หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 517
บทที่ 517
เฉียวเจาพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าถึงขั้นรู้สึกว่าเขาแฝงกายเข้าฝูตงหนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะทำลับหลังเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน”
“เขายอมรับเป็นนัยๆ ว่าข่าวลือโรคระบาดที่แพร่กระจายในเมืองฝูซิงเป็นฝีมือเขา เจาเจาเจ้าเห็นว่าจุดประสงค์แท้จริงของเขาคืออะไร”
คำกล่าวของเจียงหย่วนเฉาที่ว่าช่วยให้พวกเขาสบช่องชุลมุนออกจากเมืองนั้น เซ่าหมิงยวนไม่เชื่อสักคำ
เฉียวเจาส่ายหน้า “ข้ายังขบคิดถึงจุดประสงค์ของเขาไม่ออกในชั่วครู่ชั่วยาม แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้คือเขาอยากให้เมืองฝูซิงเกิดความวุ่นวาย”
“จะจับปลาในน้ำขุ่น* แล้วเจียงหย่วนเฉาหมายจับปลาตัวใดเล่า” เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองไกลๆ ที่ผืนฟ้าซึ่งบรรจบพื้นน้ำพลางพูดพึมพำ
ตอนนี้เองเฉินกวงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “ท่านแม่ทัพ แย่แล้วๆ เรือรั่วมีน้ำทะลักเข้าเรือ เยี่ยลั่วตั้งหน้าตั้งตาวิดน้ำออกอย่างไรก็ไม่ทันขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาเดินออกไป
บนพื้นเรือมีน้ำเจิ่งนองและกำลังเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยสายตา
เยี่ยลั่วทำงานง่วนจนเหงื่อท่วมศีรษะ พอเห็นเซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาออกมาก็กล่าวรายงานทันที “ท่านแม่ทัพ เรือมีรูรั่วหลายจุดขอรับ”
เฉียวเจายกชายกระโปรงก้มตัวลงลูบจุดที่มีน้ำไหลซึมเข้ามาตรงปลายเท้าแล้วพูดเสียงเครียด “เป็นขี้ผึ้งอ่อน ดูทีว่าเป็นเจียงหย่วนเฉามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเราก่อนจากไปแล้ว”
เฉินกวงกล่าวอย่างหัวเสีย “เจ้าคนผู้นั้นไม่ประสงค์ดีดังคาด!”
เซ่าหมิงยวนมองดูตลิ่งน้ำแล้วบอกเสียงขรึม “เยี่ยลั่ว หยุดมือได้แล้ว พวกเราสละเรือขึ้นฝั่ง เจ้าพาสิงอู่หยางไปด้วย เฉินกวง เจ้าดูแลตนเองให้ดี”
“แล้วผู้ตรวจการสิงจะทำเช่นไรขอรับ” เฉินกวงร้อนรนอยู่สักหน่อย
ท่านแม่ทัพต้องคุ้มครองคุณหนูหลีแน่นอน ขณะที่เยี่ยลั่วคุมตัวสิงอู่หยาง ส่วนเขายังมีบาดแผลตามตัวพาใครไปด้วยไม่ได้ เช่นนั้นผู้ตรวจการสิงก็ไม่มีคนดูแลแล้ว
เจียงหย่วนเฉา เจ้าคนต่ำช้าผู้นั้นต้องคาดคำนวณในจุดนี้ไว้อยู่แล้วเป็นแน่ จะได้หัวเราะเยาะพวกข้าสินะ!
