หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 536
บทที่ 536
เฉียวเจาอดกุมถ้วยน้ำในมือแน่นขึ้นไม่ได้ นางมองบุรุษที่เอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
นางมองออกว่าเขาวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ในเดือนสิบสองไม่พึงทาบทามสู่ขอ”
เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกาย “ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเป็นอย่างไร”
“ข้ายังไม่ปักปิ่น ท่านพ่อท่านแม่ไม่แน่ว่าจะตอบตกลง”
ได้ยินเฉียวเจาเอ่ยถึงบิดามารดา เซ่าหมิงยวนวิตกกังวลยิ่งขึ้น เขาละล้าละลังครู่หนึ่งถึงไต่ถาม “เจาเจา เจ้ารู้สึกว่าเมื่อครู่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“หือ?” เฉียวเจาไม่เข้าใจในชั่วขณะว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้
เซ่าหมิงยวนถูมือไปมา “ก็…ท่านแม่ยายพึงพอใจในตัวข้ากระมัง”
เฉียวเจาปาผ้าเช็ดหน้าใส่หน้าเขา นางพูดเอ็ดขึ้นว่า “มียางอายหรือไม่ ใครเป็นท่านแม่ยายของท่าน”
พอรู้ว่าเหอซื่อไปแล้ว เซ่าหมิงยวนใจกล้าขึ้นมาทันใด เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลัก “คนใดเป็นท่านแม่ของเจ้า คนนั้นก็เป็นท่านแม่ยายของข้า”
เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนกุมมือนางแล้วรู้สึกว่าเย็นไปบ้างจึงใช้สองมือประกบไว้ถูไปถูมาเบาๆ “เจาเจา พูดจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้าวางตัวได้ดีกระมัง”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ข้ายังนึกว่าท่านใจกล้าบ้าบิ่นนะนี่ ที่แท้ก็กลัวท่านแม่ข้า”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเกิดท่านแม่ยายไม่ยอมยกเจ้าให้ข้าจะทำเช่นไร”
นางถอนใจเฮือกหนึ่ง “เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานออกเรือนต้องเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักพาของแม่สื่อ ท่านถามข้า ข้าจะรู้ที่ใดกันว่าควรทำฉันใดดี”
เขาฟังแล้วนิ่งงันไปก่อนจะยกมือขึ้นถูๆ หน้าพลางกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “ความหมายของเจ้าคือท่านแม่ยายไม่พึงพอใจข้าหรือ”
นางปรายตามองเขา “ถ้าท่านมีบุตรสาวที่ยังไม่ปักปิ่นแล้วมีเจ้าหนุ่มใจกล้าบ้าบิ่นผู้หนึ่งถูกตาต้องใจนางจนแอบซื้อเรือนติดกับเรือนท่านเพื่อจะได้ลักลอบพบกันได้สะดวก ท่านจะทำอย่างไร”
นัยน์ตาของท่านแม่ทัพทอประกายอำมหิตวูบหนึ่ง เขาพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะถลกหนังเจ้าหนุ่มนั่น”
เฉียวเจาไม่พูดอะไรอีก นางมองชายหนุ่มที่อึ้งไปยิ้มๆ
เซ่าหมิงยวนถูหน้าตนเองแรงๆ “จบกัน!”
เขาคับข้องใจอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวอย่างแข็งขืน “แต่เรือนด้านข้างเรือนเราเป็นจวนของชินอ๋อง ไม่มีคนซื้อได้…”
จวนกวนจวินโหวตั้งอยู่ในละแวกใกล้ๆ กับเขตพระราชฐาน เป็นคฤหาสน์ที่โอรสสวรรค์พระราชทานให้ แสดงถึงความมีเกียรติยศผิดจากผู้อื่นของกวนจวินโหว
เฉียวเจาไม่เย้าแหย่เขาต่อ “เอาล่ะ เรื่องของพวกเราไว้ค่อยว่ากันอีกทีปีหน้าเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อน ท่านนำสมุดบัญชีเล่มนี้ไปส่งได้แล้ว ถ้ามีเรื่องอื่นอีกจะส่งข่าวถึงข้าได้ทุกเมื่อ”
เซ่าหมิงยวนรับสมุดบัญชีไว้อย่างห่อเหี่ยวใจ ใครบอกว่าไม่รีบร้อน เขาอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ!
ภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีกลายเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ซ้ำต้องค่อยๆ รอนางเจริญวัยนั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะเอื้อนเอ่ยบอกคนนอกให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาไปส่งถึงที่หน้าประตูใหญ่ เขายกมือแตะแก้มนางเบาๆ ทีหนึ่ง พูดกำชับเสียงนุ่ม “กลับไปพักผ่อนให้มากๆ มีเรื่องใดก็ให้เฉินกวงมาหาองครักษ์ที่อยู่เฝ้าเรือนด้านข้างได้”
“รู้แล้ว ท่านรีบไปเถอะ เรื่องงานสำคัญกว่า”
เฉียวเจายืนอยู่ข้างต้นซิ่งมองดูชายหนุ่มพลิกกายขึ้นหลังม้าก่อนควบตะบึงหายลับไปตรงปากตรอกอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวแล้วถึงหมุนกายกลับเข้าจวนสกุลหลี
ตอนเซ่าหมิงยวนรุดกลับไปถึงที่ว่าการกรมอาญาเป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว ขุนนางคนสำคัญสามคนในห้องหนังสือต่างชะเง้อคอรอคอยเขากลับมาจนไม่มีแก่ใจกินอาหาร
พอเห็นร่างของเซ่าหมิงยวนปรากฏที่หน้าประตู พวกเขาต่างลุกขึ้นเดินเข้าไปหาทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เซ่าหมิงยวนยื่นสมุดบัญชีที่กำจายกลิ่นหอมของหมึกส่งให้
โค่วสิงเจ๋อรับมาเปิดดู ตัวอักษรเล็กๆ เป็นระเบียบสละสลวยร้อยเรียงกันอยู่บนกระดาษอย่างมีชีวิตชีวา
เขามองไปทางเซ่าหมิงยวนอย่างอดใจไม่อยู่
ชายหนุ่มยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าเขาเรียบเฉยจนจับร่องรอยพิรุธใดๆ ไม่ออก
โค่วสิงเจ๋ออ่านจบแล้วส่งสมุดบัญชีต่อให้เสนาบดีจางที่อยู่ด้านข้าง
เสนาบดีจางพลิกไปที่หน้าหน้าหนึ่ง ชี้ที่ชื่อคนผู้หนึ่งพลางกล่าว “ข้าจดจำคนผู้นี้ได้ นายกองร้อยเล็กๆ คนหนึ่งรับสินบนถึงห้าร้อยตำลึง เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ”
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายนึกขึ้นได้เช่นกัน เขากล่าวยิ้มๆ “ข้าก็จดจำคนผู้นี้ได้ ตอนนั้นใต้เท้าจางดูปราดเดียวก็เห็นชื่อของเขาถึงจดจำได้อย่างแม่นยำกระมัง”
นายกองร้อยที่จดบันทึกไว้ในสมุดบัญชีมีชื่อเดียวกับเสนาบดีจาง ยามนั้นเขาก็สบถคำหนึ่งว่า ‘อัปมงคล’ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นจุดสำคัญในการตรวจทานสมุดบัญชีในเพลานี้ไปเสียแล้ว
“แม้แต่เลขลำดับหน้าและตำแหน่งที่จดบันทึกไว้ล้วนเหมือนกันทุกประการเชียวหรือนี่ ท่านโหว ข้าสนใจใคร่รู้อยู่บ้างจริงๆ ว่าบัญชีเล่มนี้ได้มาจากมือผู้ใดกัน” เสนาบดีจางเอ่ยอย่างทึ่งๆ
เซ่าหมิงยวนพูดตามตรง “ได้สมุดบัญชีจากมือผู้ใดหาได้สำคัญไม่ ที่สำคัญคือสามารถคลี่คลายปัญหาให้ใต้เท้าทั้งสามได้ เสนาบดีจาง ท่านว่าจริงหรือไม่”
เสนาบดีจางล้มลุกคลุกคลานอยู่ในแวดวงขุนนางมานาน สามารถไต่เต้ามาถึงตำแหน่งเสนาบดีศาลยุติธรรมได้ย่อมมิใช่ชั้นสามัญแน่นอน เขาจับน้ำเสียงแฝงรอยตักเตือนจางๆ ของเซ่าหมิงยวนได้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะซักไซ้
คนที่เขียนสมุดบัญชีออกมาจะเป็นใครมาจากที่ใดก็ช่าง ไม่ทำให้การสืบคดีของพวกเขาล่าช้าถึงจะสำคัญที่สุด
“สมุดบัญชีอีกเล่ม พี่ชายภรรยาข้าเขียนออกมาแล้วใช่หรือไม่”
โค่วสิงเจ๋อหยักยิ้มเอ่ยตอบ “เล่มนั้นหนากว่า โม่เอ๋อร์น่าจะใกล้เขียนเสร็จแล้ว”
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไรเฉียวโม่ก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ
ใบหน้าและดวงตาของเขาฉายแววอ่อนล้าอย่างปิดไม่มิด แต่สีหน้าท่าทางกลับสงบเยือกเย็นขณะถือสมุดบัญชีเล่มหนาๆ ด้วยสองมือมอบให้โค่วสิงเจ๋อ “เสนาบดีโค่ว ท่านลองอ่านดูขอรับ”
โค่วสิงเจ๋อพลิกเปิดผ่านๆ รอบหนึ่งแล้วเอ่ยกับอีกสองคน “อย่างนั้นก็เชิญผู้ตรวจการสิงมาคัดลอกเถอะ”
พวกเขาพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อได้สมุดบัญชีสองเล่มไว้ในมือ ทีแรกคิดว่าอุปสรรคด่านนี้เป็นอันว่าผ่านได้แล้ว ใครจะรู้ว่าด้านผู้ตรวจการสิงกลับเกิดปัญหาขึ้น
“สมุดบัญชีเล่มเดิมหายไปแล้วจะให้ข้าคัดลอกตามที่คนอื่นเขียนออกมาจากความทรงจำหรือ” ผู้ตรวจการสิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่นศีรษะเอ่ย “เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“เหตุใดไม่ได้เล่า” สีหน้าของผู้ตรวจการทอแววประหลาดใจ
ผู้ตรวจการสิงพูดอย่างขึงขัง “สมุดบัญชีเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของขุนนางจำนวนมากจะปลอมแปลงได้อย่างไรเล่า”
“ใครปลอมแปลงกัน สมุดบัญชีสองเล่มนี้เขียนออกมาตามสมุดบัญชีของท่านทั้งหมดนะ” เสนาบดีจางกล่าวอย่างหงุดหงิดเจียนคลั่ง
“หลักฐานเล่า” ผู้ตรวจการสิงเอ่ยถาม
“หลักฐาน?”
“ใช่ บัดนี้ข้าเองยังจำเนื้อความในสมุดบัญชีทั้งสองเล่มไม่ได้ แล้วจะยืนยันได้เช่นไรว่าสมุดบัญชีที่เขียนขึ้นใหม่จากความทรงจำจะไม่ผิดพลาด”
“คือ…” เสนาบดีจางตอบคำถามนี้ไม่ได้ เขาส่งสายตาให้ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย
นี่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่าน ท่านเป็นคนจัดการดีกว่า
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “ผู้ตรวจการสิง สมุดบัญชีสองเล่มนี้เขียนออกมาตามสมุดบัญชีของท่านจริงๆ เมื่อครู่นี้พวกข้าตรวจทานดูแล้ว ไม่มีปัญหาใด ทางฮ่องเต้ยังทรงรอผลการสืบคดีของพวกเราอยู่ ท่านก็เร่งมือคัดลอกสมุดบัญชีใหม่อีกรอบโดยไวเถอะ”
ผู้ตรวจการสิงถามขึ้นอย่างงงงัน “ตรวจทานอย่างไรหรือ ข้าเป็นคนเขียนเองยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสมุดบัญชีสองเล่มนี้มีส่วนที่จำผิดหรือไม่ แล้วใต้เท้าทั้งสามตรวจทานได้อย่างไร”
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายถึงกับสะอึกพูดไม่ออก
เสนาบดีจางหันไปทางข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายแล้วกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจ ลอบค่อนแคะในใจว่า มิน่าใครๆ ล้วนพูดว่าคนของสำนักตรวจการนครหลวงล้วนเป็นก้อนหินในหลุมเวจ ทั้งแข็งทั้งเหม็น!
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายชักจะรักษาสีหน้าไม่อยู่ เขาเน้นเสียงหนักขึ้น “ผู้ตรวจการสิง หากท่านไม่คัดลอกสมุดบัญชี เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าความบากบั่นพยายามทั้งหมดของทุกคนจะสูญเปล่าจนสิ้น ขุนนางทุจริตคดโกงที่น่าโกรธแค้นเหล่านี้จะลอยนวลอยู่เหนืออาญาบ้านเมืองต่อไป”
“เหตุผลเหล่านี้ข้าล้วนเข้าใจดี แต่หนึ่งก็คือหนึ่ง สองก็คือสอง ทุกๆ รายชื่อที่ใต้เท้าทั้งหลายเห็นในสมุดบัญชีเกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของคนทั้งครอบครัวหรืออาจถึงขั้นคนทั้งวงศ์ตระกูล หากข้าคัดลอกสมุดบัญชีผิดๆ แล้วจะแตกต่างอันใดกับเหลือบไรพวกนั้น” ผู้ตรวจการสิงย้อนถามด้วยน้ำเสียงฉะฉาน