หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 530
บทที่ 530
“ท่านโหวมองอะไรหรือ” คุณชายเฉียวไต่ถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าเห็นว่าฉากกั้นรูปทิวทัศน์เขียนลายทองฉากนี้เริ่มเก่าไปสักหน่อย ไว้ต้องเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว”
เฉียวโม่หลุบตาต่ำส่งเสียงหัวร่อแผ่วๆ “จริงของท่านโหว สมควรเปลี่ยนใหม่แล้ว ว่าแต่การไต่สวนคดีเป็นอย่างไรบ้าง”
เซ่าหมิงยวนปัดๆ ฝุ่นบนตัวแล้วนั่งลงรับน้ำอุ่นที่องครักษ์ยื่นให้มาจิบคำหนึ่ง แต่พอน้ำไหลล่วงเข้าปากก็อดนิ่งขึงไปไม่ได้ เขาหันไปมององครักษ์
องครักษ์กล่าวอธิบาย “คุณหนูหลีบอกว่าท่านแม่ทัพวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ดื่มน้ำชงน้ำผึ้งให้ชุ่มคอจะรู้สึกสบายขึ้นขอรับ”
เซ่าหมิงยวนตวัดสายตามองเฉียวโม่อย่างฉับไว เขาอยากรักษาสีหน้านิ่งเฉยไว้อย่างมาก แต่มุมปากที่ยกโค้งขึ้นกลับฟ้องความในใจของเขาออกมาแล้ว “คุณหนูหลีบอกหรือ”
ถ้าพี่เฉียวโม่ไม่อยู่ตรงนี้ก็คงดี เขาจะได้ซักถามซ้ำๆ หลายรอบ ได้ยินว่าเจาเจาห่วงใยเขาจากปากผู้อื่นเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือหลายโดยแท้
“คุณหนูหลีบอกขอรับ นางยังบอกอีกว่าดึกแล้วอย่าให้ท่านดื่มน้ำชา” องครักษ์กล่าวเสริมขึ้น
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าหงึกหงัก “รู้แล้ว”
องครักษ์ก้มหน้าแอบยิ้ม ท่านแม่ทัพโง่งมไปแล้วใช่หรือไม่ พูดกับข้าว่า ‘รู้แล้ว’ ไปด้วยเหตุใด ข้าจะบอกต่อคุณหนูหลีก็ไม่ได้สักหน่อย
เฉียวโม่มองเซ่าหมิงยวนอย่างพินิจ รอยยิ้มตรงมุมปากนิ่งค้างไปเล็กน้อย
น้องเจาเป็นห่วงเป็นใยเจ้าหนุ่มนี่ปานนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับแอบกำชับองครักษ์ให้เตรียมน้ำชงน้ำผึ้งให้โดยที่ข้าไม่รู้เรื่อง!
ในใจคุณชายเฉียวบังเกิดความรู้สึกอับจนอย่างรุนแรงเสมือนว่าน้องสาวถูกสุนัขป่าคาบไปแล้ว พาให้สายตาที่มองเซ่าหมิงยวนทอแววล้ำลึกยิ่งขึ้น
เซ่าหมิงยวนสังเกตเห็นแววตาของพี่ชายภรรยาไม่ค่อยปกติ เขารีบเก็บงำสีหน้าปลาบปลื้มใจไว้ทันที ก่อนจะกระแอมกระไอเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “พี่เฉียวโม่ เมื่อครู่ท่านถามว่ากระไรนะขอรับ”
เฉียวโม่เคาะเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ พลางพูดเสียงเรียบ “ท่านโหวความจำไม่ค่อยจะดีกระมัง”
คนบางคนยกถ้วยน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “พอได้ดื่มน้ำชงน้ำผึ้งก็นึกออกแล้ว พี่เฉียวโม่ถามเรื่องไต่สวนคดีกระมัง สามตุลาการต้องเรียบเรียงบันทึกคดีและตรวจทานสมุดบัญชีตลอดคืนนี้เพื่อรวบรวมรายชื่อขุนนางผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีในเบื้องต้นออกมาให้ทันวันพรุ่งนี้”
เฉียวโม่พยักหน้าเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนเห็นดังนั้นก็เอ่ยปลอบ “พี่เฉียวโม่วางใจเถอะ ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว คนพวกนั้นต้องเร่งมือกันเต็มที่ อีกสองวันน่าจะเรียกตัวท่านไป”
ในฐานะเจ้าทุกข์ในคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว เฉียวโม่ต้องขึ้นศาลแน่นอน
“ได้อย่างนั้นก็ดี ท่านโหวยุ่งมาทั้งวัน รีบไปล้างหน้าล้างตาเข้านอนเถอะ”
“พี่เฉียวโม่ก็พักผ่อนแต่หัวค่ำเถอะ”
