หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 542
บทที่ 542
สามวันถัดมาองค์หญิงเจินเจินล้างยาขี้ผึ้งที่พอกบนใบหน้ามาทั้งคืนออกอย่างเบาไม้เบามือแล้วไปนั่งที่หน้าคันฉ่อง
นิ้วมือเรียวงามขาวเนียนดุจหยกแตะข้างแก้ม นางเอ่ยถามนางกำนัลที่ปรนนิบัติตนอยู่อย่างไม่มั่นใจ “แผลบนหน้าข้าสีจางลงบ้างใช่หรือไม่”
นางกำนัลพยักหน้าหงึกหงัก
“เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ” องค์หญิงเจินเจินยังไม่กล้าเชื่อ
“หม่อมฉันมิบังอาจหลอกลวงองค์หญิง พระพักตร์ของพระองค์ดูแล้วอาการดีขึ้นมากจริงๆ เพคะ”
“เช่นนี้แสดงว่ายาขี้ผึ้งนั่นใช้ได้ผลจริงหรือ” น้ำเสียงขององค์หญิงเจินเจินเริ่มกระตือรือร้นขึ้น
“ใช้ได้ผลเพคะองค์หญิง วางพระทัยเถอะ พระพักตร์ของพระองค์ต้องหายดีดังเดิมแน่นอน” นางกำนัลพูดแล้วกลั้นสะอื้นไม่อยู่
นับตั้งแต่เสียโฉมไม่รู้เป็นเวลากี่วันกี่คืนแล้วที่องค์หญิงข่มตานอนไม่หลับตลอดราตรี ข้ารับใช้อย่างพวกนางมองเห็นอยู่กับตาก็ทุกข์ใจดุจเดียวกัน
“ร้องไห้อะไรกัน ใบหน้าข้ายังไม่หายดีเลยนะ” องค์หญิงเจินเจินพูดเสียงสั่นอย่างปิดไม่มิด
นางกำนัลเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน “เพคะๆ รอองค์หญิงทรงหายดีแล้วหม่อมฉันค่อยร้องไห้”
องค์หญิงเจินเจินขึงตาใส่นาง “พูดอะไรโง่ๆ รีบเอาป้ายประจำตัวข้าออกจากวังไปเชิญคุณหนูสามสกุลหลี”
นางกำนัลรับคำสั่งออกไปแล้ว องค์หญิงเจินเจินบัดเดี๋ยวจ้องคันฉ่องตาเขม็งประเดี๋ยวลูบใบหน้า นางได้ยินนางกำนัลอีกคนรายงานว่าเจียงซือหร่านมาหาก็รีบเร่งให้เชิญอีกฝ่ายเข้ามา
“เจินเจิน ข้ามาดูว่ายาขี้ผึ้งของหลีซานใช้ได้ผลหรือไม่” เจียงซือหร่านเห็นใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ดูเหมือนจะดีขึ้นบ้างแล้วนะ”
“เจ้าแน่ใจหรือ” องค์หญิงเจินเจินอยากได้คำยืนยันจากสหายรัก
เจียงซือหร่านชักลำบากใจ “มันก็ไม่ชัดเจนนัก จะบอกว่าแน่ใจก็ไม่เชิง”
ดวงตาขององค์หญิงเจินเจินทอแววผิดหวัง
“ข้าขอดูดีๆ อีกที” เจียงซือหร่านขยับเข้าไปดูใกล้ๆ
องค์หญิงเจินเจินฝืนข่มความรู้สึกชั่วแล่นที่อยากเบือนหน้าหลบเอาไว้ ปล่อยให้นางมองพินิจ
เจียงซือหร่านมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว ตรงนี้ ตรงบริเวณใต้หางตาซ้ายของเจ้า ข้าจำได้ว่ามีแผลเป็นจางๆ รอยหนึ่ง ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว!”
