หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 533
บทที่ 533
“คุณชายเฉียวท่องจำไว้?” เสนาบดีจางมองไปทางเฉียวโม่ด้วยสายตาเหลือเชื่ออยู่หลายส่วน
สมุดบัญชีมิได้จัดอยู่ในตำราสี่หมวดหลัก** แล้วเนื้อหาทั้งหมดเป็นชื่อที่ไม่รู้จักกับตัวเลข อีกทั้งไม่มีแบบแผนใดๆ ที่สามารถบอกได้ คนที่ท่องจำมันได้ ต้องมีความจำเป็นเลิศจนน่าทึ่งอย่างแท้จริง
เสนาบดีจางกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายอดมองไปทางโค่วสิงเจ๋อไม่ได้
ฉายาบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวเคยโด่งดังอย่างมากในเมืองหลวง และมีกิตติศัพท์ทัดเทียมกับบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง แต่เสียงโจษขานที่แพร่กระจายอยู่ภายนอกเพียงพูดกันว่าคุณชายเฉียวผู้นี้มีทักษะในเชิงดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพโดดเด่น ท่วงทีกิริยาสง่านุ่มนวลถอดแบบมาจากอาจารย์เฉียวจัว กระนั้นสำหรับผู้มีฐานะตำแหน่งเช่นพวกเขาต่างไม่ใคร่จะใส่ใจกับเรื่องทักษะทั้งสี่ด้านนี้สักเท่าไร ดังนั้นในกาลก่อนจึงมิได้รู้สึกว่าคุณชายเฉียวผู้นี้เป็นที่น่าจดจำอันใดนัก
ทว่าบัณฑิตที่มีความสามารถอ่านผ่านตาไม่ลืมผู้หนึ่งบ่งบอกถึงอะไรนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
โค่วสิงเจ๋อสังเกตเห็นสหายขุนนางทั้งสองมองตนอยู่ เขากระแอมกระไอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “โม่เอ๋อร์มีความจำดีเลิศจริงๆ”
แต่เขาไม่รู้ว่าจะดีถึงขั้นนี้
เขากับเฉียวจัวซึ่งเป็นบิดาของบุตรเขยมีทัศนะไม่ตรงกัน
เขาปรารถนาที่จะก้าวหน้าไปอีกขั้นในเส้นทางขุนนาง หากว่าทำไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องช่วยให้ลูกหลานเดินทางอ้อมน้อยลง
ด้านเฉียวจัวกลับคิดตรงกันข้ามพอดี ฝ่ายนั้นละทิ้งตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงอันทรงเกียรติเป็นที่นับหน้าถือตาไปออกท่องชมทิวทัศน์ธรรมชาติตั้งแต่วัยหนุ่ม นี่ก็แล้วกันไปเถิด เขายังไม่กระตือรือร้นสนใจเรื่องการสอบรับราชการของบุตรหลานแม้แต่น้อยนิด
ไม่ต้องพูดอื่นไกล สถานะบัณฑิตจวี่เหรินของเฉียวโม่ก็เป็นเขาฉวยจังหวะในวันฉลองวันเกิดกำชับกำชาบุตรสาวโดยเฉพาะ หลานชายถึงได้ไปเข้าร่วมการสอบ
เด็กผู้นี้ถึงกับมีความสามารถอ่านผ่านตาไม่ลืมหรือนี่…
โค่วสิงเจ๋อมองเฉียวโม่ด้วยสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจรู้สึกสะท้อนใจเหลือแสน
เฉียวจัวปล่อยให้หยกเนื้อดีต้องสูญเปล่าไปจริงๆ นี่ถ้าเป็นหลานในสกุลของเขาล่ะก็…
แต่ถ้าเป็นหลานในสกุลของข้าก็ไม่มีทางมีความจำเป็นเลิศเยี่ยงนี้… พอความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวกะทันหัน พาให้เขาคับอกคับใจระลอกหนึ่ง
