หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 543
บทที่ 543
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงเป็นไก่ตาแตกของจิ้งอันโหว เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง “ท่านพ่อ?”
“อ้อ เจ้าพูดสิ” จิ้งอันโหวสะดุ้งได้สติ
“ข้าอยากถามว่าท่านจะไปสู่ขอภรรยาให้ข้าได้เมื่อไรขอรับ”
จิ้งอันโหวตะลึงพรึงเพริดเกินไป เป็นเหตุให้ได้ยินคำว่า ‘สู่ขอ’ ก็เริ่มมึนงง เขาเอ่ยถามโดยไม่ทันคิด “หมิงยวนเอ๊ย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าตายด้านไปแล้วมิใช่หรือ…”
ครั้นถ้อยคำนี้ดังออกจากปากจิ้งอันโหวถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป เขารีบกัดปลายลิ้นทีหนึ่งแล้วส่งเสียงไอดังโขลกๆ
เขาไม่กล้ามองบุตรชายคนรองไปชั่วขณะ ไอจนน้ำตาไหลออกมาถึงพิศดูเซ่าหมิงยวนอย่างวิตกกังวลพลางกล่าว “หมิงยวน ความหมายของข้าคือตอนนี้เจ้าไม่ตายด้านแล้วหรือ ไม่ใช่…ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่ เจ้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด”
จิ้งอันโหวพูดจาวกวนฟังไม่ได้ศัพท์จนอยากเอาศีรษะพุ่งชนกำแพง
ในฐานะบุรุษเขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเสียงเล่าลือในเชิงนั้นทำร้ายบุรุษผู้หนึ่งมากมายปานใด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านี่ไม่ใช่เสียงเล่าลือ แต่เป็นบุตรชายคนรองยอมรับกับเขาเองกับปาก ไฉนเขาถึงเลอะเลือนไปชั่วขณะถามออกมาเสียแล้วเล่า
จิ้งอันโหวกำลังขุ่นเคืองตนเองอยู่ก็ได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ทำให้ท่านพ่อต้องกังวลใจแล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตนเองไม่ตายด้านแล้วขอรับ”
“ได้เช่นนั้นก็ดีๆ” จิ้งอันโหวระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี
เซ่าหมิงยวนเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “ดังนั้นท่านพ่อไปสู่ขอภรรยาให้ข้าได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“แล้วเจ้าหมายตาสตรีของตระกูลใดไว้หรือ”
ชายหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลแม้สักนิด “บุตรสาวคนเล็กของอาลักษณ์หลีแห่งสำนักราชบัณฑิต เรือนอาศัยอยู่ที่ตรอกซิ่งจื่อ นางเป็นคุณหนูลำดับที่สามของจวนตะวันออกและจวนตะวันตกของสกุลหลี หากท่านพ่อยังมีที่ไม่กระจ่างชัด ล้วนถามข้าได้หมดขอรับ”
“ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว” จิ้งอันโหวพูดอย่างเหม่อลอย นี่บุตรชายคนรองหวั่นใจว่าเขาจะไปสู่ขอผิดคนใช่หรือไม่
“ประเดี๋ยวก่อน คุณหนูหลีผู้นั้นก็คือคุณหนูหลีคนที่เดินทางลงใต้ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮาใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ใช่ขอรับ เป็นคุณหนูหลีผู้นั้นนั่นเอง”
จิ้งอันโหวอดขมวดคิ้วอย่างคลางแคลงใจไม่ได้ “ในเมืองหลวงมีข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูหลีผู้นั้นหนาหูเอาการ…”
“ข้าไม่แต่งงานกับใครนอกจากนางขอรับ” เซ่าหมิงยวนตัดบทบิดาทันที
จิ้งอันโหวมองดูบุตรชายคนรองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพินิจ
ตั้งแต่เมื่อไรกันบุตรชายที่เขาสอนวิชาหมัดมวยและขี่ม้ายิงธนูมาเองกับมือได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เติบโตเป็นชายอกสามศอกที่มาดมั่นมีความรับผิดชอบ
บุตรชายคนรองยินยอมตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร เขาดีใจยังแทบไม่ทัน ย่อมไม่มีทางห้ามปรามแน่นอน เพียงแต่ชื่อเสียงของคุณหนูหลีผู้นั้น…