“ข้าจะพาผู้ตรวจการสิงไปเอง”
“แล้วคุณหนูสามเล่า”
เซ่าหมิงยวนมองเขาด้วยหางตาปราดหนึ่งแล้วแบกเฉียวเจาขึ้นหลังโดยไม่รอช้า เขากล่าวเสียงเรียบ “พูดพล่ามมากเกินไปแล้ว รีบสละเรือโดยไว”
หลังจากหนีเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเล ทุกคนขึ้นฝั่งในสภาพหมดท่า
เซ่าหมิงยวนผู้เดียวพาคนสองคนว่ายน้ำเข้าฝั่ง ใช้กำลังกายเกินขีดจำกัดไปบ้าง เขาเอามือยันพื้นหอบหายใจน้อยๆ
เฉียวเจาบิดชายกระโปรงที่เปียกชุ่ม ตัวนางสั่นเทาอยู่กลางลมหนาว เรียวปากบางบนดวงหน้านวลเนียนเป็นสีขาวซีดอมม่วง
เซ่าหมิงยวนเห็นอยู่กับตาก็ปวดใจเหลือหลาย จนใจที่ขณะนี้นอกจากอาภรณ์เปียกแฉะทั้งตัวกับสมุดบัญชีที่ห่อด้วยผ้าเคลือบมันกันน้ำในอกเสื้อแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เขาได้แต่กล่าวว่า “พวกเราหาที่ลับตาคนสักแห่งผิงไฟกัน”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร”
สีหน้านางเรียบเฉย แต่ในใจกลับรังเกียจเดียดฉันท์เจียงหย่วนเฉาถึงขีดสุดที่ยังเล่นงานพวกนางอีกก่อนจากไป
ยามนี้เป็นต้นคิมหันต์ฤดู บาดแผลของเฉินกวงเพิ่งตกสะเก็ด พอโดนน้ำแล้วมีความเสี่ยงที่จะอาการแย่ลง ด้านผู้ตรวจการสิงร่างกายอ่อนแอ ยังต้องเจออุปสรรคขลุกขลักซ้ำๆ ถ้าเกิดทนตรากตรำไม่ไหวอาจไปไม่ถึงเมืองหลวงก็เป็นไปได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีสิงอู่หยางที่สลบไสลไม่ได้สติอีกคนหนึ่ง
เฉินกวงเตะหินตรงริมตลิ่งด้วยความโมโห “รู้แต่แรกก็วางยาเบื่อหนูให้เขากินไปเสีย คุณหนูสามก็ใจอ่อนเกินไป”
เฉียวเจาเหยียดมุมปากอย่างปึ่งชา “อย่าเอ่ยถึงเขาเลย เก็บแรงไว้ดีกว่า พวกเรายังต้องเร่งเดินทางอีก”
ดีที่ตอนนี้ออกนอกเขตฝูตงแล้ว ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนว่าจะถูกพบร่องรอยได้ทุกเมื่อ เซ่าหมิงยวนส่งเยี่ยลั่วไปว่าจ้างเรือลำใหม่ จากนั้นเดินทางรอนแรมอยู่หลายวัน ในที่สุดก็กลับถึงจยาเฟิงไปสมทบกับพวกฉือชั่นในสภาพเนื้อตัวมอมแมม
หยางโฮ่วเฉิงก้าวเข้ามาสวมกอดเซ่าหมิงยวนไว้เต็มสองแขน ก่อนพูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ถิงเฉวียน พวกเจ้ากลับมาเสียที หลายวันก่อนหนังตาข้ากระตุกไม่หยุด ใจคอไม่ดีกลัวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”
“พอแล้ว เจ้าคนปากเสีย ไม่เห็นคราบฝุ่นดินบนหน้าพวกเขารึ ให้ทุกคนไปชำระกายแล้วค่อยคุยกันภายหลัง” น้ำเสียงของฉือชั่นแกมประชดประชัน หากในดวงตาแฝงรอยยิ้มจางๆ
ได้พบกับสหายรักจิตใจของเซ่าหมิงยวนก็ผ่อนคลายลงเฉกเดียวกัน เขาเอ่ยแนะนำตัวสหายให้ผู้ตรวจการสิงได้รู้จัก “ใต้เท้าสิง คนผู้นี้คือคุณชายฉือแห่งวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรง ส่วนคนผู้นี้คือหยางซื่อจื่อแห่งจวนหลิวซิ่งโหวขอรับ”
“คารวะคุณชายทั้งสอง” นับแต่ผู้ตรวจการสิงลงเรือมาก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอด เพลานี้ได้ยินเซ่าหมิงยวนแนะนำสหายให้รู้จักก็ยังไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า
“ท่านคงเป็นผู้ตรวจการสิงกระมัง” หยางโฮ่วเฉิงหาได้ใส่ใจกับท่าทีเย็นชาของเขาแม้แต่น้อย ฉีกปากยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูสิงทั้งสองรู้ว่าพวกกวนจวินโหวไปช่วยท่านก็เฝ้ารอคอยอยู่ทุกวันเลยนะขอรับ”
ฉือชั่นสังเกตเห็นว่าผู้ตรวจการสิงไม่กระตือรือร้นสนใจเท่าไรก็มิได้ปริปากพูด
“ไม่ทราบว่าพวกบุตรสาวข้าอยู่ที่ใดหรือ” ผู้ตรวจการสิงไต่ถามเสียงขรึม
“ให้คนไปบอกกล่าวพวกนางแล้ว ท่านรอประเดี๋ยว”
สิ้นเสียงของหยางโฮ่วเฉิงไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนรนของสตรีดังลอยมา
“ท่านพ่อ…”
