หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 532
บทที่ 532
“จะเอาคืนกลับมาได้อย่างไร” ในบรรดาสามคนเสนาบดีจางมีอายุน้อยที่สุด เขาได้ยินวาจานี้แล้วผุดลุกขึ้นยืนทันที
ดวงตาที่หรี่ปรือของโค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาพลันเบิกกว้างขึ้นมองเซ่าหมิงยวนเขม็ง
ส่วนสายตาที่จับจ้องเซ่าหมิงยวนอยู่ของข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายทอแววล้ำลึกยิ่งขึ้น
“ใต้เท้าทั้งสามอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าต้องกลับไปที่จวนโหวก่อน” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน
เสนาบดีจางขยิบตากับโค่วสิงเจ๋อเป็นการใหญ่ เขาไม่มีปัญญาจะทำอะไรกับกวนจวินโหวผู้สร้างชื่อแต่วัยหนุ่มผู้นี้ได้ แต่คำพูดของคนเป็นท่านตาอย่างไรก็ต้องมีน้ำหนักกระมัง
“หมิงยวน เจ้ากลับจวนไปมีหนทางอะไรหรือ” โค่วสิงเจ๋อเก็บงำสายตาร้อนรนไว้ ไต่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
คำเรียกขานว่า ‘หมิงยวน’ บ่งบอกถึงสายสัมพันธ์ที่มิใช่ธรรมดาระหว่างคนทั้งคู่อย่างไร้ข้อกังขา
เซ่าหมิงยวนพูดยิ้มๆ อย่างอ่อนน้อม “เสนาบดีโค่วพักผ่อนให้มากๆ เถอะ ประเดี๋ยวข้ากลับมาก็รู้เองขอรับ”
“ท่านโหวจะกลับมาเมื่อไร” เสนาบดีจางรีบถาม
เซ่าหมิงยวนตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเอ่ยตอบ “เอาเป็นว่าข้าจะกลับมาก่อนเที่ยงแน่”
เจาเจาเดินทางรอนแรมมาหลายวัน คงตื่นเช้าไม่ไหวเป็นแน่ ราวๆ ตอนเที่ยงน่าจะเหมาะสมแล้ว
“ตอนเที่ยง? นี่…นี่จะช้าเกินไป…”
ชายหนุ่มชายตามองเสนาบดีจางอย่างเฉยเมย เขาย้อนถามว่า “ใต้เท้ายังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่”
เสนาบดีจางโดนถามก็พูดไม่ออก
“ใต้เท้าทั้งสาม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เสนาบดีจางมองดูเซ่าหมิงยวนลับร่างไปตรงหน้าประตูตาปริบๆ แล้วหันไปหาโค่วสิงเจ๋อ “เสนาบดีโค่ว นี่…”
โค่วสิงเจ๋อไม่อยากให้ผู้อื่นดูแคลนตนในเรื่องสายสัมพันธ์กับกวนจวินโหว แม้นในใจจะไม่มั่นใจแต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า เขากล่าวขึ้นเพียง “ท่านโหวรู้ดีว่าควรทำอย่างไร เสนาบดีจางวางใจเถอะ”
“เสนาบดีโค่ว เสนาบดีจาง ในเมื่อกวนจวินโหวบอกว่ามีวิธีแล้ว ข่าวที่ว่าการกรมอาญาเกิดเพลิงไหม้จำเป็นต้องปกปิดไว้อย่างมิดชิด” ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยเตือนขึ้น
โค่วสิงเจ๋อกับเสนาบดีจางผงกศีรษะพร้อมกัน จากนั้นทั้งสามก็เดินออกนอกห้องไป
ผืนราตรีกาลข้างนอกมืดมิด หมู่ดาวพากันหลบลี้หนีหายไป เสียงกีบเท้าม้าย่ำไปตามถนนศิลาเขียวแข็งเย็นดังกุบๆ กับๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
เซ่าหมิงยวนพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปในจวน
เฉียวโม่ตื่นแล้วและกำลังรอคอยอยู่ข้างในอย่างเหนือความคาดหมาย
“ไฉนพี่เฉียวโม่ตื่นขึ้นมาแล้ว” เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ
เฉียวโม่หยักยิ้ม เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ “คดีเกิดปัญหาอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกของสกุลเฉียว เมื่อเห็นว่ามีความหวังจะได้สะสางความแค้นใหญ่หลวงของคนในครอบครัว เขาจะนอนหลับอย่างสงบสุขได้เช่นไร
เฉียวโม่จับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ทุกเวลา เขาสังเกตเห็นเซ่าหมิงยวนออกจากจวนกลางดึกก็กระวนกระวายใจแต่แรก เพียงว่าเขาเป็นคนสุขุมหนักแน่น ย่อมไม่เผยความรู้สึกออกมาต่อหน้าคนรอบข้าง