องค์หญิงเจินเจินคว้ามือของนางไว้หมับ “เจ้าสังเกตเห็นเช่นกันหรือ”
นางไม่กล้าพูดเรื่อยมาด้วยกลัวว่าตนจะเข้าใจผิด นั่นจะทำให้ความหวังซึ่งจุดประกายขึ้นในใจลับๆ ดับมอดลงโดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงว่านางมิได้อุปาทานไปเอง
เจียงซือหร่านพยักหน้าแรงๆ “อย่างนั้นก็ใช้ได้ผลจริงๆ แล้ว”
พอเห็นสีหน้าปีติยินดีของสหายรัก องค์หญิงเจินเจินพลันปิดหน้าร่ำไห้
“เจินเจิน อย่าร้องไห้นะ เจ้าสมควรดีใจจึงจะถูก ใบหน้าเจ้ามีทางรักษาได้แล้ว จริงสิ เจ้าบอกว่าหลีซานจะเข้าวังวันนี้มิใช่หรือ”
องค์หญิงเจินเจินหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “ส่งคนไปเชิญแล้ว”
กระนั้นข่าวที่นางกำนัลนำกลับมาบอกทำให้ผิดหวังกันยกใหญ่ “คุณหนูสามสกุลหลีออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ ตอนนี้ยังไม่กลับจวนเลยเพคะ”
เจียงซือหร่านโกรธเกรี้ยวอย่างสุดระงับ “เจินเจิน ไหนเจ้าพูดว่าหลีซานบอกให้เจ้าทายาขี้ผึ้งสามวันติดๆ กัน ถึงเวลานางจะปรับวิธีใช้ยาใหม่ตามอาการมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ครบสามวันแล้วนางกลับหลบหน้า”
“บางทีนางอาจมีธุระจริงๆ” องค์หญิงเจินเจินยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
“ฮึ นางไม่เห็นเจ้าอยู่สายตาชัดๆ ไปกัน นางไม่มา พวกเราก็ไปหานาง”
องค์หญิงเจินเจินเห็นยาขี้ผึ้งสำแดงสรรพคุณแล้วย่อมร้อนใจดุจไฟลน ได้ยินคำชักชวนของเจียงซือหร่านก็ลังเลใจเล็กน้อยก่อนตอบตกลง จากนั้นนางก็ขออนุญาตไทเฮาแล้วออกจากวังหลวง
รถม้าวิ่งแล่นไปทางตรอกซิ่งจื่อ เจียงซือหร่านพูดปรับทุกข์ตลอดทาง “เจินเจิน เจ้าว่าท่านพ่อข้าโดนคุณไสยหรือไม่ เหตุใดถึงหลงคารมของหลีซานได้”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
เจียงถังเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน คนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ องค์หญิงเจินเจินย่อมไม่มีทางวิพากษ์วิจารณ์อะไรมาก
“นางต้องไม่รักนวลสงวนตัวแน่” เจียงซือหร่านเบะปาก หยิบเทียบใบหนึ่งในแขนเสื้อออกให้นางดู
องค์หญิงเจินเจินไม่เข้าใจความหมาย “เหตุใดจวนหลิวซิ่งโหวจู่ๆ ก็จัดงานเลี้ยงชมดอกไม้”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงฮึ “ดังนั้นข้าถึงพูดว่านางมีปัญหา จวนหลิวซิ่งโหวจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้คราวนี้ขึ้นก็เป็นเพราะนางนี่เอง”
ได้ฟังสหายรักเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ องค์หญิงเจินเจินอ้าปากค้าง “มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ”
“มิใช่เท่านี้นะ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อข้าเคยพูดว่ากวนจวินโหวคอยดูแลหลีซานเป็นพิเศษด้วย”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งอึ้งไป น้ำเสียงของนางผิดปกติไปบ้าง “กวนจวินโหว?”
เจียงซือหร่านมิได้สังเกต นางเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ “ใช่แล้ว ข้าไม่เคยพบเคยเจอสตรีคนใดที่หว่านเสน่ห์ไม่เลือกอย่างนางจริงๆ…”
ไม่ทันสิ้นเสียงนางรถม้าก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงฉับพลัน ส่งผลให้สตรีสองนางในรถม้าตัวเซไปเซมา ต่างส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจไม่หยุด เคราะห์ดีที่มีองครักษ์ซึ่งติดตามมาคอยคุ้มกันถึงไม่อยู่ในสภาพทุลักทุเลกว่านี้
“มันเรื่องอะไรกัน!” เจียงซือหร่านไต่ถามด้วยน้ำเสียงแกมฉุนเฉียว
“ม้าตื่นตกใจกะทันหันขอรับ” องครักษ์กล่าวตอบ
“จุ่ๆ ม้าตื่นตกใจได้อย่างไร หรือว่าก่อนออกจากวังมิได้ตรวจดูก่อน” เจียงซือหร่านถามคาดคั้น
ด้านองค์หญิงเจินเจินกลับทอดสายตามองไปไกลๆ จับจ้องตามแผ่นหลังของคนที่ห้อม้าไปไกลแล้วอย่างไม่ละสายตา
คนผู้นั้นดูคล้ายจะเป็นกวนจวินโหว…
“อาชาที่องค์หญิงจะประทับล้วนต้องตรวจดูอย่างละเอียดมาก่อน ไม่มีปัญหาใดๆ ขอรับ”
เมื่อเงาร่างนั้นหายลับตาไปแล้ว องค์หญิงเจินเจินข่มความรู้สึกผิดแผกไปตรงกลางอกไว้แล้วดึงสายตากลับ นางเอ่ยถามด้วยท่าทางคล้ายไม่ตั้งใจ “เมื่อครู่มีคนสวนผ่านไปใช่หรือไม่”
ดวงตาขององครักษ์เปล่งประกายวูบหนึ่ง “กระหม่อมนึกขึ้นได้แล้ว หลังจากคนผู้นั้นผ่านไป จู่ๆ ม้าก็ตื่นตกใจพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าพูดจาเหลวไหล” สีหน้าขององค์หญิงเจินเจินขรึมลง “เดินทางต่อเถอะ”
ตรงปากทางแยกเซ่าหมิงยวนกระตุกสายบังเหียน อาชาพ่วงพีใต้หว่างขาก็หยุดวิ่ง
เขาหันศีรษะมองไกลๆ ไปทางตรอกซิ่งจื่อแวบหนึ่ง ใบหน้าคล้ายฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง
ที่แท้สตรีในตระกูลสูงศักดิ์พวกนั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์เจาเจาเช่นนี้อยู่ลับหลัง!