“เช่นนั้นก็ขอให้คุณชายเฉียวเขียนสมุดบัญชีออกมาโดยไวเถอะ” แม้จะได้ยินโค่วสิงเจ๋อบอกอย่างนี้ เสนาบดีจางก็ยังลอบแคลงใจ เขาจึงอดเอ่ยเร่งไม่ได้
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเสนาบดีจางอย่างปึ่งชา ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ใต้เท้าจางอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ารบกวนพี่ชายภรรยาให้ตื่นนอนในยามนี้ อย่างไรควรต้องให้เขาได้ดื่มน้ำชาร้อนๆ สักถ้วยกระมัง”
เสนาบดีจางพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “จริงของท่านโหว คุณชายเฉียว ท่านดื่มน้ำชาก่อน เรื่องสมุดบัญชีอีกสักครู่ค่อยว่ากัน”
เขาใจร้อนไปชั่ววูบ คิดว่าเดิมทีสกุลเฉียวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เฉียวโม่มาช่วยเหลือก็ชอบด้วยประการทั้งปวง แต่ท่าทีของกวนจวินโหวเตือนสติเขา
สกุลเฉียวเป็นเจ้าทุกข์ การที่สมุดบัญชีโดนเผาทำลาย ฮ่องเต้มีแต่จะเห็นอกเห็นใจชาวสกุลเฉียวมากขึ้น ส่วนคนที่เคราะห์ร้ายคือพวกเขา
เฉียวโม่วางท่านอบน้อม กล่าววาจาอย่างไม่โอหังไม่เจียมตน “ใต้เท้าทั้งหลายร้อนใจ ข้าก็ร้อนใจเฉกเดียวกัน ประเดี๋ยวข้าเขียนสมุดบัญชีจากความจำเสร็จแล้วค่อยดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนทุกท่าน”
เสนาบดีจางฟังแล้วประทับใจในตัวเฉียวโม่มากขึ้นหลายส่วน เขาพยักหน้าหงึกหงักพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ลำบากคุณชายเฉียวแล้ว”
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดพลันกล่าวทอดถอนใจ “ข้ากับบิดาท่านปฏิบัติงานมาด้วยกันหลายปี กลับไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยเรื่องของคุณชายเฉียว บัดนี้ดูไปแล้วบิดาท่านถ่อมตนเหลือเกิน”
สีหน้าของเฉียวโม่ฉายแววหม่นเศร้า “ยามอยู่เรือนน้อยครั้งนักที่บิดาผู้ล่วงลับของข้าจะพูดคุยถึงเรื่องในราชสำนัก ดูทีว่าอยู่ข้างนอกก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน”
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายผงกศีรษะ “คุณชายเฉียวเชิญเถอะ”
โต๊ะหนังสือไม้พะยูงกว้างใหญ่มีหมึก พู่กัน แท่นฝนหมึก และกระดาษวางเรียงไว้ เฉียวโม่นั่งลงด้านข้าง นิ่งคิดครู่เดียวก็ยกพู่กันขึ้นเริ่มเขียน
นอกจากเซ่าหมิงยวนอีกสามคนต่างเข้าไปล้อมวงดูอย่างห้ามใจไม่อยู่ เห็นอักษรตัวบรรจงขนาดเล็กลายเส้นทรงพลังเฉียบขาดปรากฏโลดแล่นบนแผ่นกระดาษตัวแล้วตัวเล่าโดยไม่หยุดชะงักแม้สักนิด
เสนาบดีจางเห็นชื่อคนสองสามชื่อแรกบนกระดาษแล้วหว่างคิ้วกระตุกคราหนึ่ง เขาอดหันหน้าไปมองข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ได้
สมุดบัญชีสองเล่มที่โดนไฟไหม้มีความสำคัญมิใช่น้อย หลังพวกเขาได้มาไว้ในมือต่างเคยพลิกอ่านมาแล้ว ถึงเป็นไปไม่ได้ที่จะท่องจำไว้ แต่ยังพอจดจำสองสามชื่อแรกได้รางๆ
เฉียวโม่ท่องจำเอาไว้จริงๆ หรือนี่!