เซ่าหมิงยวนกลับถึงเรือนพำนัก ถอดอาภรณ์ออกแล้วก้าวลงในถังอาบน้ำที่ส่งควันกรุ่นๆ ร่างสูงเพรียวบึกบึนค่อยๆ เลื่อนลงแช่ในน้ำ เพราะพิษไอเย็นถูกขับออกไปแล้ว ผิวกายที่โผล่พ้นร่มผ้าไม่ขาวเผือดเช่นในกาลก่อนอีก แต่กรำแดดจนเป็นสีน้ำผึ้งอ่อนๆ
“ออกไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนบอกให้องครักษ์ที่จะปรนนิบัติเขาชำระกายออกไป
เสียงประตูปิดดังขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งสรรพางค์กาย เขาหยิบกระบวยขึ้นตักน้ำราดตัว น้ำร้อนชะล้างเรือนกายกำยำล่ำสัน พาไออุ่นจางๆ แผ่ซ่านตรงกลางอก
เจาเจาแอบกำชับองครักษ์ให้เตรียมน้ำชงน้ำผึ้งให้ข้าหรือนี่…
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก ที่แท้มีคนห่วงใยทุกเวลาเป็นความรู้สึกเยี่ยงนี้นี่เอง
เจาเจาของข้าต้องเป็นภรรยาที่ดีที่สุดในใต้หล้าเป็นแน่แท้
ไม่นานนักก็ดึกสงัด
ค่ำคืนในฤดูหนาวเงียบเชียบมาก ไม่มีเสียงร้องของนกและแมลง ได้ยินแต่เสียงลมเหนือแรกพัดกระทบขอบหน้าต่างแผ่วเบา
คนมากมายหลับสนิทอยู่ แต่ก็มีคนอีกมากที่ยากข่มตานอนตลอดราตรี
ด้านในที่ว่าการกรมอาญามีแสงไฟสว่างไสว เงาคนไหววูบวาบบนม่านหน้าต่างผ้าโปร่ง ถึงแม้เสียงแผ่นกระดาษเสียดสีกันยามพลิกอ่านม้วนบันทึกจะแสนแผ่วเบา แต่ในเวลาดึกดื่นกลับได้ยินชัดถนัดหู
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเคาะประตูแล้วก้าวเข้ามาบอกกับขุนนางทั้งหลายที่ทำงานง่วนอยู่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ใต้เท้าทั้งหลาย ข้าน้อยนำอาหารมื้อดึกมาให้ทุกท่านตามคำสั่งของท่านเสนาบดีขอรับ”
ขุนนางคนหนึ่งวางพู่กันในมือลง ยกยิ้มเอ่ยถาม “อาหารมื้อดึกเป็นอะไร กำลังหิวอยู่บ้างพอดี”
ยุ่งอยู่กับงานมาถึงตอนนี้ ทุกคนล้วนทั้งหิวทั้งอ่อนล้า
“โจ๊กรังนกขอรับ” เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเปิดกล่องอาหาร ยกโจ๊กรังนกออกมาโถแล้วโถเล่า
“มีโจ๊กรังนกให้กินเลยหรือนี่ ไม่เลวจริงๆ” ขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวยิ้มๆ
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยนำโจ๊กรังนกไปวางตรงหน้าพวกขุนนางตามลำดับ “ท่านเสนาบดีของข้ากำชับกำชาเอาไว้แล้ว บอกว่าใต้เท้าทุกท่านต้องเหน็ดเหนื่อยกัน จะปล่อยให้พวกท่านต้องหิ้วท้องทนหิวอีกไม่ได้”
พวกขุนนางพากันแย้มยิ้มออก ยกโจ๊กรังนกขึ้นเริ่มกินทีละคำเล็กๆ
ค่ำคืนที่หนาวเย็นอย่างนี้ได้กินโจ๊กรังนกสักโถย่อมจะสบายท้องที่สุดเป็นธรรมดา
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยยืนอยู่ด้านข้าง เห็นทุกคนกินโจ๊กรังนกหมดแล้วก็เดินหลุบตาต่ำเข้าไปเก็บโถ
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ พวกข้ายังต้องเตรียมคดีต่อ…” ขุนนางหนุ่มพูดๆ อยู่ก็รู้สึกตาพร่าลายกะทันหัน ยังไม่ทันพูดจนจบประโยคก็หลับไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยนิ่งเฉยมองดูพวกเขาทยอยหลับไปแล้วเหยียดยิ้มมุมปาก
เขาวางกล่องอาหารลงเบาๆ รื้อค้นอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็พบสมุดบัญชีสองเล่มที่สำคัญที่สุด จากนั้นยกฝาครอบตะเกียงออกแล้วเอามันจ่อไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วผลักตะเกียงน้ำมันล้มตะแคงก่อนจะถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ไม่นานนักเปลวเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า คนที่พบว่าเกิดไฟไหม้ตะโกนดังลั่น “แย่แล้ว!”
