หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 522
บทที่ 522
เมื่อเห็นเหอซื่อเอาเรื่องคนอื่นมานินทากับบุตรสาวด้วยสีหน้ากระตือรือร้นแล้ว เฉียวเจาจึงผสมโรงถามขึ้นอย่างไม่ให้เสียน้ำใจ “ท่านย่าหมายตาคนตระกูลใดให้พี่เจี่ยวหรือเจ้าคะ”
“สกุลจ้าวที่อยู่ชานเมืองหลวง เป็นชาวนาปัญญาชนสืบต่อมาหลายชั่วรุ่น แต่ดูเหมือนจะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าห้ามบุตรหลานเป็นขุนนาง ท่านย่าเจ้ามีบุตรสาวของพี่น้องคนหนึ่งออกเรือนไปที่ตระกูลนั้น ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุขไม่เลว ครั้งนี้ก็เป็นอาหญิงท่านนั้นเป็นคนแนะนำให้” เหอซื่อพูดแล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง นางรำพึงกับตนเอง “ข้าก็รู้สึกว่าไม่เลวเหมือนกัน”
น่าเสียดายที่ผู้คนใต้หล้าล้วนตาบอด รังเกียจว่าเจาเจาของนางชื่อเสียงไม่ดี หาไม่แล้วออกเรือนไปกับคนในตระกูลเช่นนั้นน่าจะหมดห่วงได้เลยทีเดียว
แม้ว่าเหอซื่อจะไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่ย่อมไม่พูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเฉียวเจาเป็นแน่ นางได้แต่เศร้าใจเงียบๆ
กระนั้นเฉียวเจามีสติปัญญาเฉียบแหลม จับน้ำเสียงเสียดายในถ้อยคำของเหอซื่อได้ นางจึงคล้องแขนกับมารดาพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ตอนนี้ท่านแม่ยังแพ้ท้องหรือไม่เจ้าคะ”
เหอซื่อหันมาสนใจเรื่องนี้ดังคาด นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่แพ้ท้องตั้งนานแล้ว เวลานี้แม่กินข้าวมื้อละสามชาม”
“กินเยอะเกินไปก็ไม่ได้ ท่านแม่กินสองชามดีกว่าเจ้าค่ะ”
สองแม่ลูกพูดคุยยิ้มหัวกันเข้าไปในเรือนซ้าย
ภายในเรือนขวาเงียบเชียบ หลีเจี่ยวนั่งถือเข็มอยู่หน้าโต๊ะปักผ้าริมหน้าต่าง ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาแว่วๆ ก็บังเกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านจนเข็มตำนิ้วมีเลือดผุดซึมหยดหนึ่ง
นางเอาเข็มปักส่งๆ บนโต๊ะปักผ้า ยกนิ้วที่เลือดออกขึ้นอมในปากอย่างใจลอยครู่หนึ่งถึงตะโกนถาม “ซิ่งเอ๋อร์ เหตุใดข้างนอกเสียงดังหนวกหูถึงเพียงนี้”
เดิมทีสาวใช้ประจำตัวหลีเจี่ยวคือชุนฟางกับชิวลู่ แต่หลังจากนางก่อความผิดไว้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ขับไล่สาวใช้สองคนนั้นออกไปด้วยความโกรธ และส่งสาวใช้ที่ซื่อตรงสงบเสงี่ยมสองคนมาแทนที่ คนหนึ่งชื่อซิ่งเอ๋อร์ คนหนึ่งชื่อเสี่ยวเถา
ซิ่งเอ๋อร์ก้าวเท้าเร็วรี่เข้ามาเอ่ยตอบ “เป็นคุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงเลยไปที่เรือนฝั่งซ้ายเป็นเพื่อนคุณหนูสาม”
“หลีซานกลับมาแล้วหรือ” หลีเจี่ยวพูดพึมพำ สีหน้าฉายรอยขุ่นมัว นางหลับตาลง เสียงหัวเราะที่ข้างหูดูเหมือนชัดเจนยิ่งขึ้น
หลีซานกับท่านแม่หัวเราะอะไรกันอยู่
ฮึ คงหัวเราะเยาะที่ปีหน้าข้าต้องหมั้นหมายกับตระกูลต่ำต้อยเป็นแน่
หลีเจี่ยวหวนประหวัดถึงเหตุการณ์ตอนฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานนี้เพื่อหยั่งเชิงนาง
ตอนนั้นนางพูดว่าอย่างไรนะ นางพยักหน้ายิ้มๆ แล้วบอกว่าขอเพียงเป็นท่านย่าจัดการให้ล้วนดีทั้งนั้น
ท่านย่าถึงมีท่าทีอ่อนลง อนุญาตเป็นนัยๆ ให้นางไปแสดงคารวะยามเช้าที่เรือนชิงซงเป็นครั้งคราวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พวกท่านย่านึกว่านางพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้อย่างยิ่ง เพียงเพราะคิดว่านางเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วยังออกเรือนได้ก็ไม่เลวแล้ว
แต่ว่ามารดาของนางก็เป็นคุณหนูของจวนท่านป๋อ บิดาเป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตที่ซื่อสัตย์สุจริต หากมิใช่มารดาด่วนจากไป เรื่องอะไรนางต้องตกต่ำถึงขั้นออกเรือนไปกับคนในตระกูลชาวนา
ยังมีหลีซานอีกคน…ดีชั่วนางยังได้ออกเรือน แต่หลีซานเล่า ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วอย่างนั้น คงต้องเป็นหญิงทึนทึกอยู่ในจวนสกุลหลีไปตลอดชาติ แล้วถือดีอะไรมาหัวเราะเยาะนาง
หลีเจี่ยวยิ่งคิดยิ่งชิงชัง ใช้เล็บมือยาวเฟื้อยกรีดทีเดียวปลอกหมอนปักลายนกยวนยางเล่นน้ำไปได้ครึ่งหนึ่งก็เสียหายจนใช้ไม่ได้แล้ว
“คุณหนู…” ซิ่งเอ๋อร์ตกอกตกใจ
หลีเจี่ยวปรายตามองนางพลางพูดเสียงเย็นๆ “แกะผ้าปักลายออก สางผมให้ข้า”
หลีซานกลับมาแล้ว ในจวนต้องกินอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอย่างแน่นอน หมู่นี้นางประพฤติตัวดีพอใช้ได้ ถึงเวลาคงมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะ
นางกลับอยากดูนักว่าหลีซานเป็นอย่างไรบ้าง
ด้านเฉียวเจากลับถึงเรือนซ้ายแล้ว เหอซื่อบัญชาการสาวใช้ต้มน้ำร้อนให้นางชำระกาย
จวบจนได้นั่งอยู่ในถังอาบน้ำหยดน้ำปรุงดอกกุหลาบ เฉียวเจาถึงรู้สึกว่ากลับถึงเรือนอย่างแท้จริง
หลังประสบผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย นางกลับมาที่เมืองหลวงแล้วจริงๆ
เฉียวเจาค่อยๆ เลื่อนตัวลงใต้น้ำ เรือนผมยาวแผ่สยายอยู่ในน้ำละม้ายสาหร่าย
การแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่นจัดส่งควันกรุ่นๆ นั้นแสนจะสบาย เฉียวเจาหลับตาลง ในใจยังพะวักพะวนถึงเรื่องเซ่าหมิงยวนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่วังหลวง
หนนี้มีพยานหลักฐานแน่นหนา อีกทั้งเซ่าหมิงยวนยังพาสิงอู่หยางกลับมาด้วย ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงอีกแล้ว
น่าเสียดายที่ฐานะของนางในตอนนี้ไม่สามารถไปดูเรื่องพวกนั้นให้เห็นกับตาอย่างเปิดเผย
ยังมีพี่ใหญ่อีกคน เขาต้องคิดถึงนางมาก ไม่รู้ว่าอยู่ที่จวนแม่ทัพจะผอมลงบ้างหรือไม่ แล้วหว่านวานน้องสาวคนเล็กจะซุกซนหรือไม่…
เฉียวเจาปล่อยความคิดลอยไปไกล นางนั่งแช่อยู่ในถังอาบน้ำราวกับนอนหลับอยู่ พลันได้ยินเสียงของมารดาดังมาจากนอกประตู
“เจาเจา เจ้าชำระกายเสร็จแล้วหรือยัง”
นางดึงตนเองออกจากภวังค์ “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
เด็กสาวห่อตัวด้วยผ้าอย่างมิดชิดกลับไปที่ด้านในห้อง เหอซื่อรับหวีเขาวัวจากสาวใช้มาสางผมให้บุตรสาวด้วยตนเอง
“ท่านแม่ ท่านอย่าทำให้เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ร่างกายท่านตอนนี้เคลื่อนไหวไม่สะดวก”
เหอซื่อเม้มปากยิ้ม “ตอนนี้แม่ทำงานหนักๆ ไม่ไหวแต่ยังหวีผมให้เจ้าได้ เจาเจาเอ๊ย เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแม่ถึงสบายใจได้แล้ว วันหน้าอย่าไปที่ใดอีกเลยนะ ก็อยู่ข้างกายแม่นี่ล่ะ”
“เจ้าค่ะ วันหน้าข้าไม่ไปที่ใดอีกแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
หากทำได้นางก็อยากใช้ชีวิตเป็นหลีเจาอย่างสงบสุข
