หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 53
เฉียวเจานิ่งงันไปเล็กน้อย
มีเด็กสาวส่งยิ้มให้ข้าแล้วหรือนี่ แทบไม่อยากจะเชื่อเลย
นับตั้งแต่กลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจา นางยังนึกว่าตนเองแย่งชิงบุรุษของสตรีทุกคนไป ถึงทำให้พวกนางโกรธเกลียดถึงเพียงนี้
เสี้ยวเวลานี้เฉียวเจาบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูกเลย
จูเหยียนอึ้งงันไปเฉกเดียวกัน เหตุใดนางรู้สึกว่าท่าทางงงงันไปพริบตาหนึ่งของคุณหนูหลีเจาถึงชวนขันอย่างนั้น
หลานเจา เสียงเรียกของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงความสนใจของเฉียวเจากลับมา
ท่านย่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมีสีหน้าแย้มยิ้มอย่างเมตตาเอ็นดู เจ้าเต็มใจเขียนตัวอักษรแผ่นหนึ่งให้พวกคุณหนูฮูหยินในที่นี้ได้ดูสักหน่อยหรือไม่
เฉียวเจาตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่เต็มใจเจ้าค่ะ
คำกล่าวนี้ดังขึ้น หญิงชราหลากใจอยู่บ้าง แต่สีหน้าของทุกคนในที่นั้นน่าดูชมยิ่งกว่า
ต่อหน้าธารกำนัลก็ปฏิเสธโอกาสที่จะได้เชิดหน้าชูตาทันทีอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ เด็กสาวเช่นนี้หาพบได้น้อยนัก
หลานเจา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกระแอมกระไอเสียงดังก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแกมตักเตือน
เด็กสาวผู้นี้คิดอย่างไรกันแน่ ในเมื่อนางมีฝีมือเขียนอักษรได้ดีจริงๆ เวลาอย่างนี้ยังจะตั้งแง่อะไรอีก
เพราะอะไรหรือ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับไม่แปรเปลี่ยน ท่าทางยังคงอ่อนโยน
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มิใช่ที่ที่อวดตนเจ้าค่ะ เฉียวเจากล่าวตอบ
เป้าหมายของนางบรรลุแล้ว จะเอาตัวอักษรของท่านปู่ไปโอ้อวดให้ผู้คนนิยมชมชอบอีกได้อย่างไร
เฉียวเจาหาได้เข้าใจความคิดของคนเหล่านี้มากนัก ตัวอักษรที่นางเขียนจะดีหรือแย่เกี่ยวอะไรกับพวกนาง ถึงอย่างไรไม่มีทางที่พวกนางคิดจะให้บุตรชายตนตบแต่งนางเป็นภรรยาอยู่แล้ว
เฉียวเจากล่าวโต้กลับคำหนึ่งจนฮูหยินทุกคนพูดไม่ออก แต่ตู้เฟยเสวี่ยแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ หลีซาน นี่เจ้าจะเฉไฉกระมัง เจ้าไม่เขียนแล้วจะพิสูจน์ได้เช่นไรว่าเจ้าเขียนตัวอักษรได้ดีอย่างนั้น
เฉียวเจามองเด็กสาวผู้นี้แล้วรู้สึกอยากถอนใจอยู่ร่ำไป นางไต่ถามอีกฝ่าย ท่านซือไท่ของอารามซูอิ่งพิสูจน์ไม่ได้หรือ
คำเดียวนี้ก็ทำให้ตู้เฟยเสวี่ยไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงแล้ว ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ถลึงตามองนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอย่างชิงชัง
จูซื่อเห็นแล้วรีบส่งสายตาให้บุตรสาว ดึงนางมาอยู่ข้างหลังตนเองไม่ให้ออกหน้าอีก บุตรสาวของตนมิใช่คู่ประมือของคุณหนูสามสกุลหลีเลยสักนิด อย่าออกโรงให้เป็นที่ตลกขบขันมากขึ้นโดยใช่เหตุ
เพียงทว่าหลีซานผู้นี้กับคนเดิมในความคิดนางไม่ใคร่เหมือนกันนัก
