หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 541
บทที่ 541
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเรียบเฉย “ท่านย่าไม่อยากเห็นคุณหนูสกุลหลีทำให้ชื่อเสียงของเจ้าพลอยมัวหมองไปด้วย”
ดวงตาของโค่วจื่อโม่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่ากล่าวคำนี้มีความหมายใดเจ้าคะ”
“สตรีนางหนึ่งคลุกคลีกับชายหนุ่มหลายคนทุกเช้าค่ำนานหลายเดือน จะมีชื่อเสียงดีๆ อะไรได้”
“แต่คุณหนูหลีเดินทางไปทิศใต้ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเปล่งเสียงหัวเราะ “อยู่ข้างนอกทุกคนย่อมไม่พูดอะไรมาก ท่านย่าก็แค่เตือนเจ้าลับหลัง คุณหนูสกุลหลีจวนจะปักปิ่นแล้วรอมร่อ ถึงเวลาเจ้าลองดูได้ว่าจะมีคนไปสู่ขอหรือไม่”
นางไม่เห็นพ้องกับถ้อยคำของท่านย่าของตนอยู่มาก “หลานเห็นว่าคุณหนูหลีประพฤติตนเป็นกุลสตรี มิใช่คนที่จะไปตามพัวพันใคร…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียปรายตามองหลานสาวอย่างปึ่งชา “เป็นกุลสตรี? หากเป็นกุลสตรี เหตุใดจวนหลิวซิ่งโหวถึงรีบจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้อย่างฉุกละหุกด้วยเล่า”
หญิงชราพูดพลางเลื่อนเทียบเชิญเรียบง่ายหรูหราใบหนึ่งไปตรงหน้าหลานสาว
โค่วจื่อโม่มีสติปัญญาเฉียบไว นางตรึกตรองเล็กน้อยก็เข้าใจความหมายของท่านย่าตน
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียจ้องมองหลานสาวคนโตนิ่งๆ ด้วยสายตาล้ำลึก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตักเตือน “ยามนี้คนที่ได้รับเทียบใบนี้ทั้งเมืองหลวงล้วนรู้ว่าคุณหนูสกุลหลีไปพัวพันกับซื่อจื่อจวนหลิวซิ่งโหว ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารีบร้อนออกเทียบเชิญเป็นการใหญ่ จะจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้คัดเลือกคู่ครองให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนน่ะสิ”
พอเห็นหลานสาวมีสีหน้านิ่งเรียบดุจผิวน้ำ ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเอ่ยสอนสั่งอย่างปรารถนาดี “ท่านย่ามิใช่คนที่ถือยศถือศักดิ์พรรค์นั้น และไม่ได้มีความคิดดูแคลนคุณหนูสกุลหลีเพราะนางมีชาติตระกูลสามัญ แต่ก่อนเจ้าเชิญนางมาที่จวนก็มิได้ห้ามปราม แต่ตอนนี้ท่านย่าเห็นเจ้าคบค้าสมาคมกับนางต่อไปไม่ได้แล้ว จื่อโม่เอ๊ย เจ้าลองตรองดู ยามนี้ชื่อเสียงคุณหนูสกุลหลีเป็นอย่างนี้ไปแล้ว หากพวกฮูหยินเหล่านั้นรู้ว่าเจ้าสนิทสนมกับนางจะมองเจ้าเช่นไร ตอนนี้เป็นช่วงที่พูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงานของเจ้าอยู่นะ”
โค่วจื่อโม่เม้มปากไม่กล่าววาจาใด
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเลิกคิ้วขึ้น “จื่อโม่ คำพูดของท่านย่าเจ้าฟังเข้าหูแล้วหรือไม่กันแน่ หรือเจ้าอยากเป็นเช่นคุณหนูสกุลหลีที่เป็นหญิงแก่ทึนทึกไม่ได้ออกเรือนไปตลอดชีวิต”
โค่วจื่อโม่ยิ้มขื่นๆ ในใจ หากไม่ได้แต่งงานกับญาติผู้พี่ ข้าขอยอมเป็นหญิงแก่ทึนทึกไปตลอดชีวิต
แต่นางเป็นสตรีนางหนึ่งไม่มีหน้าเอ่ยคำนี้กับผู้อาวุโสได้
“จื่อโม่?” หญิงชราเห็นหลานสาวไม่พูดไม่จาดุจเก่า ดวงตาของนางทอประกายเข้มขึ้น
โค่วจื่อโม่เหยียดมุมปาก “ท่านวางใจได้ วันหน้าข้าไม่เชิญคุณหนูหลีมาเที่ยวเล่นที่จวนแล้วเจ้าค่ะ”
