หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 546
บทที่ 546
อีกด้านหนึ่งองค์หญิงเจินเจินกับเจียงซือหร่านซึ่งอ้างว่ามีธุระขอตัวอำลากลับกำลังนั่งอยู่บนรถม้า
เจียงซือหร่านกล่าวอย่างเหลือเชื่อ “หลังออกจากห้องเวจ ข้าแสร้งทำเป็นหลงทางเข้าไปชวนสาวใช้นางหนึ่งพูดคุย เจ้าเดาว่าข้าถามได้ความอะไรมา มีแม่สื่อมาที่จวนสู่ขอหลีซานแล้วน่ะสิ!”
องค์หญิงเจินเจินใจดิ่งวูบลงอย่างปราศจากเหตุผล “ตระกูลใดหรือ”
เจียงซือหร่านพูดอย่างเสียดายครามครัน “ยังไม่ทันถามให้รู้เรื่อง สาวใช้ที่ถือก้อนอิฐผู้นั้นก็เดินเข้ามาแล้ว แต่ว่านะสกุลหลีไล่แม่สื่อกลับไป เห็นได้ว่าคนที่มาสู่ขอคงเป็นตระกูลต่ำต้อยไร้เกียรติ”
องค์หญิงเจินเจินระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นางยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างกระดากใจอยู่บ้าง
นางโตจนป่านนี้นี่เป็นครั้งแรกที่มีใจชอบพอบุรุษผู้หนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรนางไม่ปรารถนาให้คุณหนูหลีซานเข้ามายุ่งเกี่ยวกับบุรุษที่นางพึงใจ
เจียงซือหร่านรู้สึกสาแก่ใจอย่างยิ่ง นางยิ้มกริ่มกล่าวว่า “ทีแรกข้าไม่ตั้งใจจะไปร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้ของจวนหลิวซิ่งโหว แต่จู่ๆ รู้สึกว่าไปร่วมวงครึกครื้นก็ไม่เลวเหมือนกัน”
องค์หญิงเจินเจินสั่นศีรษะ “หร่านราน เจ้าจะทำเช่นนี้ไปไย ถึงอย่างไรคุณหนูหลีซานก็ช่วยรักษาใบหน้าให้ข้าอยู่ ในใจข้าก็รู้สึกขอบคุณนาง”
เจียงซือหร่านยิ้มเยาะ “เจินเจิน เจ้าอยากขอบคุณก็ต้องรอให้นางรักษาใบหน้าเจ้าให้หายดีแล้วค่อยว่ากันเถอะ บุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับนางใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เรื่องที่ชุมนุมฟู่ซานครั้งนั้นถือว่าข้าวู่วามไปชั่ววูบ แต่ที่เจ้าคนบัดซบของจวนฉางชุนป๋อโดนทำร้ายในหอปี้ชุน เรื่องอะไรใครต่อใครต้องมองว่าเป็นฝีมือข้า”
องค์หญิงเจินเจินตั้งท่าจะพูดแล้วรู้สึกว่าคำกล่าวของสหายรักไร้เหตุผลอยู่สักหน่อย
หากมิใช่เกิดเรื่องบาดหมางกับคุณหนูหลีซานที่ชุมนุมฟู่ซานก่อน เรื่องในหอปี้ชุนจะถูกโยนความผิดมาให้เจียงซือหร่านได้อย่างไรเล่า
กระนั้นทั้งสองผูกมิตรกันมาสิบกว่าปี องค์หญิงเจินเจินรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นางจึงกลืนคำพูดกลับลงคอไปเงียบๆ
เจียงซือหร่านเอนหลังพิงหมอนอิงอ่อนนุ่มด้วยท่าทางตามสบาย “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ทำใจชอบนางไม่ลง นางอยู่ไม่เป็นสุข ข้าก็ชอบใจ”
ฉะนั้นงานเลี้ยงชมดอกไม้ของจวนหลิวซิ่งโหว ข้าต้องไปร่วมวงครึกครื้นแน่
เรื่องที่มีแม่สื่อไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีแพร่ออกไปได้อย่างไรก็สุดรู้ ในงานเลี้ยงชมดอกไม้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหลิวซิ่งโหวจัดขึ้น มีฮูหยินท่านหนึ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ว่าไปแล้วสกุลหลีที่ตรอกซิ่งจื่อก็น่าสนใจไม่น้อยจริงๆ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองของจวนตะวันออกและตะวันตกต่างมิได้ปรากฏตัวให้เห็นมานานพักใหญ่ กลับกลายเป็นคุณหนูสามของพวกเขาที่มีเสียงโจษจันถึงไม่ขาดสาย ข้าได้ยินว่าเมื่อวานถึงกับมีแม่สื่อไปที่จวนของพวกเขาทาบทามสู่ขอคุณหนูหลีซานด้วยนะ”
ฮูหยินผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนปากมาก ปกตินอกจากคนที่สนิทกับนางไม่กี่คน คนอื่นๆ ล้วนวางตัวออกห่าง ทว่าจุดประสงค์ที่จวนหลิวซิ่งโหวจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้คราวนี้ขึ้นนั้นทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ดูทีว่าฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวคงเต็มใจอย่างมากที่จะฟังเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูหลีซานผู้นั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีฮูหยินหลายคนร่วมวงสนทนาอย่างให้เกียรติมาก
“ไม่กระมัง ดูเหมือนคุณหนูสามของสกุลหลีผู้นั้นยังอายุน้อยอยู่” ฮูหยินที่กล่าวตอบเบนหน้าไปถามฮูหยินของกู้ชางป๋อ “จวนท่านป๋อเป็นญาติผูกดองกับสกุลหลีกระมัง”
จวนกู้ชางป๋อเป็นตระกูลท่านตาของหลีเจี่ยวนั่นเอง
ฮูหยินของกู้ชางป๋อมีสีหน้าเย็นชา “น้องสาวของสามีข้าผู้นั้นจากไปสิบกว่าปีแล้ว แต่เรื่องของคุณหนูหลีซานผู้นั้นข้าพอจะรู้เล็กๆ น้อยๆ ปีหน้านางจะอายุสิบสี่ปีเต็ม”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังอายุน้อยอยู่จริงๆ แต่กลับมีแม่สื่อมาสู่ขอแล้วหรือ”
มาตรว่าตระกูลของพวกนางเหล่านี้จะเริ่มแอบมองหาคู่ครองให้บุตรสาวตั้งแต่เนิ่นๆ แต่จะทาบทามสู่ขอกันอย่างเปิดเผยก็ต้องรอหลังจากบุตรสาวปักปิ่น
แต่ไรมาหวังซื่อภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรมมักชอบพูดจาเหยียบย่ำสกุลหลีเพราะสามีของนางกับหลีกวงเยี่ยนนายท่านใหญ่แห่งจวนตะวันออกของสกุลหลีไม่ลงรอยกัน เวลานี้ไม่มีชาวสกุลหลีอยู่ที่นี่ก็ยิ่งไม่กริ่งเกรงอันใด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “ยังอายุน้อยแล้วเป็นอย่างไร มีคนสู่ขอ สกุลหลียังจะไม่ดีอกดีใจรึ”
ฮูหยินทุกตระกูลหัวเราะอย่างเข้าใจความหมาย
พินิจจากชื่อเสียงในตอนนี้ของคุณหนูสามสกุลหลี มีคนไปสู่ขอที่จวนได้สมควรขอบคุณฟ้าดินแล้ว
“ไม่รู้ว่าคนที่สู่ขอเป็นตระกูลใดกัน” มีคนถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คนที่สู่ขอเป็นตระกูลใดไม่แจ่มแจ้ง แต่แม่สื่อถูกสกุลหลีไล่กลับไปแล้ว” ฮูหยินที่ยกหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมาเป็นคนแรกกล่าวขึ้น
ทุกๆ คนมีสีหน้าแปลกใจไปตามๆ กัน
“แม่สื่อไปสู่ขอตามธรรมเนียม ไฉนถึงไล่กลับไปเล่า”
อันว่าบุตรสาวหนึ่งคนในเรือน ร้อยตระกูลรุมหมายปอง เมื่อถึงวัยสมควรออกเรือน สตรีเหย้าเรือนใดกันจะไม่มีแม่สื่อมาสู่ขอสักสองสามคนเล่า และมักจะต้องมีบางตระกูลที่ไม่ประมาณตนจนสร้างความเบื่อหน่ายรำคาญให้แก่ผู้อื่น แต่เพื่อไม่ผิดพ้องหมองใจกันอย่างมากก็ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมก็สิ้นเรื่อง จะไล่ตะเพิดแม่สื่อออกไปเลยได้อย่างไร
ฮูหยินทั้งหลายมองหน้ากันไปมาแล้วคิดตรงกัน ตระกูลที่มาสู่ขอต้องต่ำต้อยเกินไปเป็นแน่ สกุลหลีถึงยอมให้บุตรสาวเป็นสาวทึนทึกตลอดชาติดีกว่าผูกดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวชูจอกสุราขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มเมตตาปรานี “เอาล่ะ พวกเราดื่มสุราชมดอกไม้กัน อย่าเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเลย”
ฮูหยินทั้งหลายพากันชูจอกสุรา “สวนดอกเหมยของจวนโหวเป็นที่หนึ่งของเมืองหลวง วันนี้พวกเราได้ชมเป็นบุญตาแล้ว ต้องขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ”
จังหวะนี้เองมีสาวใช้สวมเสื้อกั๊กผ้าไหมบุนวมนางหนึ่งเดินหน้าซีดเข้ามาอย่างเร่งร้อน จากนั้นโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวสองสามคำ หญิงชราหน้าเปลี่ยนสีทันควัน นางลุกขึ้นกล่าว “ทุกคนดื่มสุรากันก่อน ข้าจะไปผลัดอาภรณ์”
ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวเพิ่งออกไป มีสาวใช้อีกนางหนึ่งกระซิบบอกบางอย่างที่ข้างหูจูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อ นางทำหน้าเสียลุกขึ้นยืนแล้วส่งยิ้มให้ฮูหยินด้านข้างอย่างฝืดเฝื่อน “ข้าจะไปผลัดอาภรณ์”
