หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 529
บทที่ 529
“น้องเจากับท่านโหวสนิทสนมกันดีนะ” เฉียวโม่พูดอย่างมีนัยลึกล้ำ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ “พี่ใหญ่อยากพูดอะไรกันแน่”
“เขากับเจ้า…” เฉียวโม่เริ่มอึกๆ อักๆ
เด็กสาวตรงหน้ายังเยาว์วัย ละม้ายต้นพุดซ้อนเพิ่งออกดอกตูม มาตรว่าจะงดงาม แต่ยังไม่เบ่งบานสะพรั่ง ทำให้คนบังเกิดความรู้สึกรักใคร่เอ็นดูและทะนุถนอมอย่างง่ายดายมาก
ทว่าจริงๆ แล้วน้องสาวคนโตของเขาอายุน้อยกว่าเพียงสองปี เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเป็นดั่งสหายที่ถูกคอกันมากกว่า ในเวลานี้เขาอยากจะซักถามน้องสาวก็เลยไม่ใคร่มีความมั่นใจ
เฉียวเจาไม่รู้ถึงความยุ่งยากใจของพี่ชาย นางกล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย “พี่ใหญ่วางใจเถอะ เขาดีต่อข้ามาก”
เฉียวโม่กุมหน้าผาก น้องสาวโง่งมผู้นี้ ที่เขาเป็นห่วงก็คือเซ่าหมิงยวนดีต่อนางเกินไปน่ะสิ!
สายตาที่เจ้าหนุ่มผู้นั้นมองน้องสาวเขาเหมือนสุนัขป่าหิวโหยก็ไม่ปาน ถ้าน้องสาวยังอยู่ในร่างเดิมก็แล้วกันไปเถอะ แต่ตอนนี้นางยังเด็กถึงเพียงนี้ เขาเองก็ไม่อาจคิดมากไปกว่านี้ เพียงคิดขึ้นมาก็รู้สึกอยากฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นแล้ว
“พี่ใหญ่?” ครั้นสังเกตเห็นพี่ชายใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฉียวเจาจึงส่งเสียงเรียกอย่างฉงนใจ
เฉียวโม่ดึงความคิดคืนมาแล้วไอเบาๆ “แค่กๆ ดีต่อเจ้าก็ดีแล้ว”
เขาพยายามข่มใจเอาไว้ แต่สุดท้ายก็พูดกำชับอย่างทนไม่ไหว “ถึงอย่างไรก็ยังไม่แต่งงานกัน ระยะห่างที่พึงมีก็ยังต้องมีอยู่นะ”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้มแล้ว “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นน้องสาวพูดตอบทันที เฉียวโม่กลับไม่วางใจยิ่งขึ้น
ตกลงน้องเจาฟังเข้าใจหรือไม่กันแน่ ถึงเขาเป็นพี่ชายแต่อย่างไรก็ไม่ใช่ท่านแม่ มีบางเรื่องจะพูดอย่างชัดเจนเกินไปก็ไม่เหมาะสม
ขณะที่คุณชายเฉียวกำลังคับใจ มีองครักษ์เดินเข้ามาพร้อมพูดว่า “คุณชายเฉียว ทางวังหลวงส่งของพระราชทานมาให้ เป็นของคุณหนูสิงสองท่านที่พักอยู่ในจวนขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ทัพของพวกข้าไม่อยู่ ไม่ทราบว่าท่านจะออกไปต้อนรับได้หรือไม่”
เฉียวโม่พำนักอยู่ในจวนกวนจวินโหว เพราะท่าทีของเซ่าหมิงยวนส่งผลให้คนทั้งจวนให้เกียรติพี่ชายภรรยาผู้นี้อย่างเต็มที่ อีกทั้งในใจของคนเหล่านี้ก็ถือว่าเขาเป็นเจ้าของเรือนครึ่งหนึ่งไปแล้ว ตอนนี้ให้เขาออกหน้ารับรองขันทีจากวังหลวงจึงสมเหตุสมผลดี
เฉียวโม่อึ้งงันไปเล็กน้อย เขามองไปทางน้องสาว
เฉียวเจาลอบประหลาดใจ นางเอ่ยอธิบายความเป็นมาของคุณหนูสิงทั้งสองอย่างคร่าวๆ
เฉียวโม่ฟังแล้วบอกกับองครักษ์ “ในเมื่อพระราชทานให้คุณหนูสิงทั้งสอง เช่นนั้นก็เชิญพวกนางออกมาเถอะ”
เจินเหนียงกับจิ้งเหนียงติดตามผู้ตรวจการสิงเข้าเมืองหลวง เซ่าหมิงยวนจึงจัดให้พวกนางพักอยู่ในเรือนพักแขกชั่วคราว และส่งคนมาเฝ้าพวกนางไว้หลายคนเพราะกลัวพวกนางจะคิดสั้น
พี่น้องสองสาวได้ยินว่าวังหลวงส่งคนนำของพระราชทานมาให้ พวกนางพากันตะลึงงันไป จวบจนขันทีที่ถ่ายทอดกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ยื่นถาดอัญเชิญคทาหรูอี้มาที่มือเจินเหนียง นางยังคงไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ดุจรูปปั้น
ขันทีผู้ส่งข่าวส่งเสียงไอเบาๆ พลางเอ่ย “คุณหนูสิงทั้งสองขอบพระทัยสิ”
พอเห็นเจินเหนียงกับน้องสาวทำท่างงงันดุจเดิม ขันทีผู้ส่งข่าวขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ
เฉียวเจาสะกิดเจินเหนียงเบาๆ ทีหนึ่งแล้วบอกเสียงค่อย “พี่เจินเหนียง สมควรกล่าวขอบพระทัยแล้ว”
เจินเหนียงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน นางลุกลนขอบพระทัย เป็นเหตุให้ถาดในมือเอียงกระเท่เร่จนคทาหรูอี้ที่ใช้ผ้าไหมสีแดงคลุมไว้เกือบลื่นหล่น เดชะบุญที่เฉียวเจามือไวตาไวจับเอาไว้ถึงไม่ต้องเคราะห์ร้ายทำคทาหรูอี้แตกหัก
ขันทีผู้ส่งข่าวย่นหัวคิ้วแทบชนกันจนบี้ยุงตายได้ เขาพูดเสียงสูงว่า “คุณหนูสิงถือให้ดีๆ นะ นี่น่ะเป็นคทาหรูอี้ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ หากท่านไม่ถือไว้ให้ดีๆ เช่นนั้นคงไม่อาจได้สมดังใจปรารถนาแล้ว”
เจินเหนียงตกใจได้สติเต็มที่แล้ว นางหลั่งเหงื่อกาฬจนชุ่มแผ่นหลัง โขกศีรษะขอบพระทัยอย่างลุกลี้ลุกลนจนกระทั่งขันทีผู้ส่งข่าวสะบัดแขนเสื้อจากไปถึงกอดคทาหรูอี้ไว้แน่นๆ พลางล้มลงนั่งกับพื้นด้วยแววตางงงันว่างเปล่า
จิ้งเหนียงที่อยู่ด้านข้างดึงๆ แขนเสื้อนาง “พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้กงกงท่านนั้นกล่าวอะไรหรือ”
เจินเหนียงกำลังเต็มตื้นในอก นางกอดคทาหรูอี้ไว้ไม่เปล่งเสียงพูด
“เขาบอกว่าฮ่องเต้ตรัสชมว่าพวกเรามีปฏิภาณไหวพริบและกตัญญู จึงพระราชทานคทาหรูอี้ให้เล่มหนึ่งเป็นพิเศษ หวังว่าในภายภาคหน้าพวกเราจะมีชีวิตที่สมดังใจปรารถนาใช่หรือไม่”
เจินเหนียงพยักหน้าช้าๆ คล้ายยังคงอยู่ในห้วงฝัน “ใช่ เขาบอกเช่นนี้”
ฮ่องเต้รู้จักพวกนางสองพี่น้องได้อย่างไร แล้วเหตุใดยังพระราชทานคทาหรูอี้เล่มนี้ให้อีก หรือว่าเป็นท่านพ่อ…
ดวงตาที่หม่นแสงดุจหมดอาลัยตายอยากมาโดยตลอดเปล่งประกายฉับพลัน
เมืองหลวงในเดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ บนพื้นศิลาหินเย็นเยียบจนเสียดกระดูก
เฉียวเจายื่นมือไปวางทาบหัวไหล่นางก่อนกล่าวทอดถอนใจ “พี่เจินเหนียง รีบลุกขึ้นกลับเข้าเรือนเถอะ บนพื้นเย็นเกินไป”
เจินเหนียงกอดคทาหรูอี้ไว้แน่นก่อนลุกขึ้นจากพื้น สีหน้าของนางยังเหม่อลอยอยู่หลายส่วนจนกระทั่งกลับไป แต่เฉียวเจาสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบไวว่าในดวงตานางมีประกายแห่งชีวิตจุดขึ้นแล้ว
ตั้งแต่ได้รับกระแสรับสั่งของฮ่องเต้จนกลับไป สองพี่น้องสกุลสิงไม่ได้เหลือบแลภูษาแพรพรรณและแก้วแหวนเงินทองพวกนั้นอยู่จนแล้วจนรอด ยังคงเป็นเฉียวเจาที่สั่งให้องครักษ์ยกไปให้ทั้งสองคน
เมื่อพวกนางสองคนเดินห่างไปไกล เฉียวเจาดึงสายตาคืนแล้วกล่าวเสียงเบาๆ อย่างโล่งอก “ข้าเป็นห่วงเรื่อยมาว่าพวกนางควรทำอย่างไรดี บัดนี้มีคทาหรูอี้เล่มนี้ บางทีอาจไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ในยุคนี้สำหรับสตรีที่ยังไม่ออกเรือน บิดาคือท้องฟ้าของพวกนาง หากท้องฟ้าไม่ให้พวกนางมีชีวิตอยู่ พวกนางก็หมดกำลังจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงคนอื่นจะเห็นอกเห็นใจก็สุดปัญญาจะทำอะไรได้
เฉียวเจาเคยผ่านความรู้สึกที่สุดปัญญาจะทำอะไรได้อย่างนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าเพราะคทาหรูอี้เล่มเดียว บทลงเอยด้วยความตายตามที่ทุกคนคิดไว้ถึงกับคลี่คลายลงเช่นนี้
นางคาดไม่ถึงมาก แต่ครั้นภาพดวงหน้าหล่อเหลากระจ่างตาของคนบางคนปรากฏขึ้นในใจก็รู้สึกอีกว่าไม่เหนือความคาดหมาย
เวลานี้เองเฉียวโม่อ้าปากพูดขึ้น “น้องเจาบอกว่าผู้ตรวจการสิงบิดาของพวกนางเป็นคนคร่ำครึเกินไป เห็นความรักต่อบุตรสาวเทียบไม่ได้กับการยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณี ตอนนี้ดูไปแล้วกลับมิได้เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียวนะ”
เฉียวเจาเหยียดมุมปาก “เกรงว่าจะไม่ใช่ความดีความชอบของผู้ตรวจการสิงท่านนั้นเจ้าค่ะ”
จะให้นางเชื่อว่าคนผู้หนึ่งจะเปลี่ยนความคิดฝังหัวได้ในชั่วข้ามคืนน่ะหรือ นางขอเชื่อการคาดคะเนอย่างเป็นเหตุเป็นผลดีกว่า
“อ้อ แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรหรือ…” เฉียวโม่คิดตามทันโดยพลัน เขามองน้องสาวด้วยสายตาแปลกๆ
คนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็เป็นคนพวกนั้น ถ้ามิใช่ความดีความชอบของผู้ตรวจการสิง ก็ต้องเป็นของกวนจวินโหวสินะ น้องสาวข้าออกจะชื่นชมกวนจวินโหวเกินไปแล้ว
เฉียวโม่ค่อนขอดอยู่ในใจหลายคำก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้องเจารีบกลับจวนสกุลหลีเถอะ วันนี้เจ้าเพิ่งกลับมาก็ถูกไทเฮาเรียกตัวไป คนในเรือนคงต้องเป็นห่วงกันแน่”
“อื้อ ถ้าอย่างนั้นข้ากลับเดี๋ยวนี้เลย พอเขากลับมา ถ้ามีข่าวสำคัญก็ส่งคนไปบอกกล่าวข้าสักคำนะเจ้าคะ”
เฉียวเจาจะรั้งอยู่ในจวนกวนจวินโหวนานๆ ก็ไม่เหมาะไม่ควร นางข่มความอาลัยอาวรณ์ในใจไว้แล้วกลับไป
คงเป็นเพราะตั้งตารอคอยมานานเหลือเกินกว่าจะมาถึงวันนี้ ทำให้นางไม่อาจสงบจิตใจได้อยู่บ้าง
ฟ้ามืดอย่างรวดเร็วจวนกวนจวินโหวจุดโคมไฟแดงตามชายคาและระเบียง พื้นถนนศิลาเขียวใต้แสงจันทร์ประหนึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีเงิน กีบเท้าม้าย่ำลงบนนั้นบังเกิดเสียงกุบกับดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ท่านแม่ทัพ” องครักษ์ออกไปต้อนรับ
เซ่าหมิงยวนพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วส่งสายบังเหียนให้ เขาเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
“กลับมาแล้วหรือ” มุมปากของเฉียวโม่ประดับรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงนุ่มนวล
เสื้อคลุมยาวสีดำเข้มบนกายแม่ทัพหนุ่มคล้ายว่าเรียบตึงยิ่งขึ้นเพราะความหนาวเย็น ขับเน้นเขาให้แลดูโดดเด่นสะดุดตาประหนึ่งจันทร์กระจ่างพร่างพราย
เฉียวโม่เลิกคิ้วขึ้น คิดคำนึงในใจว่า แต่ก่อนน้องเขยของข้าผู้นี้มีเพียงกิตติศัพท์น่าเกรงขามอยู่ภายนอก ไม่ได้มีเสียงกล่าวขวัญกันถึงความรูปงาม ตอนนี้ได้พิศดูดีๆ ความจริงเป็นคนหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก
เซ่าหมิงยวนเอ่ยทักทายเฉียวโม่ เขาเหลือบตามองไปด้านหลังแวบหนึ่งแล้วก็ต้องเหลือบมองซ้ำอีกที
เจาเจากลับไปแล้ว… กลับไปแล้วหรือนี่!
คนบางคนที่ควบม้าสุดฝีเท้าตลอดทางกลับเรือนรู้สึกว่างโหวงเหวงในอก กลับเห็นพี่ชายภรรยาส่งยิ้มให้ตนอย่างสุภาพนุ่มนวลมากขึ้น