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วก็พยักหน้า “เจอเหตุไม่คาดคิดเล็กน้อย”
เฉียวโม่ลอบกำมือเป็นหมัดแน่น
เซ่าหมิงยวนเป็นห่วงว่าเฉียวโม่จะร้อนใจก็ไม่อมพะนำ รีบบอกอย่างตรงไปตรงมา “ที่ว่าการกรมอาญาเกิดไฟไหม้ตอนกลางดึก มีพวกบันทึกโดนเผาไปไม่น้อยรวมถึงสมุดบัญชีที่เป็นหลักฐานสำคัญสองเล่มนั้นด้วย”
เฉียวโม่อึ้งงันไป เขาพูดพึมพำขึ้นว่า “นี่เป็นอุบัติเหตุ?”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าปึ่งชา แค่นเสียงกล่าว “ย่อมไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว จะสืบสาวราวเรื่องในเวลานี้เป็นการผิดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ดีที่เจาเจาเคยดูสมุดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับสิงอู่หยางและพ่อค้าท้องถิ่นสมคบคิดกับชาววอโค่วเล่มนั้นและท่องจำเอาไว้ เมื่อเทียบกันแล้วสมุดบัญชีที่เป็นการยักยอกเบี้ยหวัดทหารอีกเล่มที่ถูกทำลายไปก็ไม่นับว่ามีความหมายอะไรนัก”
ทุกคนประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ชิงชังที่สุดมิใช่สิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหาร แต่เพราะเขาสมคบคิดกับชาววอโค่วบีบคั้นให้ชาวบ้านลุกฮือขึ้นและทหารก่อกบฏ
เฉียวโม่ได้ยินแล้วยิ้มหน้าบาน “น้องเจาท่องจำสมุดบัญชีไว้หรือ”
เซ่าหมิงยวนก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเฉียวเจา ด้วยเหตุนี้ท่านแม่ทัพผู้สุขุมลุ่มลึกเป็นนิจถึงกับทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวต่อหน้าพี่ชายภรรยา “ใช่ เจาเจาเก่งมาก อาศัยแสงไฟสลัวๆ พลิกอ่านรอบเดียวก็จดจำได้หมดแล้ว”
“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง..” เฉียวโม่เลิกคิ้วก่อนชายตามองเซ่าหมิงยวน เอ่ยถามอย่างมีนัยแฝงอยู่ “แสงไฟสลัวๆ หรือ”
เซ่าหมิงยวนชะงักกึก เขาคิดตามทันอย่างว่องไว แต่ยังแสร้งทำเยือกเย็นเอ่ยอธิบายขึ้น “ตอนนั้นพวกข้าไปที่จวนสกุลเฉียวตอนกลางคืนเพื่อจะได้เล็ดลอดหูตาผู้คน…”
เฉียวโม่กล่าวเอื่อยๆ “จะอย่างไรน้องเจาก็เป็นสตรี วันหน้าท่านโหวอย่าพานางไปที่ใดมาที่ใดในเวลาค่ำมืดจะดีกว่า”
ยังเรียกขานน้องเจาว่าเจาเจาด้วยหรือนี่ เรียกกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าหนุ่มนี่ที่หน้าหนาเกินไป หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนที่อยู่ไกลหูไกลตาข้า
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอทีหนึ่งแล้วรีบกล่าวรับรอง “วันหน้าไม่มีอย่างนี้อีกแล้วขอรับ”
ไว้ข้ากับเจาเจาหมั้นหมายกันแล้ว อยากพบหน้าเจาเจาก็ทำได้อย่างเปิดเผย จะรอตอนกลางคืนด้วยเหตุใดกัน
ข้าเป็นพวกที่จะบุกเข้าห้องนอนของสตรีในยามวิกาลพรรค์นั้นหรือ
เฉียวโม่ได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้ก็เม้มปาก แต่สุดท้ายมิได้ซักไซ้ต่อด้วยเห็นแก่หน้าของเฉียวเจา เขาเปลี่ยนเรื่องพูดยิ้มๆ “สมุดบัญชีอีกเล่มหนึ่ง ท่านโหวก็ไม่ต้องเป็นห่วง”
“หือ?” เซ่าหมิงยวนไม่เข้าใจความหมายของเขาในชั่วขณะ
เฉียวโม่คลายยิ้ม “สมุดบัญชีอีกเล่มหนึ่ง ข้าก็ท่องจำไว้แล้วเหมือนกัน”
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไปนานครู่หนึ่ง เขาขยับริมฝีปากทว่าไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
นี่สินะถึงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ล้วนมีความสามารถอ่านผ่านตาไม่ลืม!