เขามองบุตรชายที่โดดเด่นเหนือใครแล้วรู้สึกปวดใจอย่างช่วยไม่ได้
จิ้งอันโหวรู้สึกติดค้างบุตรชายผู้นี้มากมายเหลือเกิน จึงหวังว่าจะมีสตรีที่ดีที่สุดมาเป็นคู่ครองของเขา ภายภาคหน้าไม่ให้เขาต้องคับข้องหมองใจอีก “ข้าหวังให้เจ้าได้สตรีที่ดีที่สุดมาเป็นคู่ครอง”
“สตรีที่ดีที่สุด?” เซ่าหมิงยวนเข้าใจความหมายของบิดาแล้ว เขาเหยียดมุมปากแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านพ่อ สำหรับข้าแล้ว มิใช่เพราะว่าคนใต้หล้าคิดว่านางดีที่สุดข้าถึงต้องใจนาง แต่เพราะว่าข้าต้องใจนาง นางจึงดีที่สุดในสายตาข้าขอรับ”
สีหน้าของจิ้งอันโหวฉายแววประทับใจน้อยๆ
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “แน่นอนว่าความจริงนางก็เป็นคนที่ดีที่สุดจริงๆ ท่านโปรดเชื่อถือสายตาของข้าเถอะขอรับ”
สองพ่อลูกสบตากันครู่หนึ่ง จิ้งอันโหวคลายยิ้ม “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีเหตุผลจะคัดค้านเป็นธรรมดา”
เขาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่บุตรชายเพื่อให้เขามีความสุข หากผลกลับตรงกันข้ามนั่นเป็นเรื่องที่พวกโฉดเขลาถึงจะกระทำกัน
เซ่าหมิงยวนวางใจได้เต็มที่แล้ว รอยยิ้มมุมปากทำให้เขายิ่งดูหล่อเหลาขึ้น “ท่านพ่อก็เชิญแม่สื่อไปวันนี้เลยเถอะขอรับ”
“อะไรนะ!” จิ้งอันโหวพูดเสียงหลง พอประจักษ์ได้ว่าบุตรชายไม่ได้พูดล้อเล่น เขากล่าวอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อย่าเหลวไหล การแต่งงานออกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ จะทำแบบขอไปทีอย่างนี้ได้ที่ใดกัน อย่างน้อยต้องรอให้ถึงเดือนหนึ่งปีหน้าถึงทาบทามสู่ขอได้”
“ข้ารอไม่ไหวแล้วขอรับ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
จิ้งอันโหวนิ่งอึ้งไป เขาเกือบปัดโดนถ้วยน้ำชาใกล้มือล้มลง ใบหน้าฉายอารมณ์สับสนปนเปเป็นพิเศษ “หมิงยวนเอ๊ย หรือว่าปีหน้าข้าก็จะได้อุ้มหลานแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตามองบิดาปราดหนึ่ง “ปีหน้าคุณหนูหลีเพิ่งย่างสิบสี่ขอรับ”
จิ้งอันโหวกะพริบตาปริบๆ เขาถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในชั่วขณะว่าในใจรู้สึกดีใจหรือว่าผิดหวัง
ตอนแรกเขานึกว่าบุตรชายจะมือไม้ว่องไวไปบ้าง แต่ไปๆ มาๆ ปีหน้าฝ่ายหญิงยังไม่ปักปิ่นด้วยซ้ำ ยังต้องเฝ้ารอกันต่อไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าร้อนใจอะไรกัน”
“ร้อนใจที่คนอื่นสาดโคลนใส่นางส่งเดช แต่ข้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งสอนคนพวกนั้นสักยกอย่างเปิดเผยได้ขอรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่านัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง
สองพ่อลูกเคยสู้รบกับชาวต๋าจื่อที่แดนเหนือมาด้วยกัน เขารู้ดีว่าบอกกับท่านพ่ออย่างตรงไปตรงมาถึงมีประสิทธิภาพดีที่สุด
จิ้งอันโหวได้ยินเหตุผลนี้แล้วอดชอบใจไม่ได้ “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชิญแม่สื่อไปสู่ขอภรรยาให้เจ้า”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มมุมปาก ตรงกลางอกมีไออุ่นไหลรินผ่าน “ขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ”
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณข้า” จิ้งอันโหวชี้ที่ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเล็กด้านข้าง “ดื่มน้ำชาสักถ้วยให้ชุ่มคอ ดูริมฝีปากเจ้าสิแห้งแตกไปหมด ไม่กลัวหรือว่าแม่นางผู้นั้นจะรังเกียจรังงอน”
มุมปากของเซ่าหมิงยวนกระตุกริก
