หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 537
บทที่ 537
“ท่าน…ท่านช่างคร่ำครึนัก!” เสนาบดีจางสะบัดแขนเสื้อด้วยความฉุนเฉียว
ผู้ตรวจการสิงไม่กล่าววาจาสักคำ แต่ท่าทีแข็งกร้าวบ่งบอกชัดทุกสิ่ง
“ใต้เท้าหลิว ท่านดู…ดู…” เสนาบดีจางมองไปทางข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายกุมขมับ เขาจะมีวิธีอะไรได้ เขาก็จนปัญญาเฉกเดียวกัน!
เมื่อครั้งที่คัดเลือกผู้ตรวจการไปที่เขตฝูตง เป็นเพราะผู้ตรวจการสองคนก่อนคนหนึ่งล้มป่วยตายกะทันหัน คนหนึ่งประสบเหตุร้ายอย่างไม่คาดฝัน ทุกคนพากันรู้สึกว่าเป็นอัปมงคล ไม่มีใครเต็มใจไป แต่ผู้ตรวจการสิงผู้นี้เป็นฝ่ายขันอาสาเอง
เขาเคยประจักษ์แจ้งในความหัวดื้อของผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้มาก่อน
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ปริปากพูดอย่างรู้จังหวะ จะได้ไม่โดนผู้ใต้บังคับบัญชาหักหน้า
บรรยากาศพลันตึงเครียดไปในพริบตา
เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้น “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ผู้ตรวจการสิงไปทำหน้าที่ของท่านเถอะ ส่วนสมุดบัญชีที่หายไปสองเล่มนั้น พวกข้าจะลองหาดูอีกที”
ผู้ตรวจการสิงปั้นหน้าตึงประสานมือคารวะคนอื่นๆ “เช่นนั้นข้าขอตัวไปสะสางงานก่อน”
พฤติกรรมชั่วร้ายนานาสารพัดซึ่งกลุ่มขุนนางที่มีสิงอู่หยางเป็นหัวหน้ากระทำไว้ในเขตฝูตง จำเป็นต้องเขียนรายงานอย่างละเอียดเป็นฎีกาถวายแก่ฮ่องเต้ ฉะนั้นยังมีงานอีกมากรอเขาอยู่
“นี่…” เสนาบดีจางมองดูผู้ตรวจการสิงที่หันหลังเดินออกไปแล้วยื่นมือไปด้วยสีหน้าหมดปัญญา
“ใต้เท้าหลิว นั่นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ท่านจะปล่อยให้เขาไปอย่างนี้หรือ”
“ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า หรือจะบีบให้เขาตาย” ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายชายตามองเสนาบดีจาง เขากล่าวเสียงแข็งเป็นเชิงเตือนสติว่า “ใต้เท้าจางอย่าลืมว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพวกนั้นพูดขัดคอกันคำเดียวก็ชอบเอาศีรษะพุ่งชนเสาฆ่าตัวตายเป็นที่สุดนะ”
เสนาบดีจางโดนโต้กลับจนไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี ได้แต่ทำหนวดกระดิกๆ
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำประการใด ท้ายที่สุดสมุดบัญชีสองเล่มนั้นต้องใช้เป็นหลักฐานสำคัญนำขึ้นถวายแก่ฮ่องเต้พร้อมกัน แต่ทั้งสองเล่มเป็นคนละลายมือกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าของปลอม ถึงเวลาพวกเราล้วนต้องศีรษะหลุดจากบ่าแล้ว!”