นางไม่สามารถอาศัยคำพูดไม่กี่คำเปลี่ยนความคิดของท่านย่าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะให้คุณหนูหลีซานมาพบกับการต้อนรับที่เย็นชาไปไย ถึงแม้อีกฝ่ายอาจไม่รับรู้ แต่นางเห็นอยู่กับตาแล้วอึดอัดทรมานใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้วก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา “เจ้าเข้าใจก็ดี ท่านย่าเตรียมตัวจะนอนพักกลางวันแล้ว เจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
โค่วจื่อโม่ลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าประตูห้องแล้วพลันหันหน้ากลับมา “ท่านย่า คุณหนูหลีซานไม่มีทางตามพัวพันซื่อจื่อของจวนหลิวซิ่งโหวหรอกเจ้าค่ะ”
นางกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วยกชายกระโปรงก้าวฉับๆ ลับร่างไป เหลือทิ้งไว้เพียงม่านผ้าสำลีลายนกกระเรียนกับต้นสนที่ไหวพะเยิบพะยาบเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซวีย
หญิงชราอ้าปากออกแล้วถอนหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง
ในหอชุนเฟิงฉือชั่นขว้างเทียบใบหนึ่งไปตรงหน้าหยางโฮ่วเฉิง เขาแค่นเสียงกล่าว “ดูวีรกรรมที่เจ้าก่อไว้!”
หยางโฮ่วเฉิงหน้าแดงก่ำ “ข้ากลับไปพูดกับท่านย่าให้แจ่มแจ้งเอง”
ฉือชั่นรั้งตัวเขาไว้ “พูดอะไร เจ้าอยากให้ยิ่งแก้ยิ่งแย่ใช่หรือไม่ เวลานี้ตระกูลที่มีหน้ามีตาทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนหัวเราะเยาะหลีซานอยู่ ปักใจเชื่อว่านางประพฤติตนไม่เป็นกุลสตรี ชาตินี้ไม่ได้ออกเรือนแล้ว”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” หยางโฮ่วเฉิงร้อนใจจนทนไม่ไหว เขาเพ่งสายตามองเทียบที่มีสัญลักษณ์ของจวนหลิวซิ่งโหวแล้วบังเกิดปฏิภาณขึ้นมาอย่างถูกจังหวะ “ถิงเฉวียนตบแต่งคุณหนูหลีเป็นภรรยาก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ ตระกูลต่างๆ พวกนั้นล้วนอยากให้บุตรสาวออกเรือนไปที่จวนกวนจวินโหวกันทั้งนั้น รอถิงเฉวียนแต่งงานกับคุณหนูหลีแล้วดูสิว่าพวกเขายังมีอะไรจะพูดอีก”
ฉือชั่นมองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้าพูดไม่ถูกหรือ”
“เจ้าพูดถูกที่สุดแล้ว ดังนั้นที่ข้าอยากถามมากกว่าคือเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร ในเทียบเขียนไว้อย่างชัดเจนว่างานเลี้ยงชมดอกไม้จะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง”
หยางโฮ่วเฉิงตบหน้าผากตนเองแรงๆ ทีหนึ่ง “จริงสิ ข้าสมควรทำฉันใดดี”
เขาร้อนรนดุจเสือติดจั่น ส่วนฉือชั่นยิ้มตาพริ้มดื่มชา พูดอย่างธุระไม่ใช่ “กรรมตามทันหนีไม่พ้น”
เฉียวเจาเดินออกจากจวนสกุลโค่วโดยไม่เหลียวหลังตลอดทาง
เรือนของท่านยายในอดีตของนาง วันหน้านางคงจะไม่มาอีกแล้ว
นางกลัวว่ายิ่งใกล้ชิด สิ่งที่ได้ประจักษ์ชัดก็ยิ่งโหดร้าย
“คุณหนูสาม ถึงแล้วขอรับ”
รถม้าหยุดจอดเฉียวเจาลงจากรถม้าเดินเข้าไปข้างใน มีเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น “หยุดนะ”
นางได้ยินเสียงแล้วชะงักฝีเท้า เบือนหน้าไปมองก็เห็นเจียงซือหร่านสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“เจ้าไปที่ใดมา” เจียงซือหร่านหยุดยืนตรงหน้าเฉียวเจาแล้วถามซักไซ้
“ข้าเพิ่งกลับมาจากจวนเสนาบดีโค่ว คุณหนูเจียงมีธุระหรือ”
“ทั้งที่ข้าเชิญเจ้าไปที่จวนพบปะพูดคุยกัน เหตุใดเจ้าไปที่จวนเสนาบดีโค่ว”