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันไปมอง เห็นเจินเหนียงยกชายกระโปรงวิ่งทะยานมาทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าผู้ตรวจการสิง นางกล่าวแกมสะอื้นว่า “ท่านพ่อ ลูกเฝ้ารอจนท่านกลับมาแล้วในที่สุด…”
ท่าทางของผู้ตรวจการสิงเฉยเมยกว่าที่ทุกคนคาดการณ์ไว้เป็นอันมาก เขาเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม “น้องสาวเจ้าเล่า”
เจินเหนียงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นสะดุ้งเฮือก นางตอบเสียงอ้อมแอ้ม “จิ้งเหนียงไม่ค่อยสบาย ยังนอนอยู่เจ้าค่ะ”
“พาข้าไปหานาง”
“เจ้าค่ะ” หลังคลายความเต็มตื้นท่วมท้นในทีแรกลง เจินเหนียงลุกขึ้นยืนแล้วยกแขนเสื้อเช็ดหางตา นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ท่านพ่อตามข้ามาเจ้าค่ะ”
ผู้ตรวจการสิงพยักหน้า เขาหมุนกายไปบอกกับพวกเฉียวเจา “ข้าจะไปดูบุตรสาวคนเล็กสักครู่ หวังว่าทุกท่านจะไม่ว่ากระไร”
เซ่าหมิงยวนกล่าวยิ้มๆ “ใต้เท้าสิงเชิญตามสบายขอรับ”
เมื่อเขาเดินตามเจินเหนียงห่างไปไกลแล้ว เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับ พูดด้วยท่าทางครุ่นคิด “ท่าทีที่ผู้ตรวจการสิงมีต่อบุตรสาวดูแปลกๆ อยู่บ้าง”
เฉียวเจานิ่งคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าตามไปดูสักหน่อยดีกว่า”
ในห้องของจิ้งเหนียง
ผู้ตรวจการสิงมองบุตรสาวคนเล็กที่ใบหน้าซีดเซียวทั้งยังนอนหลับอยู่แวบเดียวก็ก้าวขาเดินออกไปข้างนอก
เจินเหนียงเห็นดังนั้นแล้วตามออกไปเงียบๆ
ผู้ตรวจการสิงนั่งลง เขาทำหน้าตึงพลางไต่ถาม “พวกเจ้าถูกช่วยออกมาได้อย่างไร”
เจินเหนียงไม่กล้าปิดบัง นางเล่าความเป็นมาเป็นไปให้บิดาฟังอย่างละเอียด
เขาฟังจบแล้วนิ่งเงียบไปนาน ยกกาน้ำชารินจนเต็มถ้วยแล้วดื่มถ้วยแล้วถ้วยเล่า ไม่นานนักก็ดื่มน้ำชาไปเต็มท้อง
“ท่านพ่อ…” เจินเหนียงก้มหน้าลงอย่างกระวนกระวาย
บิดาของนางเป็นคนเถรตรงเข้มงวด เกรงว่าจะยอมรับความจริงเรื่องที่นางกับน้องสาวถูกชาววอโค่วย่ำยีไม่ได้
ผู้ตรวจการสิงวางถ้วยน้ำชาลง ยามถ้วยกระเบื้องกระทบกับพื้นโต๊ะก็บังเกิดเสียงกังวานใส
“นี่หมายความว่าน้องสาวเจ้าตั้งครรภ์กับชาววอโค่วหรือ”
“นางดื่มยาขับเลือดไปแล้ว…” เจินเหนียงกล่าวอย่างลุกลน แต่พอมองสบสายตาแข็งกร้าวของบิดา นางก็กลืนถ้อยคำหลังกลับลงคออย่างช่วยไม่ได้
ผู้ตรวจการสิงเพ่งมองบุตรสาวอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อออกไป
“ท่านพ่อ…” เจินเหนียงใจหายวาบ นางคว้าแขนเสื้อของเขาไว้อย่างห้ามไม่อยู่ เสียงพูดแฝงรอยวิงวอนโดยไม่รู้ตัว
ผู้ตรวจการสิงกลับไม่แยแสต่อเสียงอ้อนวอนของบุตรสาวคนโต เขาเปล่งเสียงกล่าวคำหนึ่งอย่างมึนตึง “เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล”
เขาพูดจบแล้วก็สะบัดแขนเสื้อออกไป ทิ้งให้เจินเหนียงยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
ผ่านไปนานครู่ใหญ่นางกะพริบตาเบาๆ น้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง
นางได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่วัยเยาว์ แล้วจะไม่เข้าใจความหมายของท่านในตอนนี้ได้อย่างไร
บิดากำลังตำหนิพวกนางที่ร่างกายแปดเปื้อนราคีเพราะชาววอโค่วแล้วมิได้ปกป้องศักดิ์ศรีด้วยความตาย
เจินเหนียงเช็ดน้ำตาแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น นางปลดสายคาดเอวออกมาผูกกับคานห้อง
ถึงแม้เฉียวเจาจะตามมาด้วย แต่ด้วยมารยาทที่บ่มเพาะติดตัวมา นางย่อมไม่กระทำเรื่องที่เป็นการแอบฟังบิดากับบุตรสาวคู่นี้สนทนากัน จึงเพียงยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
เมื่อเห็นผู้ตรวจการสิงออกมา เฉียวเจาเดินเข้าไปหา
เขาบอกเสียงเรียบๆ “พวกบุตรสาวข้านอนพักผ่อนแล้ว คุณหนูหลีกลับไปเถอะ”
* จับปลาในน้ำขุ่น เป็นสำนวน หมายถึงฉวยโอกาสหาประโยชน์ใส่ตัวในช่วงชุลมุน