ท่านแม่ทัพชักกังวลใจกับอนาคตขึ้นมากะทันหัน
ถ้าข้ากับเจาเจาให้กำเนิดบุตรแล้วความจำไม่ดีเช่นนี้…อย่างนั้นก็ต้องเหมือนข้าแน่นอนน่ะสิ!
จู่ๆ ก็รู้สึกกดดันเหลือเกิน ทำฉันใดดี
ท่านแม่ทัพลอบขยุ้มผมตนเองที่มุมหนึ่งอย่างกลัดกลุ้ม
“ข้าจะเขียนสมุดบัญชีออกมาเดี๋ยวนี้เลย ส่วนทางน้องเจา…”
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมา เขาพูดอย่างไม่ลังเลใจ “รอฟ้าสางแล้วข้าค่อยส่งสารไปให้เจาเจา”
เฉียวโม่ใคร่ครวญแล้วผงกศีรษะ “ก็ดี น้องเจากำลังอยู่ในช่วงเจริญวัย จะอดนอนไม่ได้”
ความสูงของน้องเจาในตอนนี้ช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วคุณชายเฉียวก็เริ่มพึงพอใจเจ้าหนุ่มตัวเหม็นตรงหน้าที่จับจ้องน้องสาวตนตาเป็นมัน
ดีชั่วยังจำได้ว่าต้องให้น้องสาวเขาได้นอนมากๆ น่าจะเป็นคนที่รู้จักรักใคร่ทะนุถนอมผู้อื่น
“พี่เฉียวโม่สวมเสื้อคลุมหนาๆ สักตัว ข้างนอกอากาศหนาว” เซ่าหมิงยวนพลันเอ่ยขึ้น
เฉียวโม่มองเขาด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง
“สมุดบัญชีเป็นหลักฐานสำคัญ ข้าจะพาท่านไปที่ที่ว่าการกรมอาญาเขียนออกมาต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของสามตุลาการเลย”
เซ่าหมิงยวนพูดอย่างอ้อมค้อม แต่เฉียวโม่กระจ่างแจ้งแก่ใจ
คดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวใกล้จะรื้อฟื้นขึ้นไต่สวนใหม่แล้ว ถ้าหมอเทวดาหลี่รักษาใบหน้าของเขาหายได้ เขาต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับฮุ่ยซื่อในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอย่างแน่นอน และถ้าสอบผ่านได้สำเร็จ เขาจะก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว
ผู้บังคับบัญชาของสามตุลาการเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ให้สามคนนี้ได้เห็นค่าของเขาในเวลานี้และติดค้างน้ำใจนี้ไว้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกรุยทางเข้าสู่คณะขุนนางในภายภาคหน้าอย่างไร้ข้อกังขา
สีหน้าของเฉียวโม่เป็นปกติดังเก่า หากในใจกลับรู้สึกประหลาดใจ เขามิได้ประหลาดใจเรื่องอื่นใด แต่เป็นความคิดอ่านในเรื่องนี้ของเซ่าหมิงยวน
น้องเขยผู้นี้ของเขาผิดแผกแตกต่างจากทหารนักรบในสายตาคนใต้หล้าจริงๆ
มาตรว่าคนในครอบครัวต้องพบกับโศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝันอย่างน่าอเนจอนาถ มิหนำซ้ำยังได้รับรู้ถึงความเหลวไหลไร้เหตุผลและความเลือดเย็นของโอรสสวรรค์พระองค์นี้ กระนั้นเฉียวโม่หาได้พรั่นกลัวหรือหลีกหนีจากราชสำนักไม่
เขาเป็นบุตรชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของสกุลเฉียว แวดวงขุนนางจะโหดเหี้ยมอำมหิตปานใด เขาก็จำเป็นต้องเดินไปตามเส้นทางสายนี้ จะได้กอบกู้วงศ์ตระกูลขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นที่กำบังลมฝนให้น้องสาวสองคน
ร่างกายของเฉียวโม่อ่อนแอ เขาสวมเสื้อคลุมกันหนาวขนเตียว* แล้วรุดไปที่ที่ว่าการกรมอาญาพร้อมกับเซ่าหมิงยวน
โค่วสิงเจ๋อเห็นเขาแล้วอึ้งงันไป “โม่เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”
สายตาของเสนาบดีจางกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายซึ่งจับอยู่ที่ซีกหน้าข้างซ้ายของเฉียวโม่แฝงรอยเสียดายอย่างบอกไม่ถูก
“พี่เฉียวโม่ท่องจำสมุดบัญชีเล่มที่ถวายให้ฮ่องเต้ไว้แล้ว”
* เตียว เป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว