หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 523
บทที่ 523
คนที่วังหลวงส่งมายังคงเป็นขันทีนามไหลสี่ที่เป็นคนถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของไทเฮาคราวก่อน
ครั้งที่แล้วไหลสี่มาถ่ายทอดพระบัญชา นายหญิงใหญ่แห่งจวนตะวันตกของสกุลหลีมอบเงินให้เขาห่อหนึ่งทำให้เขาจดจำครอบครัวนี้ได้อย่างแม่นยำ
ด้วยบารมีที่ยังหลงเหลืออยู่ของเงินห่อนั้น ส่งผลให้ไหลสี่มีท่าทีไม่เลวเลย “ไทเฮาทรงทราบว่าคุณหนูหลีซานเดินทางไกลกลับมาแล้วก็ระลึกถึงเป็นอย่างมาก จึงทรงเรียกตัวคุณหนูหลีซานเข้าวังไปสนทนากันเป็นพิเศษ”
ไทเฮาเรียกตัวเข้าเฝ้าย่อมไม่มีคนกล้าขัดขวาง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกุลีกุจอสั่งให้ชิงอวิ๋นตระเตรียมเตาพกให้เฉียวเจาถือไว้ในมือ และพูดกำชับนางให้ระวังรอบคอบ
เหอซื่อเดินท้องโย้มาตรงหน้าไหลสี่แล้วยัดเยียดถุงผ้าปักให้เขาใบหนึ่ง “บุตรสาวข้ายังเยาว์วัย หวังว่ากงกงจะคอยช่วยเหลือดูแลด้วยนะเจ้าคะ”
ไหลสี่บีบๆ ถุงผ้าปักในมือ แม้จะเบากว่าครั้งที่แล้วมากไปสักนิด แต่พอเขาคิดกลับอีกทีว่านี่ต่างหากที่ปกติถึงเผยสีหน้ายิ้มแย้ม “นายหญิงสบายใจได้ ไทเฮาทรงระลึกถึงคุณหนูสามของท่านจริงๆ”
เหอซื่อลอบเบะปาก รอจนไหลสี่พาเฉียวเจาไปแล้ว นางก็เอ่ยอย่างขุ่นใจว่า “ระลึกถึงเจาเจาอะไรกัน อดใจรอไม่ไหวอยากดูว่าตัวยาที่เจาเจานำกลับมาใช้ได้ผลหรือไม่ชัดๆ เจาเจาเพิ่งกลับมาก็ไม่แม้แต่จะให้พักหายใจสักเฮือก เห็นได้ว่าคนพวกนั้น…”
“เอาล่ะๆ เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เก็บกวาดห้องของหลานเจาให้เรียบร้อย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท รอนางกลับมาจะได้พักผ่อนพอดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้ว่าเหอซื่อเป็นพวกปากไม่มีหูรูดเลยรีบตัดบทนาง
เหอซื่อโดนเบี่ยงเบนความสนใจไปตามคาด นางพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเก็บกวาดเป็นพิเศษ ข้าสั่งให้ปัดกวาดเช็ดถูห้องของเจาเจาวันละสองรอบ พวกม่านคลุมเตียงเอย ม่านประตูเอยล้วนเปลี่ยนตามฤดูกาล ผ้าห่มผ้าปูที่นอนก็เป็นใยสำลีตีฟูใหม่ๆ…”
หลีเจี่ยวฟังอยู่เงียบๆ ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองวังเวง
เฉียวเจาย่างเท้าออกจากประตูจวนสกุลหลี ก้มตัวลอดเข้าไปในเกี้ยวหลังเล็กที่ตั้งอยู่ด้านนอก
ไหลสี่เดินอยู่ข้างเกี้ยว ถือโอกาสเปิดถุงผ้าปักออกดูแวบหนึ่งแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างสุดระงับ
เป็นแผ่นทองคำพับทั้งถุงเชียวหรือนี่!
อืม จวนตะวันตกของสกุลหลีเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
ไหลสี่ซุกถุงผ้าปักเก็บเข้าอกเสื้อ มองดูเกี้ยวราชสำนักแวบหนึ่งอย่างอบอุ่นเป็นมิตร
เมื่อถึงที่หมายเฉียวเจาลงจากเกี้ยวที่หน้าประตูวังแล้วให้ไหลสี่นำทางพาเข้าไปข้างใน
นางชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ตวัดสายตามองไปทางตำหนักเฉียนชิงโดยไม่รู้ตัว
ปกติเข้าวังแล้วเหลือบซ้ายแลขวาเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะไม่ควรมาก แต่เห็นแก่แผ่นทองคำพับถุงหนึ่งไหลสี่จึงเอ่ยเตือนเสียงค่อยๆ ด้วยท่าทางอ่อนโยนใจดีมาก “คุณหนูหลี ไทเฮาทรงรออยู่นะ”
นางพยักหน้าก่อนปัดปอยผมตรงหน้าผากให้เข้าที่แล้วเดินตามไหลสี่ไปทางตำหนักฉือหนิง
เวลานี้เซ่าหมิงยวนอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใช่หรือไม่ ฮ่องเต้ทรงเห็นหลักฐานพวกนั้นแล้วทรงมีท่าทีอย่างไรกันนะ
มาตรว่าเฉียวเจาจะสุขุมหนักแน่น แต่พอเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันถึงการรื้อฟื้นคดีของสกุลเฉียว นางก็ยากจะทำจิตใจให้เยือกเย็นได้
“ไทเฮา คุณหนูสามสกุลหลีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉียวเจาแสดงคำนับต่อหยางไทเฮาที่หลับตาทำสมาธิอยู่ใกล้ๆ เตาจุดกำยาน “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
หยางไทเฮาลืมตาขึ้นมองสำรวจเด็กสาวตรงโถงเบื้องล่าง
นางซูบผอมกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน ดูไปแล้วบอบบางอ่อนแอน่าสงสารยิ่งขึ้น หยางไทเฮานึกภาพไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าเด็กสาวผู้หนึ่งเช่นนี้จะประสบพบเจออุปสรรคมากมายกว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อนึกว่าหยางโฮ่วเฉิงเอ่ยถึงเด็กสาวตรงหน้าแล้วกล่าวชื่นชมไม่หยุด หยางไทเฮาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว อิสตรีนางหนึ่งอยู่ร่วมกับบุรุษกลุ่มใหญ่ทุกเช้าค่ำเป็นเวลาหลายเดือน ไม่ว่าเด็กสาวผู้นี้จะดีสักปานใดตามปากใครต่อใคร อย่างไรก็เลือกมาเป็นภรรยาไม่ได้
หลานชายของนางเป็นคนเปิดเผยโผงผาง แต่ไรมาไม่เคยให้ความสนใจสตรีใด แต่พอเอ่ยถึงคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้กลับชื่นชมไม่ขาดปาก หรือว่าจะบังเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงมีต่อนางแล้ว
หรือจะบอกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีเจตนาให้ผลลัพธ์ออกมาในรูปนี้
บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่ง ซ้ำร้ายเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว สามารถคว้าบุรุษที่ร่วมเดินทางเหล่านี้คนใดคนหนึ่งไว้ได้ล้วนเป็นเรื่องดีเลิศ
หยางไทเฮาหยุดตรึกตรองเป็นเวลานานไปบ้าง เฉียวเจายังอยู่ในอิริยาบถแสดงคารวะนิ่งๆ โดยไม่ขยับ นางลอบฉงนใจ
ดูเหมือนไทเฮาไม่ชอบหน้าข้า แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“ลุกขึ้นเถอะ” สุ้มเสียงแฝงความชราภาพดังลอยมาจากเหนือแท่นในที่สุด
เฉียวเจาหลุบตาต่ำยืดตัวขึ้น รอคอยหยางไทเฮากล่าววาจาอย่างสงบเสงี่ยม
หยางไทเฮาเห็นท่าทางสุขุมใจเย็นของเด็กสาวก็รู้สึกขัดใจอีก
ทั้งที่ศักดิ์ฐานะต่ำต้อย มาเข้าเฝ้านางกลับวางท่าได้อย่างไม่เจียมตนไม่โอหังเกินไป แม่เด็กน้อยผู้นี้ได้ความมั่นใจมาจากผู้ใดกัน
ในฐานะสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า นางไม่ชมชอบกิริยาวาจาที่ไม่เหมาะสมกับศักดิ์ฐานะใดๆ ทั้งสิ้น
หยางไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ข้าได้ยินว่าการเดินทางสู่ทิศใต้ครั้งนี้คุณหนูหลีซานต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากมาก”
เฉียวเจาไม่กระจ่างแจ้งว่าท่าทีไม่เป็นมิตรอยู่ลึกๆ ของหยางไทเฮามีที่มาจากอะไร นางกล่าวตอบอย่างอ่อนน้อม “ได้ทำงานรับใช้พระองค์เป็นเกียรติยศของหม่อมฉัน แล้วจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยลำบากได้อย่างไรเพคะ”
“กลับรู้จักพูดจาพาที” หยางไทเฮาหัวเราะเบาๆ พลางวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะเล็กด้านข้าง “มาสิ เข้ามาใกล้ๆ ข้า”
เฉียวเจาเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าหยางไทเฮา
หญิงชราจับสังเกตเด็กสาวในชุดกระโปรงสีเรียบที่เยื้องกรายมาใกล้อยู่เงียบๆ เห็นทุกฝีก้าวของนางย่างเท้าเป็นระยะเท่ากันไม่ผิดเพี้ยนสักเศษเสี้ยวราวกับวัดมาเป็นอย่างดี อีกทั้งต่างหูไข่มุกบนใบหูก็ไม่แกว่งไกวไปมาแม้แต่นิดเดียวแล้วนางอดหรี่ตาลงไม่ได้
การอบรมบ่มเพาะอย่างนี้ก็ยิ่งไม่คล้ายคุณหนูในเรือนอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่งอีก
ยามคนคนหนึ่งมีอคติกับอีกคนหนึ่ง อีกฝ่ายร้องไห้เป็นความผิด หัวเราะก็เป็นความผิด ไม่ว่าเดินยืนนั่งนอนล้วนเป็นความผิด จิตใจของหยางไทเฮาในขณะนี้ก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง
นางไม่รู้สึกพึงพอใจที่กิริยาวาจาของเฉียวเจาเหมาะสมถูกต้องตามธรรมเนียม กลับเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่บริสุทธิ์ใจและมีเจตนาร้ายแอบแฝง
อีกด้านหนึ่งฉือชั่นเดินออกนอกประตูวังแล้วเตะหยางโฮ่วเฉิงเต็มแรงทีหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงทำหน้าคับข้องหมองใจ “สือซี จู่ๆ เจ้าเตะข้าด้วยเหตุใด”
ฉือชั่นมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างโมโหโทโส “เตะเจ้า? ข้ายังอยากตบเจ้าให้หน้าคว่ำอีกด้วย”
“มันเรื่องอะไรกันแน่” หยางโฮ่วเฉิงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ข้าถามเจ้า เจ้าชมหลีซานต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาไปเพราะเหตุใด”
“เอ๊ะ ก็ข้าอยากให้ไทเฮาทรงทราบว่าคุณหนูหลีเหน็ดเหนื่อยลำบากปานใดมิใช่หรือ คุณหนูหลีไม่เหมือนกับพวกเรา หากเป็นที่ไว้วางพระทัยของไทเฮาได้ วันข้างหน้าก็จะสบายขึ้น…”
ฉือชั่นแค่นเสียงตัดบทสหายรัก “หยางเอ้อร์ เจ้าเบาปัญญาใช่หรือไม่ ไม่เคยพบเคยเจอคนที่ยิ่งช่วยยิ่งยุ่งอย่างเจ้าเลย”
“ไฉนข้ายิ่งช่วยยิ่งยุ่งเล่า”
“เจ้าใช้สมองตรองดู นางอยู่กับพวกเราทุกเช้าค่ำมาหลายเดือน เจ้ากลับมาแล้วบอกว่านางดีอย่างโน้นดีอย่างนี้แล้วจะให้ไทเฮาทรงคิดเช่นไร”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ จากนั้นเริ่มหน้าเสียทีละน้อย “ไม่กระมัง ไทเฮาจะทรงคิดไปถึงเรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนั้นหรือ”
“ไม่เช่นนั้นจะอย่างไรเล่า”
“แล้ว…เช่นนี้แล้วทำอย่างไรดี”
“ข้าจะรู้ว่าทำอย่างไรที่ใดกัน เจ้าปากมากเช่นนี้ ถ้าไทเฮาทรงไม่รังเกียจเดียดฉันท์หลีซานก็ไม่เลวแล้ว นับประสาอะไรกับให้ความสำคัญต่อหลีซานมากขึ้น”
หยางโฮ่วเฉิงเริ่มเสียใจภายหลัง “แย่แล้วๆ เช่นนั้นข้ามิใช่ให้ร้ายคุณหนูหลีหรือไร ทีแรกข้าคิดจะทำให้นางได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา วันหน้าจะได้แต่งงานกับถิงเฉวียนอย่างราบรื่น…”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น “เจ้าห่วงตนเองเถอะ”
“ข้ามีเหตุใดหรือ”
“ไทเฮาทรงสงสัยว่าเจ้ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อหลีซาน เจ้าตรองดูเองว่าไทเฮาจะทรงทำเช่นไร”
หยางโฮ่วเฉิงค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมขมับ “จบกันๆ ไทเฮาทรงคิดจะหาภรรยาให้ข้าสักคนใช่หรือไม่”
“ใช่น่ะสิ เจ้าก็อายุอานามไม่น้อย สมควรตบแต่งภรรยาเสียที” ฉือชั่นพูดทับถม
“นี่! ความเห็นอกเห็นใจของเจ้าหายไปที่ใดแล้ว”
“ถูกเจ้ากินไปแล้ว”