โต๊ะกินอาหารพร้อมหน้าทั้งครอบครัวจัดเตรียมอยู่ในโถงรับรองของเรือนชิงซง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งส่งคนไปที่สำนักศึกษาหลวงตามหลีฮุยกลับมาโดยเฉพาะ ส่วนหลีเจี่ยวได้ย่างเท้าออกนอกประตูห้องสมดังปรารถนา
“ไม่เจอกันหลายเดือน น้องเจาผอมลงนะ” หลีเจี่ยวคลี่ยิ้มพลางยกจอกสุราข้าวที่อุ่นให้ร้อนขึ้นดื่มคารวะเฉียวเจา “น้องเจาเดินทางไปต่างเมือง คนในเรือนห่วงใยเจ้ามากเสมอ”
“ขอบคุณพี่เจี่ยวที่ห่วงใยเจ้าค่ะ” เฉียวเจาดื่มคารวะตอบด้วยท่าทางไม่เป็นกันเองนัก
หลีเจี่ยวกำจอกสุราแน่น ฟันขาวราวไข่มุกขบริมฝีปากล่างจนเป็นรอย นางกล่าวเสียงเบาๆ “หรือว่าน้องเจายังโทษข้าอยู่”
เรื่องที่นางพลัดหลงเข้าไปในหอคณิกาทำร้ายบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อแล้วปัดความผิดให้เฉียวเจานั้นทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างรู้ดีแก่ใจ ย่อมต้องแจ่มแจ้งว่าคำกล่าวนี้มีที่มาเช่นไร
เฉียวเจาหัวเราะแล้วเอ่ยถามเสียงราบเรียบ “พี่เจี่ยวต้องถกเรื่องนี้กับข้าในวันนี้ให้ได้หรือ”
นางรู้เจตนาของหลีเจี่ยว การทำท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าเจ้านายของจวนตะวันตก ดูเผินๆ คล้ายเป็นการขอขมานาง แต่แท้จริงแล้วเพื่อบีบให้นางกล่าวคำว่า ‘ยกโทษ’ ออกจากปาก
หากนางบอกว่า ‘ยกโทษ’ ให้ ก็เท่ากับว่าเรื่องนั้นผ่านไปแล้ว ถ้าเกิดวันหน้าหลังไม่พอใจด้วยเหตุนี้อีกจะเป็นนางที่ไม่ยอมรามือ
หากนางไม่แสดงออกว่าให้อภัย นั่นก็คือนางใจคอคับแคบ ไม่มีน้ำใจต่อผู้อื่น
การเดินทางสู่แดนใต้คราวนี้นางสังหารคนมาแล้ว ซ้ำยังมิใช่เพียงคนเดียว เมื่อหวนคืนมาสู่เรือนหลังอีกครา ไหนเลยจะอดทนต่อการดวลฝีปากพรรค์นี้ได้
เฉียวเจาเลี่ยงไม่ตอบ แต่ย้อนถามคำเดียวก็ทำให้หลีเจี่ยวอึ้งงันไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยปากขึ้นแล้ว “เอาล่ะ นานทีปีหนจะได้กินอาหารพร้อมหน้ากันสักมื้อ อย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้แล้ว”
หลีเจี่ยวก้มหน้าลง “เป็นข้าพูดจาไม่รู้กาลเทศะ ท่านย่าอย่าถือโทษนะเจ้าคะ”
นางกำมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อแน่น ปลายเล็บจิกลงกลางอุ้งมือจนรู้สึกเจ็บ
ล้วนเป็นหลานสาวที่สูญสิ้นชื่อเสียงไปแล้วเหมือนกัน บัดนี้นางต้องคอยประจบเอาใจท่านย่าซึ่งเป็นประมุขตระกูลอย่างระมัดระวังตัวคล้ายเป็นมุสิกที่ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แต่หลีซานกลับใช้ชีวิตตามสบาย กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของคนทั้งครอบครัว
ถือดีอะไร!
หลีเจี่ยวบีบมือแรงขึ้นจนเล็บหักโดยไม่ทันระวัง ความเจ็บปวดแล่นปราดมาทำให้สีหน้านางผิดปกติไปเล็กน้อย
หลีฮุยที่นั่งอยู่ข้างๆ นางกระซิบถาม “เป็นอะไรหรือพี่เจี่ยว”
หลีเจี่ยวเค้นรอยยิ้มออกมาช้าๆ “ไม่มีอะไร ไม่ได้กินอาหารร่วมกับพวกเจ้ามานานเลยตื้นตันใจอยู่บ้าง”
หลีฮุยขยับปากแล้วถอนใจเฮือกหนึ่งเบาๆ
ในโถงรับรองตั้งอ่างไฟไว้ทั้งสี่มุมส่งไออุ่นกระจายไปทั่ว พอกินอาหารเสร็จปลายจมูกของเฉียวเจาก็มีเหงื่อซึมออกมา
เพลานี้เองชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสแหวกม่านผ้าสำลีเดินเข้ามากล่าวรายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่า ทางวังหลวงส่งคนมาเจ้าค่ะ”