พวกเขาสบตากัน รอยวิตกกังวลในนั้นเพิ่งจางหายไปในเวลานี้
โค่วสิงเจ๋อมองดูอยู่เฉยๆ นานครู่หนึ่งถึงหันไปมองเซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “ใต้เท้าทั้งสาม พวกเราออกไปก่อนเถอะ จะได้ไม่รบกวนพี่เฉียวโม่ทบทวนความจำเขียนออกมา”
พวกเขาเดินออกไปโค่วสิงเจ๋อถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “น่าเสียดายส่วนที่โม่เอ๋อร์ท่องไว้เป็นสมุดบัญชียักยอกเบี้ยหวัดทหารเล่มนั้น”
ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าเล่มที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญอย่างแท้จริงเป็นอีกเล่มหนึ่ง
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยปากขึ้น “ยังดีที่เป็นเพราะเจ้าคนบัดซบพวกนั้นสมรู้ร่วมคิดกัน คนที่เอื้อมมือแตะเบี้ยหวัดทหารก็หนีความผิดฐานสมคบชาววอโค่วไม่พ้นเหมือนกัน”
เสนาบดีจางส่ายหน้าถอนใจเฮือก “แต่ไม่มีสมุดบัญชี ก็ทำได้เพียงตัดสินโทษเรื่องยักยอกเบี้ยหวัดทหารเท่านั้น อย่างไรก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี”
พวกเขาล้วนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“หรือว่าเชิญผู้ตรวจการสิงมาเถอะ เขาเป็นคนเขียนสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม บางทีอาจยังจำได้บ้าง”
“เช่นนั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คน” เซ่าหมิงยวนปริปากพูดอย่างสงบนิ่ง
อีกสามคนพากันมองไปทางเขา
“ต่อให้ผู้ตรวจการสิงจำเนื้อความในสมุดบัญชีได้สามสี่ส่วนแบบถูๆ ไถๆ แต่ใครเล่าจะยอมรับสมุดบัญชีที่กะพร่องกะแพร่งไม่สมบูรณ์อย่างนี้ พวกเขาสามารถกล่าวอ้างได้เต็มปากว่าเวลาผ่านไปนานเกินไป ผู้ตรวจการสิงจำผิดแล้ว”
“นั่นสิ สมุดบัญชีสองเล่มพัวพันกับขุนนางแทบจะทั้งเขตฝูตง หากพวกเขายืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับจริงๆ ไม่ว่าใครก็หมดปัญญา” เสนาบดีจางกล่าวพึมพำ
“ใต้เท้าทั้งสามปกปิดข่าวเรื่องไฟไหม้ที่ว่าการไว้แล้วกระมัง”
โค่วสิงเจ๋อพยักหน้า “ไฟไหม้กินบริเวณไม่มาก แค่ห้องปฏิบัติงานห้องนั้น อีกทั้งไฟไหม้ไม่นานก็ดับได้ทันที แทบจะไม่มีอะไรเสียหายยกเว้นสมุดบัญชีกับบันทึกต่างๆ ส่วนคนที่เข้ามาช่วยดับไฟก็ถูกสั่งกำชับไว้แล้ว ไม่มีทางแพร่งพรายออกไป”
“อย่างนี้เรื่องก็ง่ายขึ้น ใต้เท้าทั้งสามทำสมุดบัญชีขึ้นใหม่ให้เหมือนเล่มเดิมเท่านั้นเป็นพอ”
ทั้งสามทำสีหน้างุนงง
“ข้าจะเชิญผู้ตรวจการสิงมา เมื่อพี่เฉียวโม่เขียนเสร็จ ผู้ตรวจการสิงค่อยคัดลอกอีกรอบก็เรียบร้อย”