จูซื่อมองหลีเจี่ยวแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าวันหน้าบุตรสาวของพี่สาวสามีนางที่อายุสั้นท่านนั้นคงมีชีวิตไม่ราบรื่นดังใจหวังปานนั้นแล้ว
เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มารดาของหลีเจี่ยวช่วยเหลือดูแลจูซื่อซึ่งเป็นน้องสะใภ้ผู้นี้อยู่มาก จูซื่อย่อมปฏิบัติต่อหลานสาวด้วยน้ำใสใจจริงอยู่บ้าง แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
ทุกๆ เหย้าเรือนต่างมีชีวิตของตนเอง
ใบหน้าของหลีเจี่ยวฉาบรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล หากในใจลึกๆ พลุ่งพล่านปั่นป่วนไปแล้ว
หลีซานไม่มีทางเขียนตัวอักษรได้ดีเช่นนั้นเด็ดขาด นางต้องใช้เล่ห์อุบายสักอย่างหลอกลวงซือไท่ท่านนั้นเป็นแน่ หาไม่แล้วตอนนี้จะให้นางเขียนอักษรแผ่นหนึ่ง ไฉนถึงโยกโย้บ่ายเบี่ยงเยี่ยงนี้
ฮึๆ วันนี้อยู่ที่วัดต้าฝูเจ้ามีเหตุผลปิดปากคนอื่นได้อย่างเหมาะเจาะ เช่นนั้นก็รอไปก่อน วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ช้าเร็วต้องมีสักวันที่ข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้าออกต่อหน้าผู้คน
มิไยว่าผู้คนทั้งในโถงนอกโถงจะไม่ยอมรับเช่นไร ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับแล้วยังคงไม่ได้เห็นลายมือของหลีซาน แต่เพราะเหตุนี้คนเกือบทั้งหมดล้วนจดจำคุณหนูสามของจวนสกุลหลีผู้นี้ได้ขึ้นใจ
บนเส้นทางขากลับ รถม้าเรียงรายเป็นขบวนยาวแล่นไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย พอถึงตอนจะเข้าเมืองก็ต้องชะลอความเร็วให้ช้าลงประหนึ่งหอยทากคลาน
บรรดาเจ้านายบนรถม้ารอคอยจนร้อนใจต่างส่งบ่าวไพร่ไปสอบถาม
ไม่ถึงครู่หนึ่งพวกบ่าวไพร่ที่ไปสืบข่าวทยอยกลับมา ปาดเหงื่อจากการเบียดเสียดอยู่กลางฝูงชนพลางกล่าว เรียนนายหญิง เป็นท่านกวนจวินโหวนำพาเหล่าทหารคุ้มกันหีบศพของทหารพลีชีพเข้าเมือง ชาวบ้านชาวเมืองพากันมามุงดูอยู่ขอรับ
ฮูหยินทั้งหลายได้ยินแล้วต่างแหวกม่านประตูรถม้าออกมองไปข้างหน้า เห็นขบวนรถม้าต่อกันยาวเหยียดจนมองไม่เห็นหัวแถวชวนให้บังเกิดความท้อใจ
พวกนางยังไม่ทันนั่งกลับเข้าที่ให้ดีๆ บนรถม้า บุตรสาวหลานสาวที่พามาด้วยกันกลับอดรนทนไม่ไหวแล้ว กอปรกับต่างใฝ่ฝันถึงท่านกวนจวินโหวผู้หนุ่มแน่นหล่อเหลาเป็นพิเศษ จึงเอ่ยขอร้องไปตามๆ กัน
ท่านแม่…
ท่านย่า ถึงอย่างไรก็ได้แต่จับเจ่าเฝ้ารอบนรถม้า พวกเรามิสู้ทิ้งรถม้าลงไปเดินเท้ากันเถอะ…
…เดินเท้าจะได้แสดงความเคารพยกย่องต่อทหารพลีชีพได้พอดีนะเจ้าคะ
ฮูหยินทั้งหลายต่างลอบค่อนขอดอย่างใจตรงกัน
ดูบุตรสาวของข้าสิ…
หลานสาวของข้า เพื่อจะได้เห็นหน้ากวนจวินโหวผู้นั้น หัวสมองล้วนฉับไวกันขึ้นมาในพริบตา
ช่างสรรหาเหตุผลได้ดีจริงๆ
ด้วยเหตุนี้คุณหนูทั้งหลายจึงได้รับอนุญาตให้ลงจากรถม้า แล้วเดินเท้าโดยมีสาวใช้ติดตามไปด้วย
ทีแรกเฉียวเจาตั้งใจจะรอไปเรื่อยๆ อยู่บนรถม้า แต่นางได้ยินประโยคหนึ่งที่ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดโดยไม่ตั้งใจ
ได้ยินว่าหีบศพของฮูหยินท่านแม่ทัพก็อยู่ในนั้นด้วย ท่านแม่ทัพคุ้มกันกลับมาด้วยตนเองเชียวนะ
หีบศพของข้า?
เซ่าหมิงยวนออกจากเมืองไปรับหีบศพของข้ากลับสู่จวนจิ้งอันโหว?
