หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 516
บทที่ 516
เวลาผ่านไปอีกสองวันท่ามกลางบรรยากาศเขม็งเกลียว เมื่อเรือแล่นออกนอกเขตแดนฝูตง เรือของทางการที่ตั้งด่านตรวจค้นระหว่างทางก็น้อยลงโดยพลัน อีกทั้งไม่มีท่าทีเอาจริงเอาจังเหมือนอย่างที่พบเจอก่อนหน้านี้
เจียงหย่วนเฉาเดินไปตรงหน้าเฉียวเจา เขาหยุดยืนห่างจากนางไม่ถึงครึ่งจั้ง ยื่นมือออกไปพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มอบให้ข้าได้แล้วหรือยัง”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “ไม่มี”
เจียงหย่วนเฉาหน้าเจื่อนไปกะทันหัน เขามองเฉียวเจานิ่งๆ
เฉียวเจาถอยหลังสองก้าวเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม “ไม่มีผงไส้ขาดเจ็ดทิวา ดังนั้นก็ไม่มียาถอนพิษ”
เจียงหย่วนเฉารู้สึกว่าหัวใจกระตุกทีหนึ่งฉับพลัน เขาเขม้นมองนาง “ท่านไม่ได้วางยาพิษรุนแรงถึงชีวิตกับข้าหรือ”
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น “ใต้เท้าเจียงไม่เชื่อ?”
“ข้าย่อมต้องเชื่อสิ” แววตาของเจียงหย่วนเฉาเต้นระริกแล้วแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิทดุจบึงน้ำลึกในท้ายที่สุด เขากล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง “แล้วพบกันใหม่”
เขาพูดจบแล้วมองไปทางเซ่าหมิงยวนที่ยืนอยู่ข้างกายเฉียวเจา “หวังว่าท่านโหวจะดูแลคุณหนูหลีให้ดีๆ”
“ไม่รบกวนให้ใต้เท้าเจียงต้องเป็นกังวล”
เจียงหย่วนเฉาหัวเราะเบาๆ แล้วพาคนของตนเองจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
“ไปได้เสียที มีพวกเขาอยู่ด้วยจะพูดอะไรก็ไม่สะดวก” เฉินกวงซึ่งยังมีผ้าพันแผลเต็มตัวกอดไหล่เยี่ยลั่วพลางยิ้มหน้าระรื่น “เยี่ยลั่ว บอกข้ามาเร็วๆ เจ้ามีพี่น้องชื่อเยี่ยเฟิงตั้งแต่เมื่อไร”
“ปากมาก” เซ่าหมิงยวนขึงตาใส่เฉินกวง เขาเดินไปหาผู้ตรวจการสิง ก่อนกล่าวด้วยท่าทางสุภาพมีมารยาทอย่างมาก “ใต้เท้าสิง ข้าจะพาท่านไปพบคนผู้หนึ่ง”
คนที่เซ่าหมิงยวนพาผู้ตรวจการสิงไปพบคือองครักษ์นามเยี่ยเฟิงที่ขึ้นเรือมาพร้อมกับเยี่ยลั่วเมื่อสองวันที่แล้ว
ผู้ตรวจการสิงมององครักษ์ที่นอนสลบไสลอยู่ด้วยสีหน้าฉงนใจ
“ใต้เท้าสิงมองดูดีๆ สิขอรับ” เซ่าหมิงยวนพูดเตือน
ผู้ตรวจการสิงมององครักษ์อย่างพินิจพิจารณาแล้วย่นหัวคิ้วเข้าหากันกะทันหัน สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแล้วเสยผมที่ปรกหน้าผากขององครักษ์ขึ้น
ใบหูขององครักษ์มีลักษณะอวบอิ่ม ติ่งหูหนาใหญ่ ผู้ตรวจการสิงพลิกใบหูข้างซ้ายของเขาขึ้นดูหลังใบหูก็เห็นตุ่มหนังแข็งเม็ดเล็กๆ เด่นสะดุดตา