นี่คือบิดาบังเกิดเกล้าหรือ เริ่มรังเกียจเขาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว
พอเห็นเซ่าหมิงยวนดื่มน้ำชาอย่างเชื่อฟัง จิ้งอันโหวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้เจ้าทูลขอลาพักราชการต่อฮ่องเต้ บอกว่าไว้ทุกข์ให้ภรรยาผู้ล่วงลับหนึ่งปี แม้จะพูดว่าตอนนี้นับว่าครบปีแล้ว แต่ไปสู่ขอสตรีเรือนอื่นทันทีจะรวดเร็วเกินไปหรือไม่ เกรงว่าจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า”
การไว้ทุกข์หนึ่งปีที่คนยุคสมัยนี้กล่าวกัน จริงๆ แล้วคือเพียงเก้าเดือน* นับจากต้นปีที่เฉียวซื่อจากโลกนี้ไปถึงตอนนี้ก็ครบเวลาไปนานแล้ว
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อ แต่งงานใหม่กับข้า ‘หมดน้ำยา’ ท่านเห็นว่าอย่างใดเป็นชื่อเสียงในทางไม่ดีมากกว่ากันขอรับ”
ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนกลัวการเปรียบเทียบเป็นที่สุด
จิ้งอันโหวเปลี่ยนความคิดโดยไม่ชักช้ารีรอ เขาตบโต๊ะก่อนกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะส่งคนไปเชิญแม่สื่อหลวงที่ดีที่สุดมาที่นี่ประเดี๋ยวนี้เลย”
ในเรือนด้านข้างจวนตะวันตกของสกุลหลี
เด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนตั่งคนงามในห้องหนังสือพลิกกายทีหนึ่งแล้วลืมตาขึ้น
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
ภาพเบื้องหน้าสายตาพร่าเลือนอยู่บ้างชั่วขณะ เฉียวเจาขยี้ตาพลางลุกขึ้นนั่ง “ท่านโหวเล่า”
อาจูกล่าวยิ้มๆ “เห็นท่านหลับแล้ว ท่านโหวก็ออกไปเงียบๆ เจ้าค่ะ”
“ข้านอนนานเพียงใด”
“ราวหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ”
เฉียวเจามุ่นคิ้ว “ไยไม่ปลุกข้าเร็วกว่านี้”
อาจูลุกลนเอ่ยอธิบาย “ท่านโหวบอกว่าสองวันมานี้ท่านเหนื่อยเกินไป สั่งข้าไว้ว่าห้ามรบกวน รอท่านตื่นนอนเมื่อไรค่อยกลับจวนพร้อมท่านเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพลิกกายลงจากเตียง “เช่นนั้นรีบกลับกันเถอะ”
ด้วยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง สามวันมานี้นางลงมือลอกเลียนลายมือของผู้ตรวจการสิงอยู่ที่นี่ตลอด ตอนนี้คัดสมุดบัญชีเสร็จแล้วก็สมควรกลับเรือนโดยไว
ชั่วอึดใจเดียวก็ถึงเรือนแล้ว ยามเฝ้าประตูกล่าวรายงาน “คุณหนูสาม มีคุณหนูสองท่านรอท่านอยู่ในโถงรับรองขอรับ”
เฉียวเจาผงกศีรษะแล้วสาวเท้าเดินไปที่นั่น ปิงลวี่เฝ้าอยู่ตรงระเบียงรีบเร่งเดินมากระซิบบอก “คุณหนู เป็นองค์หญิงพระองค์นั้นกับคุณหนูเจียง ข้ารู้สึกว่าพวกนางไม่ได้มาดี หรือไม่ท่านค่อยกลับมาตอนฟ้ามืดเถอะเจ้าค่ะ”
เฉียวเจายกมือจิ้มๆ หน้าผากเนียนเกลี้ยงของสาวใช้น้อย “พูดจาเหลวไหลอยู่เรื่อย ที่นี่เป็นเรือนข้า มีอย่างที่ใดเจ้าของเรือนต้องหลบหน้าแขกด้วย”
ปิงลวี่พยักหน้าหงึกหงัก “จริงของคุณหนูเจ้าค่ะ”
มีอย่างที่ใดคนเป็นแขกมาท้าทายถึงเรือน หากสองคนนั้นหาเรื่องคุณหนู นางจะไม่เกรงใจแล้ว!
สาวใช้น้อยหยิบก้อนอิฐก้อนหนึ่งติดไม้ติดมือตามไป
ในโถงรับรององค์หญิงเจินเจินกับเจียงซือหร่านรอคอยจนเริ่มหงุดหงิด พวกนางมองไปทางหน้าประตูเป็นระยะ
พอเห็นเฉียวเจาเข้ามาเจียงซือหร่านผุดลุกขึ้นยืนทันที
* การไว้ทุกข์ 9 เดือน มาจากธรรมเนียมโบราณในการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่เป็นเวลา 3 ปี หรือ 27 เดือนในความเป็นจริง ที่เป็นเวลา 27 เดือนเนื่องจากเท่ากับเวลาที่แม่จะให้นมลูกนาน 27 เดือน ด้วยเหตุนี้ต่อมาภายหลังการไว้ทุกข์จึงนับเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่หรือระหว่างสามีภรรยา