และเพื่อความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง เซ่าหมิงยวนเตรียมการให้พาผู้ตรวจการสิงมาอยู่ในจวนกวนจวินโหวหลังจากฟ้ามืดแล้ว
เสนาบดีจางตาเป็นประกาย เขาตบมือเอ่ยขึ้น “เช่นนี้ดีที่สุด”
สมุดบัญชีสองเล่มเป็นผู้ตรวจการสิงเขียนขึ้นแต่แรก ขอเพียงเนื้อหาไม่เปลี่ยนแปลง เขาคัดลอกใหม่อีกรอบผู้ใดจะจับผิดได้
ปกตินี่เป็นเรื่องง่ายดายมาก แต่เพราะจิตใจของพวกเขาหนักอึ้งเกินไป ถึงไม่ทันคิดในชั่วครู่ชั่วยาม
“แต่สมุดบัญชีอีกเล่ม…” ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายมองไปทางเซ่าหมิงยวนอย่างลังเล
ถึงเวลานี้แล้วเขาเริ่มเชื่อมั่นว่ากวนจวินโหวหนุ่มผู้นี้จะต้องมีวิธีที่พวกเขาคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “สำหรับสมุดบัญชีอีกเล่มหนึ่ง ข้าคิดหาหนทางเอง และจะให้คำตอบแก่ใต้เท้าทั้งสามก่อนยามเที่ยงแน่”
“เช่นนั้นก็ไหว้วานท่านโหวแล้ว”
ตอนออกจากที่ว่าการกรมอาญามาเดินอยู่กลางถนน ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรื่อๆ แล้ว
เซ่าหมิงยวนสั่งองครักษ์ที่รออยู่ด้านนอกให้กลับไปเชิญผู้ตรวจการสิงที่จวนกวนจวินโหว ส่วนตนเองหันหัวม้าตรงดิ่งไปยังเรือนที่อยู่ติดกับจวนสกุลหลี
ในเรือนหลังไม่ใหญ่มีองครักษ์สองคนเฝ้าอยู่ พื้นเรือนถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปกลับบังเกิดความรู้สึกคล้ายกลับถึงเรือน
เขามองไปทางจวนสกุลหลีแล้วแย้มยิ้ม จากนั้นพูดกำชับองครักษ์คำหนึ่งก่อนล้มตัวลงนอน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเศษองครักษ์ส่งเสียงเบาๆ ปลุกเขา “ท่านแม่ทัพ ถึงยามเฉิน* แล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนเด้งตัวขึ้นเปิดหน้าต่างออก ลมหนาวเย็นเฉียบพัดเข้ามา ผืนฟ้าข้างนอกสว่างจ้าแล้วจริงๆ
เขามิได้รีบร้อนส่งข่าวถึงเฉียวเจา แต่บรรจงล้างหน้าบ้วนปาก โกนไรขนเขียวๆ ที่ขึ้นตรงปลายคางออกจนเกลี้ยงถึงเอ่ยสั่ง “นำนกพิราบสื่อสารมา”
ที่จวนตะวันตกเฉียวเจากลับมาจากไปคารวะยามเช้าที่เรือนชิงซง กำลังเตรียมสำรวจเนื้อตัวให้เรียบร้อยแล้วตามเหอซื่อไปคารวะท่านเซียงจวินที่จวนตะวันออก นกพิราบสีเทาตัวหนึ่งก็บินร่อนลงมาที่ปลายเท้านาง
** ตำราโบราณของจีนแบ่งออกเป็นสี่หมวดหลักๆ คือ คัมภีร์สำนักขงจื่อ (ขงจื๊อ) พงศาวดาร ตำราปรัชญาของนักปราชญ์ และบทประพันธ์ร้อยกรอง
* ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น. ถึง 09.00 น.