ผู้ตรวจการสิงถอยกรูดๆ ความแตกตื่นตกใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า เขาหันขวับไปมองเซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เขาอย่างสงบนิ่ง
“เขาคือสิงอู่หยาง?” ผู้ตรวจการสิงยกมือชี้องครักษ์ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
เฉินกวงที่ยืนอยู่มุมห้องกุมหน้าผาก พูดพึมพำขึ้นว่า “สิงอู่หยาง? ดูไม่ออกจริงๆ แม่ทัพชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้กลับมีหน้าตาเรียบๆ ธรรมดาเช่นนี้”
“ท่านโหว เขาคือสิงอู่หยางจริงๆ หรือ” ผู้ตรวจการสิงอดถามซ้ำไม่ได้
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ใต้เท้าสิงไม่ได้จำคนผิด เขาคือสิงอู่หยางแม่ทัพคั่งวอที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง”
“เจ้าเดรัจฉานตนนี้” ผู้ตรวจการสิงคว้าถ้วยน้ำชาใกล้ๆ มือบนโต๊ะเล็กด้านข้างขว้างใส่หน้าสิงอู่หยาง
เซ่าหมิงยวนยื่นมือรับถ้วยน้ำชาไว้อย่างคล่องแคล่วว่องไว รอยยิ้มของเขาเยือกเย็นดุจท้องน้ำที่นิ่งเรียบในขณะนี้ “ใต้เท้าสิงอย่าใจร้อน บัดนี้สิงอู่หยางตกอยู่ในกำมือพวกเรา ช้าเร็วก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ดังที่พึงเป็น”
ผู้ตรวจการสิงจ้องเขม็งไปที่สิงอู่หยางซึ่งแปลงโฉมปลอมตัวอยู่ ริมฝีปากเขาสั่นระริกไม่หยุด สุดท้ายก็กล่าวทอดถอนใจ “ราษฎรของฝูตงต้องเดือดร้อนแสนเข็ญก็เพราะเจ้าเดรัจฉานตนนี้”
เซ่าหมิงยวนประสานมือคำนับเขา “ดังนั้นหลังกลับถึงเมืองหลวงแล้วต้องไหว้วานใต้เท้าสิงด้วยขอรับ”
เขาลักตัวสิงอู่หยางพากลับไปยังเมืองหลวงโดยพลการเท่ากับเป็นการประหารก่อนกราบทูลภายหลัง* มิไยว่าสิงอู่หยางจะกระทำความผิดร้ายแรงเพียงใด เขาก็ต้องโดนโอรสสวรรค์ตำหนิโทษอย่างหนีไม่พ้น
ทว่าเขาไม่อาจไม่ทำเช่นนี้
สิงอู่หยางใช้มือเดียวปิดฟ้าในฝูตงมานานหลายปีจนหยั่งรากลึกเหลือเกิน ถึงแม้พวกเขาจะมีหลักฐานมัดตัวสิงอู่หยางว่าสมคบคิดกับชาววอโค่ว เป็นเหตุให้ชาวบ้านลุกฮือต่อต้านและทหารกระด้างกระเดื่องอย่างแน่นหนาอยู่ในมือ แต่การลงโทษสิงอู่หยางยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้โอรสสวรรค์อยู่ดี
ดังคำกล่าวว่าฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล หากโอรสสวรรค์ออกพระราชโองการยึดอำนาจทางการทหารของสิงอู่หยางและให้กลับเมืองหลวงรับโทษ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นการบีบคั้นให้สิงอู่หยางก่อกบฏทันที
ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่อยากให้เกิดปัญหายุ่งยาก เปลี่ยนเป็นกษัตริย์องค์ใดๆ ก็ล้วนกริ่งเกรงผลลัพธ์ที่ตามมา เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าการลงทัณฑ์สิงอู่หยางจะล่าช้าไปถึงเมื่อไร เหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวก็ไม่อาจฟื้นคดีได้ทันกาลแล้ว