นี่เป็นความรู้สึกที่นางยากจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดโดยแท้
เฉียวเจาตามพวกคุณหนูสกุลหลีไปหยุดยืนรอคอยพร้อมกับหมู่ราษฎรตรงริมถนน
เมื่อกลุ่มก้อนสีขาวเต็มพรืดสุดสายตาไกลออกไปเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ทุกคนถึงเห็นชัดถนัดตาว่าเป็นเหล่าทหารสวมชุดสีขาวมุ่งหน้ามาอย่างเชื่องช้า
รถม้าไร้ประทุนบรรทุกหีบศพของร่างไร้วิญญาณของวีรชนที่รบจนตัวตายคันแล้วคันเล่าเป็นสีดำทะมึนผืนใหญ่ พาให้รู้สึกหนักอึ้งงันและอึดอัดจนหายใจติดขัด
ราษฎรสองข้างทางล้วนอยู่ในความเงียบสงบ ไม่มีใครส่งเสียงพูดคุย พวกเขามองส่งวีรบุรุษเหล่านี้เข้าเมืองด้วยสายตาเคารพเลื่อมใสระคนอาลัยเสียใจมากที่สุด
เสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังขึ้นกลางฝูงชนทีละน้อยทีละนิด
ผู้คนที่ร่ำไห้เหล่านั้นต่างข่มใจและอดกลั้นไม่อยากร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังจนทำลายบรรยากาศเคร่งขรึมในเสี้ยวเวลานี้
ในหีบศพเหล่านั้นมีบุตรชายของมารดาผมสีดอกเลาคนใด มีสามีของสตรีวัยสาวสะพรั่งคนใด และยังมีกระดูกของคนอีกตั้งมากเท่าไรที่ต้องทิ้งไว้ในแดนเหนืออันห่างไกลตลอดกาล
พวกเขาเป็นบุตรชาย เป็นสามี เป็นบิดา ทว่ายังเป็นทหารผู้พิทักษ์คุ้มครองราษฎรแคว้นต้าเหลียงไม่ให้ถูกข้าศึกชาวต๋าจื่อข่มเหงย่ำยี
หลายปีก่อน ชาวเป่ยฉีที่โหดเหี้ยมอำมหิตเคยโจมตีเมืองซานไห่กวน ชาวบ้านทั่วเมืองถูกพวกเขาเข่นฆ่าสังหารตามชอบใจ พวกสตรียิ่งต้องพบกับชะตากรรมน่าอเนจอนาถสุดจะทนดูได้
เวลาอาจลบเลือนสิ่งต่างๆ ได้มากมาย กระนั้นยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีวันเลือนลบไป
หากมีชาวต๋าจื่อบุกมารุกราน ขอยอมสวมเสื้อคลุมนักรบให้บุรุษในเรือนเองกับมือ นี่เป็นความคิดสามัญธรรมดาที่สุดของราษฎรแคว้นต้าเหลียงจำนวนมาก
ชาวบ้านที่อยู่ตรงริมถนนมากมายปานนั้น ยามปกติพวกเขาอาจจะทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง แต่ ณ ขณะนี้พวกเขาพร้อมใจอยู่ในความเงียบสงบโดยมิได้นัดหมายกัน
ใช้ความเงียบส่งดวงวิญญาณของนักรบผู้กล้าที่สิ้นชีพกลางสมรภูมิเหล่านี้ไปสู่สุคติ
เฉียวเจาจับตามองไปที่บุรุษหนุ่มหัวขบวน
เขาไม่ได้ขี่ม้า แต่เดินอยู่ข้างๆ หีบศพสีดำสนิทใบหนึ่ง
ไร้ท่าทางฮึกเหิมห้าวหาญอย่างเมื่อตอนเข้าเมืองวันนั้น ยามนี้ริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่มแตกเป็นขุย ปลายคางมีไรหนวดผุดขึ้นเขียวครึ้ม กระทั่งเสื้อคลุมสีขาวบนตัวก็กลายเป็นสีเหลืองมอๆ แม้นดูมอมแมมไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่ไม่อาจทำให้ความมีสง่าราศีเหนือใครหมองลงได้
สายตาของหญิงสาวนับไม่ถ้วนตรึงอยู่ที่ตัวเขา บ้างกระมิดกระเมี้ยน บ้างไม่สงวนท่าทีใดๆ
ส่วนเฉียวเจากลับมองผ่านเขาไปจับจ้องที่หีบศพสีดำใบนั้นตาเขม็ง
ตัวนางนอนอยู่ในนั้นจริงๆ หรือ
ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งนางจะยืนอยู่ข้างทาง มองตามหีบศพที่ใส่ร่างไร้วิญญาณของตนอย่างสมเกียรติเคลื่อนผ่านไปอย่างเนิบนาบพร้อมกับผู้คนมากมายเหลือคณา
ชั่วขณะนี้เฉียวเจาเหม่อลอยอยู่บ้าง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางคือนาง บนโลกนี้ นางช่างโดดเดี่ยวเดียวดายปานใดกัน
ทว่าตายแล้วฟื้นคืนชีพ นางก็ช่างโชคดีเพียงใดหนอ
เฉียวเจาคิดคำนึงอย่างเผลอตัว
ชั่วอึดใจที่เซ่าหมิงยวนกำลังจะเดินผ่านไป ทันใดนั้นมีแรงโถมมาทางข้างหลังผลักนางถลำไปข้างหน้ากะทันหัน