“ไฟไหม้แล้ว!”
“พวกใต้เท้ายังอยู่ข้างใน…”
เสียงคนเอะอะโหวกเหวก รอบด้านตกอยู่ในความอลหม่าน ผ่านไปสองเค่อถึงดับไฟได้หมด ขุนนางในเรือนที่ถูกช่วยออกมาตื่นเต็มตา แต่ละคนล้วนอยู่ในสภาพมอมแมม
โค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาไปนอนพักครู่หนึ่งเพราะสูงวัยแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้นในช่วงที่ตนงีบหลับอยู่ เขาหน้าเสียด้วยความร้อนใจ “ตกลงว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
พวกขุนนางที่เพิ่งประสบเหตุไฟไหม้มาหมาดๆ ทำสีหน้างุนงง
โค่วสิงเจ๋อโกรธจนหน้าบึ้งตึง “หรือว่าทุกคนหลับกันไปหมด”
เขาไม่ได้พูดว่าจะไปพักผ่อนเลย เป็นเจ้าลูกเต่าพวกนี้บอกว่าเขาสูงวัยแล้วไม่พึงอดหลับอดนอน พูดคะยั้นคะยอให้เขานอนหลับสักครู่ หรือว่าเจ้าพวกนี้เกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปเพื่อจะได้ชักชวนกันนอน
“เสนาบดีโค่วอย่าเพิ่งร้อนใจซักไซ้ต้นสายปลายเหตุ ดูกันก่อนว่ามีอะไรเสียหายบ้าง” เสนาบดีศาลยุติธรรมเอ่ยเตือนขึ้น
โค่วสิงเจ๋อจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวกับคนของกรมอื่นก็ย่อมไม่เป็นการดี เขาถลึงตาใส่หลีกวงเยี่ยนรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมอาญา
หลีกวงเยี่ยนยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าคราหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยเขม่าดำสองปื้นทันควัน ดูไปแล้วน่าตลกขบขันเป็นพิเศษ แต่เวลานี้ไม่มีใครมีแก่ใจหัวเราะเพราะต่างอยู่ในอารมณ์ตึงเครียด
“ยืนทื่อกันอยู่ด้วยเหตุใด รีบเร่งตรวจสอบว่ามีอะไรถูกเผาทำลายไปบ้าง” ในฐานะมือรองของกรมอาญา หลีกวงเยี่ยนรู้สึกว่าวันนี้ดวงตกถึงขีดสุด ตอนแรกก็โดนผู้บังคับบัญชาด่าสาดเสียเทเสียเพราะเรื่องไปสืบคดีที่จยาเฟิง ตอนนี้ยังเจอกับสถานการณ์พรรค์นี้อีก
ในใจเขาบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขณะพาคนไปเริ่มตรวจสอบ
ผู้ช่วยเสนาบดีคนหนึ่งหน้าซีดปากสั่นเอ่ยขึ้น “ไม่…ไม่ได้การแล้ว…”
ทุกคนมองไปทางเขากันหมด
ผู้ช่วยเสนาบดีทำหน้าเสีย พูดละล่ำละลัก “สมุดบัญชีสองเล่มนั้น…โดน…ไฟไหม้หมดแล้ว…”
“เสนาบดีโค่ว…” เสนาบดีศาลยุติธรรมรีบประคองโค่วสิงเจ๋อที่เกือบล้มพับลง
“ไหม้หมดแล้ว? เจ้าจำผิดหรือไม่” โค่วสิงเจ๋อรู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่ง เขาฝืนยืนทรงตัวไว้ได้เพราะมีเสนาบดีศาลยุติธรรมช่วยพยุงไว้
ใบหน้าของผู้ช่วยเสนาบดีปราศจากสีเลือด เขารู้สึกราวกับฟ้าถล่มลงมาก็ไม่ปาน ปิดหน้าพลางกล่าวเสียงเครือ “ข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นสมุดบัญชีสองเล่มนั้นวางอยู่บนชั้นวางชั้นนี้…”
“ค้นหาอีกที!”
หลังจากโกลาหลยกหนึ่ง แต่ละคนในที่นั้นต่างมีสีหน้าเศร้าสลดประหนึ่งอยู่ในงานศพบิดามารดา
“ใต้…ใต้เท้า ตอนนี้จะทำประการใดกันดีขอรับ” มีขุนนางคนหนึ่งเอ่ยถามโค่วสิงเจ๋ออย่างวิตกกังวล
เสนาบดีศาลยุติธรรมรู้สึกผิดปกติ เขาผลักโค่วสิงเจ๋อเบาๆ ทีหนึ่ง “แย่แล้ว เสนาบดีโค่วเป็นลมไปแล้ว”