โค่วสิงเจ๋อฟังเสนาบดีจางกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายถกเถียงกันอยู่เงียบๆ เขาเบนสายตามองไปทางเซ่าหมิงยวน “ท่านโหวบอกกับผู้ตรวจการสิงว่าพวกเราจะไปหาสมุดบัญชีที่หายไป มีนัยความหมายพิเศษอันใดใช่หรือไม่”
ครั้นโค่วสิงเจ๋อพูดเตือนขึ้น ใต้เท้าอีกสองคนถึงหันไปมองชายหนุ่มเป็นตาเดียวกัน
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวโม่สบตากันแวบหนึ่ง
เมื่อครู่เพราะเขาสังเกตเห็นว่าเฉียวโม่ขยิบตาให้ถึงพูดรับหน้าผู้ตรวจการสิงไว้ชั่วคราว
“ใต้เท้าทั้งสาม ข้าอยากหารือกับท่านโหวสักหน่อยขอรับ” เฉียวโม่อ้าปากกล่าว
พอเห็นคนอื่นๆ จ้องมองตนอยู่ เฉียวโม่มีสีหน้าเยือกเย็นดุจเก่าราวกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับคำปฏิเสธที่เหนือความคาดหมายของผู้ตรวจการสิงแม้สักกระผีก
“ได้ พวกท่านสนทนากันในนี้เถอะ” โค่วสิงเจ๋อสองจิตสองใจครู่เดียวก็พยักหน้าตอบตกลง
ขุนนางใหญ่สามคนเดินออกไปรับลมเย็นที่ระเบียงทางเดินด้วยจิตใจหนักอึ้ง
ภายในห้องหนังสือเงียบเชียบว่างเปล่าอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหมึก
เฉียวโม่นิ่งเงียบอึดใจหนึ่งก่อนเปล่งเสียงพูด แต่กลับมิใช่เรื่องสมุดบัญชี “ข้ากับน้องเจาเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน อายุห่างกันเพียงสองปี ถึงแม้ข้ากับนางจะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน เพราะน้องเจาติดตามท่านปู่ไปปลีกวิเวกอยู่ที่จยาเฟิงตั้งแต่วัยเยาว์ ทว่ามีความชอบหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันจนน่าประหลาด…”
เซ่าหมิงยวนรับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ขัดจังหวะ
ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับเจาเจา เขาอยากรู้ทั้งนั้น
เฉียวโม่พูดไปถึงตอนท้ายแล้วมองเซ่าหมิงยวนอย่างพินิจ “ท่านโหว น้องเจาเคยเอ่ยกับท่านหรือไม่ว่าพวกข้าทั้งคู่ต่างเชี่ยวชาญการเลียนแบบลายมือผู้อื่น”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “เจาเจาไม่เคยเอ่ยถึง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยักยิ้ม “เจาเจาไม่ใช่คนช่างอวด”
เฉียวโม่เหยียดยิ้มมุมปาก เขาอุตส่าห์เป็นห่วงว่าเซ่าหมิงยวนจะวางหน้าไม่สนิท ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับสรรหาเหตุผลได้เก่งนัก
“ถ้าวางตัวหนังสือลายมือของผู้ตรวจการสิงไว้ตรงหน้า และให้เวลาข้ากับน้องเจาหนึ่งวัน พวกข้าสามารถเลียนแบบได้คล้ายคลึงแปดส่วน ถ้าให้เวลาพวกข้าสามวันจะสามารถทำได้ถึงขั้นแยกของจริงของปลอมได้ยาก”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วอัศจรรย์ใจสุดจะกล่าว ผู้ได้รับพรวิเศษจากสวรรค์นั้นมีอยู่จริงๆ ภรรยาของเขากับพี่ชายนางล้วนเป็นคนในจำพวกนี้
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้แม่ทัพหนุ่มถูๆ ใบหน้าอย่างหนักอกหนักใจ
รู้สึกกดดันมากขึ้นอีกแล้วทำอย่างไรดี ถ้าลูกๆ ของข้ากับเจาเจาไม่ฉลาดก็ต้องเหมือนข้าแน่นอนแล้ว…
“ท่านโหว?” เฉียวโม่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนตรงหน้าทำหน้าม่อยกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมา กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “พี่เฉียวโม่มีความสามารถล้ำเลิศน่าทึ่ง ข้าเลื่อมใสจริงๆ”
คุณชายเฉียวจับน้ำเสียงคลับคล้ายปากไม่ตรงกับใจได้หลายส่วนอย่างไร้สาเหตุ เขามองอีกฝ่ายอย่างหลากใจแล้วกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “ไม่ว่าข้าหรือว่าน้องเจาต่างเลียนแบบลายมือของผู้ตรวจการสิงเพื่อคัดลอกสมุดบัญชีสองเล่มนั้นได้ กระนั้นข้าไม่แน่ใจว่าทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่…”
อันที่จริงสิ่งที่เขาได้รับการอบรมสั่งสอนมาทำให้เขาแจ่มแจ้งแก่ใจดีว่าวิธีนี้หาใช่การกระทำของวิญญูชนไม่ แต่สมุดบัญชีสองเล่มนั้นสำคัญเหลือเกิน สำคัญจนกระทั่งเขายินยอมละทิ้งหลักการที่ยึดมั่นบางอย่างไป
“พี่เฉียวโม่ไม่ต้องคิดมาก ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างปราศจากความลังเล
เฉียวโม่มองเขาด้วยแววตาล้ำลึก
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้มอย่างสบายอารมณ์มากราวกับว่าความลังเลของเฉียวโม่มิใช่ปัญหาที่ควรค่าให้กลัดกลุ้มแต่อย่างใด “มีบางเรื่องที่ผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการ สนามรบเป็นเช่นนี้ แวดวงขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงพวกเรารู้ว่าถูกต้อง เช่นนั้นก็คุ้มค่าที่จะทำ มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่จำเป็นต้องถอยหนี!”
ดวงตาของเฉียวโม่ไหววูบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนคลี่ยิ้มพลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เขากล่าวเสียงเบาว่า “ใครๆ ล้วนอยากยึดถือวิถีแห่งวิญญูชนไว้ ใจซื่อมือสะอาด แต่ใต้หล้านี้มีเรื่องมากมายที่มักต้องมีใครสักคนลงมือทำ”
เฉียวโม่ตะลึงพรึงเพริดอยู่ในใจราวกับเป็นคราครั้งแรกที่รู้จักชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้
เซ่าหมิงยวนอายุน้อยกว่าเขาสองปี แต่เป็นแม่ทัพผู้มิเคยพ่ายศึกนามกระเดื่องทั่วแผ่นดิน เป็นกวนจวินโหวที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง มีคนมากมายอิจฉาชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธา แต่ก็มีคนมากมายเช่นกันที่ก่นด่าเขาลับหลังว่าเลือดเย็นไร้ความปรานี ยิงธนูสังหารภรรยาตนเองเพื่อสร้างความดีความชอบ
ผู้คนใต้หล้ามักตกอยู่ในความไม่รู้ ใครกล่าวอะไรก็กล่าวตามกัน บางครั้งอยากทำลายชื่อเสียงของคนคนหนึ่ง เพียงเพราะต้องการคนไม่กี่คนที่อยู่ว่างๆ พูดคุยคลายเหงากันในวงสุราเท่านั้นก็เป็นพอ
เขานึกมาโดยตลอดว่าเซ่าหมิงยวนก้าวมาถึงจุดนี้ได้เพราะอาศัยเลือดนักสู้เต็มตัว บัดนี้กลับค้นพบว่าคนผู้นี้คิดอ่านได้ปรุโปร่งกว่าคนส่วนใหญ่
จอมทัพผู้หนุ่มแน่นที่สุดของต้าเหลียงผู้นี้บุกบั่นไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญเพราะมองได้ชัดเจนถึงมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว
เฉียวโม่ยื่นมือไปตบบ่าเซ่าหมิงยวนเบาๆ พลางพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง ข้ารู้ว่าสมควรทำอย่างไรแล้ว”
เซ่าหมิงยวนกลับโคลงศีรษะยิ้มๆ “เรื่องนี้ท่านทำไม่ได้”
คราวนี้เป็นทีเฉียวโม่งุนงงไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาเขาทอแววฉงนใจ
“หากหมอเทวดาหลี่รักษาบาดแผลบนใบหน้าท่านหายดีแล้ว ท่านคงเข้าร่วมการสอบรับราชการปีหน้ากระมัง”
“ใช่” เฉียวโม่ขมวดคิ้ว เขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว
“ถ้าพี่เฉียวโม่อยากก้าวไกลในเส้นทางขุนนางจะให้คนรู้ว่าท่านเชี่ยวชาญการเลียนแบบลายมือผู้อื่นไม่ได้”
คนที่เลียนแบบลายมือผู้อื่นได้คนหนึ่ง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใดจะกล้าใช้งานผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้
เฉียวโม่นิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ข้าจะไปหาเจาเจา”
เฉียวโม่รั้งเขาไว้ “น้องเจาเป็นสตรี ข้าจะวางตัวอยู่วงนอก แต่กลับดึงนางเขามาพัวพันได้เช่นไร”
“พี่เฉียวโม่ ข้ารู้ความคิดของเจาเจา ถ้าปล่อยให้ท่านออกโรงจริงๆ นางต้องโกรธแน่”
เฉียวโม่ขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ถอนใจเฮือกหนึ่ง