พอฮูหยินของกู้ชางป๋อไปแล้ว บรรดาฮูหยินในโถงพากันสั่งให้สาวใช้ของตนออกไปสืบสถานการณ์
ในสวนดอกเหมยต้องเกิดเรื่องใดขึ้นเป็นแน่ หาไม่แล้วฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวในฐานะเจ้าของเรือนไม่มีทางออกจากงานกะทันหันเฉกนี้ อีกทั้งเรื่องนี้มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะเกี่ยวข้องกับฮูหยินของกู้ชางป๋อ
เพลานี้เหล่าฮูหยินสูงศักดิ์ผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีในสายตาคนภายนอกพวกนี้แต่ละคนต่างทำสีหน้าตื่นเต้นคึกคัก สัญชาตญาณสอดรู้สอดเห็นในกายพลุ่งพล่าน ขณะเดียวกันก็มีบางคนเป็นห่วงหลานสาวหรือบุตรสาวของตน
ตอนนี้ผู้เยาว์เหล่านั้นกำลังเดินชมสวนดอกเหมยกันอยู่ ไม่รู้ว่าพบเจอเรื่องอะไรกันแน่
เรื่องที่เกิดขึ้นใต้จมูกเฉกนี้คิดจะปิดบังไว้นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่นานนักพวกสาวใช้ที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวก็ทยอยกันกลับมาพร้อมกับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกเหมย
“อะไรนะ ซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหวถีบคุณหนูใหญ่สกุลตู้ของจวนกู้ชางป๋อลงไปในทะเลสาบ”
เสียงสูดลมหายใจดังเฮือกใหญ่ต่อกันเป็นทอดๆ ฮูหยินทั้งหลายมองหน้ากันไปมา
เป็นไปไม่ได้กระมัง แม้ว่าซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหวจะต้องเป็นดั่งแก้วตาดวงใจแน่เพราะเป็นบุตรชายโทน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเสียงโจษจันว่าไม่เกรงฟ้ากลัวดินเยี่ยงนี้
หากเป็นอย่างนี้พวกนางไม่กล้าให้บุตรสาวที่เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมจนเติบใหญ่ออกเรือนมาที่นี่แล้ว
ไม่ได้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ไปดูเองกับตาจะดีกว่า
ฮูหยินทุกคนต่างลุกขึ้นยืนอย่างอดใจไม่อยู่ ทั้งที่ในใจคันยุบยิบด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากยังคงปั้นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเอาไว้ “เดือนสิบสองอากาศหนาวเย็น ตกน้ำไปเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราไปดูว่าเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างไรกันเถอะ”
ริมทะเลสาบด้านหลังสวนเหมย ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวมองดูหลานชายซึ่งทำสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจด้วยความโกรธจนตัวสั่น นางกล่าวเสียงดุดันว่า “เจ้าหลานเนรคุณ ยังไม่คุกเข่าขอขมาต่อฮูหยินของกู้ชางป๋ออีกรึ!”
“คุกเข่าก็คุกเข่าสิ” หยางโฮ่วเฉิงบ่นอุบอิบคำหนึ่งแล้วคุกเข่าให้กับจูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อด้วยท่าทางเป็นชายชาตรีอย่างมาก “จูฮูหยิน ขออภัยด้วยขอรับ ข้ากับจื่อเจ๋อเดินอยู่ริมทะเลสาบ ใครจะรู้ว่าจะพบกับพวกคุณหนูตู้โดยบังเอิญ ข้าไม่ได้ตั้งใจถีบบุตรสาวท่านตกทะเลสาบจริงๆ ข้าจะทำเรื่องพรรค์อย่างนี้ได้อย่างไรขอรับ”
ตู้เฟยเสวี่ยเพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ ดวงหน้าเล็กๆ เผือดขาวยิ่งกว่าชื่อของตนเอง* นางตัวสั่นเทาซุกอยู่ในเสื้อคลุมบุนวมที่สาวใช้หยิบมาให้
จูซื่อโอบตู้เฟยเสวี่ยไว้ สีหน้าของนางบึ้งตึงด้วยความโมโหโกรธา “เช่นนั้นบุตรสาวข้าตกลงไปได้เช่นไร ขอให้หยางซื่อจื่อกล่าวไขความกระจ่างให้ด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นพวกฮูหยินทยอยกันเดินมาแล้วอยากจะเป็นลม นางฝืนข่มใจไว้พลางกล่าวว่า “พาคุณหนูตู้ไปที่เรือนอุ่นก่อนค่อยว่ากันอีกที”
* เฟยเสวี่ย หมายถึงหิมะโปรย