ตอนขี่ม้าผ่านรถม้าคันนั้นทีแรกชายหนุ่มก็มิได้ใส่ใจ จนปัญญาที่โสตประสาทของเขาเฉียบคมจับคำว่า ‘กวนจวินโหว’ ได้ว่องไวอยู่บ้าง ถึงได้ยินคำพูดไม่ปะติดปะต่อกันนั่นได้
ไม่รักนวลสงวนตัว?
พอคิดถึงว่าคนอื่นครหาเฉียวเจาด้วยคำนี้ เซ่าหมิงยวนก็เจ็บแปลบๆ ในอก
คมมีดจากลมปากที่สังหารคนโดยไม่เห็นโลหิตเยี่ยงนี้ฟันลงบนตัวเจาเจา แล้วนางควรใช้ชีวิตอยู่อย่างไรดี
เซ่าหมิงยวนหนีบขากระทุ้งท้องม้า มุ่งหน้าไปยังจวนจิ้งอันโหวซึ่งเขาไปคารวะผู้อาวุโสเพียงครั้งเดียวอย่างเร่งรีบหลังจากกลับเมืองหลวง
“ท่านโหว คุณชายรองมาแล้วขอรับ”
จิ้งอันโหวได้ยินก็มีสีหน้าดีอกดีใจ “รีบเชิญคุณชายรองเข้ามา”
ครู่หนึ่งต่อมาชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทย่างเท้าเข้ามากล่าวทักทาย “ท่านพ่อ”
จิ้งอันโหวแลดูยินดีปรีดาอย่างยิ่งกับการมาเยี่ยมเยือนของเซ่าหมิงยวน เขาเอ่ยถามเสียงนุ่ม “ไหนบอกว่าหลายวันมานี้มีงานรัดตัวมากไม่ใช่หรือ ไฉนมีเวลาว่างมาที่นี่ได้”
เซ่าหมิงยวนถอดเสื้อคลุมออกโยนให้บ่าวรับใช้ เขาพูดตรงเข้าเรื่อง “ท่านพ่อ ข้าต้องใจสตรีนางหนึ่ง อยากขอให้ท่านไปสู่ขอให้ข้าขอรับ”
“อะไรนะ” จิ้งอันโหวนึกว่าตนยังไม่ตื่นนอน สุ้มเสียงนุ่มนวลของเขาถึงกับแปร่งเพี้ยนไป
คนเป็นบุตรชายก็หาได้คำนึงถึงจิตใจที่คล้ายโดนพายุพัดโถมใส่ของคนเป็นบิดาแม้สักเศษเสี้ยว เขาพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติดุจเดิม “ข้าอยากตบแต่งภรรยาแล้วขอรับ”
จิ้งอันโหวพยักหน้าอย่างงงงัน “อ้อ ตบแต่งภรรยาเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ดี”
เซ่าหมิงยวน เจ้าลูกผู้นี้พูดอะไรอยู่ เพราะอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ”
“ขอบคุณข้าเรื่องอะไร” จิ้งอันโหวคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันดังเก่า
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “ท่านรับปากจะไปสู่ขอภรรยาให้ข้าแล้วมิใช่หรือขอรับ”
“อ้อ” จิ้งอันโหวพยักหน้าแล้วนิ่งขึงไป
ประเดี๋ยวก่อน ข้ารับปากตั้งแต่เมื่อไร