“ข้าได้รับเทียบจากคุณหนูใหญ่สกุลโค่วก่อน”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงเยาะ “ข้าว่าเป็นข้ออ้าง เจ้าไม่กล้าไปที่เรือนข้าชัดๆ”
เฉียวเจาคร้านจะโต้เถียงกับนาง “คุณหนูเจียงจะคิดเช่นนี้ก็ย่อมได้ หากท่านไม่มีธุระล่ะก็ ข้าจะเข้าเรือนก่อนแล้ว”
“เจ้ายอมรับว่าไม่กล้าไปที่เรือนข้าแล้วสินะ หลีซาน เจ้าร้อนตัวใช่หรือไม่”
เฉียวเจารู้สึกแปลกใจชอบกล “คุณหนูเจียงพูดเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน”
“เจ้าอย่าทำไขสือ เจินเจินใช้ยาของเจ้าแล้วไม่เห็นผลใดๆ สักนิด เจ้าโกหกตั้งแต่ต้น”
เฉียวเจาไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเจียงซือหร่าน นางกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอองค์หญิงเก้าทรงเรียกตัว คุณหนูเจียงถือสิทธิ์อะไรมาไล่เลียงข้าแทนองค์หญิงเก้า”
นางกล่าวจบก็ก้าวขาเดินเข้าไปข้างใน
“หลีซาน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
คำตอบที่นางได้รับคือเสียงเปิดประตูอย่างฉับไว
เจียงซือหร่านโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นางเดินไปที่ประตูจวนสกุลหลีเงื้อเท้าเตะทีหนึ่ง แต่ลืมไปว่าวันนี้ตนสวมรองเท้าผ้าต่วนนุ่มๆ ส่งผลให้เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
“เจ้าเต่าหดหัว!” เจียงซือหร่านสบถด่าอย่างชิงชัง นางหมุนตัวกลับก็เห็นเจียงสืออีที่สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
เด็กสาวถอยหลังหนึ่งก้าว มุ่นคิ้วกล่าว “พี่สืออี ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้”
สุ้มเสียงของเขาเฉยเมยเย็นชา “มาเชิญคุณหนูสามสกุลหลีไปเป็นแขกที่จวนสกุลเจียง”
“ใครให้ท่านเชิญนางไปเป็นแขก” เจียงซือหร่านทำหน้าไม่ชอบใจ
“ท่านพ่อบุญธรรม” เจียงสืออีพูดจบแล้วเห็นนางไม่กล่าววาจา นึกว่านางคิดตามไม่ทันเลยกล่าวเสริมขึ้น “ก็คือท่านพ่อของเจ้า”
“ท่านพ่อข้าเชิญนางไปเป็นแขกหรือ” นางฟังแล้วเดือดดาลทันที “ห้ามเชิญนางไป!”
เจียงสืออีเดินอ้อมตัวเจียงซือหร่านไปเคาะประตู
“พี่สืออี ท่านได้ยินหรือไม่”
“ได้ยินแล้ว”
“แล้วเหตุใดท่านยังเคาะประตูอีก”
เจียงสืออีหันหน้าไปบอกด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่เคาะประตูจะเชิญคุณหนูหลีไปที่จวนได้อย่างไร”
“เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าได้ยินแล้ว” เจียงซือหร่านกัดฟันกรอดๆ เอ่ยเตือนขึ้น
เขาผงกศีรษะเป็นเชิงว่านางกล่าวไม่ผิด จากนั้นพูดย้ำคำเดิม “ท่านผู้บัญชาการใหญ่เชิญคุณหนูหลีไปที่จวน”
เจียงซือหร่านโกรธจัดจนปากสั่น นางรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเจียงสืออีได้ จึงลอบตกลงปลงใจว่า รอหลีซานไปที่จวนสกุลเจียง จะได้คิดบัญชีกับนางพอดี!
ครั้นคุณหนูเจียงมาดหมายใจได้แล้ว ยามเฝ้าประตูที่เข้าไปรายงานกลับมาบอกความว่า “คุณหนูสามของข้ายังมีธุระ ไม่อาจปลีกตัวได้ ท่านโปรดบอกต่อใต้เท้าเจียงด้วยว่าอีกสองสามวันคุณหนูสามจะไปเยี่ยมคารวะอีกทีขอรับ”
เจียงสืออีพยักหน้าแล้วหันหลังกลับไป ทิ้งเจียงซือหร่านยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม
องครักษ์จินหลินอารมณ์เย็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ประเดี๋ยวก่อน หรือว่าหลีซานต่างหากที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านพ่อกระมัง