรรค์นี้มานักต่อนักแล้ว เห็นทีเด็กผู้นั้นคงตกอยู่ในสภาพไม่ดีสักเท่าใด
ในเมื่อเด็กผู้นั้นเต็มใจคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนนาง ก็จะช่วยเปิดทางสะดวกให้บ้าง ซึ่งสำหรับนางแล้วง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือก็เป็นเรื่องสมควรอยู่
จิ้งซีนำทางเฉียวเจาไปถึงหน้าประตูอาราม ภิกษุต้อนรับก้าวเข้ามาหา เห็นใบหน้านางประดับรอยยิ้มก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ศิษย์พี่ ได้พบกับพระอาจารย์ใหญ่แล้วหรือ
พบแล้ว พระอาจารย์ใหญ่สั่งให้ข้าพาสีกาน้อยไปส่ง
ภิกษุต้อนรับเข้าใจความหมายผิด เขาบอกกับเฉียวเจา สีกาน้อย โปรดตามอาตมามาเถอะ
จิ้งซีพูดแย้งขึ้น พระอาจารย์ใหญ่สั่งให้ข้าส่งสีกาน้อยกลับไปที่วัดต้าฝูด้วยตนเอง ศิษย์น้องนำทางเถอะ
ภิกษุต้อนรับทำหน้าตะลึงงัน เขาหันไปมองเฉียวเจาอย่างห้ามไม่อยู่ เห็นนางมีท่าทางนิ่งเฉยแล้วลอบอัศจรรย์ใจมากขึ้น เพียงแต่ปากไม่พูดอะไรมากอีก พาคนทั้งสองมุ่งหน้าไปวัดต้าฝู
บนระเบียงยาว ตู้เฟยเสวี่ยเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองอยู่ครู่หนึ่งก็กระตุกมือหลีเจี่ยวและกล่าวว่า เหตุใดยังไม่กลับมาอีกนะ พี่เจี่ยว ข้าอยากเห็นท่าทางตอนหลีซานหน้าม้านกลับมาจริงๆ คงจะน่าเกลียดยิ่งกว่าคุณหนูรองของจวนท่านเป็นแน่
หลีเจี่ยวขมวดคิ้ว น้องเฟยเสวี่ย อย่าพูดเช่นนี้เลย
หากเรื่องในวันนี้ไม่จบลงด้วยดี ชื่อเสียงของจวนสกุลหลีก็จะย่อยยับป่นปี้ ดังคำกล่าวว่า ‘รังนกหกคว่ำ จะเหลือไข่ครบใบอีกหรือ’*
ตู้เฟยเสวี่ยกลับไม่แยแสเรื่องพวกนี้ นางเบะปากพูด พี่เจี่ยว เป็นเวลาใดแล้ว ท่านยังจะพูดเข้าข้างหลีซานอยู่อีก
ระหว่างที่พวกนางสนทนากันอยู่ เกิดเสียงชุลมุนวุ่นวายดังขึ้นกะทันหันระลอกหนึ่ง
คุณหนูสามสกุลหลีกลับมาแล้ว!
* รังนกหกคว่ำจะเหลือไข่ครบใบอีกหรือ หมายถึงเมื่อสิ่งที่เป็นเสาหลักพังลงไป ผู้ที่เกี่ยวข้องย่อมได้รับผลกระทบอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้