เขารู้ว่าเจาเจาหมายมั่นปั้นมือกับการเดินทางลงใต้หนนี้ แล้วเขาจะหักใจให้นางผิดหวังได้อย่างไร มีเพียงใช้วิธีประหารก่อนกราบทูลภายหลังพาสิงอู่หยางกลับเมืองหลวงจึงจะทำให้โอรสสวรรค์หมดข้อกริ่งเกรงใดๆ จัดการแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นเภทภัยต่อดินแดนทางใต้ได้อย่างเต็มที่
ผู้ตรวจการสิงคร่ำหวอดอยู่ในวังวนเหล่าขุนนางมาเนิ่นนาน แม้นเพราะเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอเลยมีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการขั้นเจ็ดเล็กๆ ผู้หนึ่งมาโดยตลอด แต่เขาก็ประจักษ์แจ้งถึงความซับซ้อนยอกย้อนพวกนี้
กระนั้นได้เห็นสิงอู่หยางได้รับโทษทัณฑ์สูญสิ้นชื่อเสียงเกียรติยศด้วยตาตนเองก็เป็นความปรารถนาในใจเขาเช่นกัน เขาจึงคารวะตอบเซ่าหมิงยวนแล้วกล่าวอย่างขึงขังว่า “สิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหาร สมคบคิดชาววอโค่ว สร้างความเดือดร้อนทุกข์เข็ญให้ราษฎร เป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านต่อต้านและทหารแข็งข้อ เดชะบุญที่กวนจวินโหวมาช่วยไว้ถึงทำให้ข้ารอดพ้นออกมา สิงอู่หยางหวั่นกลัวข้านำพฤติกรรมชั่วร้ายต่างๆ นานาของเขาขึ้นกราบทูลต่อฮ่องเต้ ถึงกับก่อกบฏขึ้นเสียเลย ข้าได้แต่ขอให้กวนจวินโหวออกโรงจับกุมเขาไว้แล้วนำตัวเข้าเมืองหลวงไปรับโทษ”
ผู้ตรวจการสิงกล่าวจบก็ยิ้มบางๆ ให้เซ่าหมิงยวน “ท่านโหวเห็นว่าข้ากล่าวเช่นนี้เป็นเช่นไร”
ในฐานะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เดิมทีเขาก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเมื่อพบกับเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขาพูดเช่นนี้เป็นการกันเซ่าหมิงยวนออกนอกวงได้ทันทีย่อมต้องเป็นการดีที่สุดแล้ว
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ “ขอบคุณใต้เท้าสิงมากขอรับ”
ผู้ตรวจการสิงสั่นศีรษะ “สมควรเป็นข้าขอบคุณท่านโหวถึงจะถูก สิงอู่หยางเป็นเภทภัยร้ายแรงที่สุดของฝูตง หากมิใช่ท่านโหวออกโรง หมายจะนำตัวเขามารับโทษตามอาญาบ้านเมือง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จลุล่วงได้วันใด ข้าคงรอไม่ถึงวันนั้นเป็นแน่แท้แล้ว”
ทั้งสองสบตากันยิ้มๆ อย่างรู้กันดีแก่ใจ
ร่างกายของผู้ตรวจการสิงยังอ่อนแออยู่บ้าง ไม่นานนักเขาก็รู้สึกอ่อนเพลียจึงกลับไปพักผ่อนสักครู่
ด้านเฉินกวงมีข้อกังขาสุมอยู่เต็มอก พอเห็นผู้ตรวจการสิงออกไปแล้ว คำถามก็พรั่งพรูออกจากปากเขาราวกับเขื่อนแตก
“ท่านแม่ทัพ ที่แท้ตอนนั้นกลับไปเพื่อลักพาตัวสิงอู่หยางนั่นเอง ฮ่ะๆ เช่นนั้นเมืองฝูซิงคงระส่ำระสายแล้วมิใช่หรือขอรับ”
“ยังไม่ระส่ำระสายในตอนนี้ เพราะเพิ่งเกิดเหตุทหารก่อจลาจลขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นาน ไม่ว่าคนของสิงอู่หยางจะร้อนใจเพียงใดก็ไม่กล้าแพร่ข่าวเรื่องสิงอู่หยางหายตัวออกไป มิเช่นนั้นน่าจะกำราบผู้ที่ต้องการต่อต้านสิงอู่หยางพวกนั้นไว้ไม่อยู่ ดีที่วันนั้นพวกเราออกจากเมืองมีคนจำนวนมากเห็นกับตาว่าสิงอู่หยางโดนมือธนูลอบยิงบาดเจ็บ ภายในช่วงระยะหนึ่งต่อจากนั้นเขาจะเก็บตัวพักฟื้นก็เป็นเรื่องปกติมาก” เซ่าหมิงยวนไขความกระจ่าง
เฉินกวงเกาท้ายทอย “เช่นนี้จะไม่กลายเป็นว่าท่านแม่ทัพช่วยเขาไว้หรอกหรือ”
เฉียวเจากล่าวเสริมขึ้น “ไม่โกลาหลตอนนี้เป็นเรื่องดี หากเป็นเพราะพวกเราลักพาตัวสิงอู่หยางจนส่งผลให้เขตฝูตงเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ กลับถึงเมืองหลวงคงจะให้คำอธิบายได้ไม่เต็มปากแล้ว อีกทั้งพอในเขตฝูตงสู้รบกันระส่ำระสาย พวกชาวบ้านก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
เฉินกวงฟังคำกล่าวของเฉียวเจาแล้วกระจ่างแจ้งทันใด เขามองเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้าเลื่อมใส “ท่านแม่ทัพเก่งกาจปราดเปรื่องจริงๆ ขอรับ ข้ายังนึกว่าตอนนั้นท่านลอบยิงธนูเพียงเพื่อสบช่องชุลมุนหลบหนี ที่แท้ยังมีเจตนาซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง”
เซ่าหมิงยวนหน้าร้อนผะผ่าว เขาชายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างฉับไว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
ได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากผู้ใต้บังคับบัญชาต่อหน้าเจาเจาก็น่าปลาบปลื้มใจเอาการ
มาตรว่าชายหนุ่มจะคิดคำนึงเช่นนี้อยู่ในใจ แต่กลับทำหน้าขึงขังกล่าวขึ้น “พูดมากอะไรนักหนา บาดแผลเจ้ายังไม่หายดี รีบไปพักผ่อนเสีย”
“ข้ายังมีคำถามสุดท้ายขอรับ เยี่ยลั่วติดตามพวกคุณชายฉือไปมิใช่หรือ แล้วกลับมาได้อย่างไร”
“ไปถามเยี่ยลั่วเอาเอง” เซ่าหมิงยวนเอ่ยบอกเสียงเรียบๆ อย่างไม่ชอบใจที่องครักษ์น้อยรบกวนเวลาเขากับเฉียวเจาอยู่กันตามลำพัง
เฉินกวงแอบเบะปากแล้วเดินออกไป
ภายในห้องเงียบสงบลงเฉียวเจาแย้มยิ้มกับเซ่าหมิงยวน “ยังดีที่ทุกๆ ก้าวล้วนไม่เกิดข้อผิดพลาด”
คงมีจุดเดียวที่คาดไม่ถึงก็คือเจียงหย่วนเฉา
เซ่าหมิงยวนคิดไปในทางเดียวกับนางอย่างเห็นได้ชัด เขาย่นหัวคิ้วแทบชนกัน “เจาเจา ข้ารู้สึกไม่วายว่าเจียงหย่วนเฉาเดินทางมาคราวนี้มีจุดประสงค์ไม่ธรรมดา”
* ประหารก่อนกราบทูลภายหลัง เป็นสำนวน หมายถึงกระทำการลงไปก่อนแล้วค่อยรายงานต่อผู้บังคับบัญชา