หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 548
บทที่ 548
“หวังฮูหยิน จวนของท่านไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีจริงๆ หรือ”
หวังซื่อตอบคำถามนี้ไม่ออก นางอดมองไปทางหยางโฮ่วเฉิงไม่ได้
ชายหนุ่มเพียงรู้สึกว่าสายตาของสตรีเหล่านี้แปลกชอบกล เขากล่าวพลางกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลัก “หวังฮูหยินอาจไม่ล่วงรู้กระมังว่าจิ้งอันโหวเป็นคนเชิญแม่สื่อไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีให้ถิงเฉวียน”
“ถิงเฉวียน?” หวังฮูหยินเบิกตากว้างกะทันหัน นางพูดเสียงหลง “ท่านหมายถึงคุณชายรองของจวนข้าหรือ”
เขาพยักหน้าแล้วพูดเสียงดัง “ถูกต้อง เป็นกวนจวินโหวนั่นเอง”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นภายในห้องโถงเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตกพื้น แต่นอกโถงกลับมีเสียงร้องอุทานดังขึ้น “นี่เป็นไปไม่ได้!”
เจียงซือหร่านสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามา นางมองหยางโฮ่วเฉิงตาเขม็ง “ท่านพูดอีกทีสิ”
ในใจหยางโฮ่วเฉิงรังเกียจและรำคาญคุณหนูเจียงผู้ยโสโอหังคนนี้เป็นอันมาก เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จะพูดสักกี่หนก็ย่อมได้ คนที่ต้องการสู่ขอคุณหนูสามสกุลหลีคือกวนจวินโหว หรือก็คือคนต่ำต้อยไร้เกียรติจากปากคุณหนูเจียงกับคุณหนูตู้นั่นเอง”
“ท่านพูดจาส่งเดช!” เจียงซือหร่านกล่าวโพล่งขึ้น แต่หัวสมองของนางอึงอลว่างเปล่าไปหมด
คนที่ไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีจะเป็นกวนจวินโหวได้อย่างไรกัน หลีซานเป็นเพียงบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่งเท่านั้น!
ในห้องที่อบอุ่นประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ ตู้เฟยเสวี่ยซึ่งห่มเสื้อคลุมบุนวมไว้กลับรู้สึกว่ามีกระไอเย็นแผ่ซ่านขึ้นมาจากฝ่าเท้า นางถอยหลังครึ่งก้าว มองดูสีหน้ามั่นอกมั่นใจของหยางโฮ่วเฉิงกับเจียงซือหร่านที่ทำสีหน้าตะลึงงันแล้วอับจนวาจา
กวนจวินโหวถูกตาต้องใจหลีซานได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องไร้สาระน่าขันที่สุดในใต้หล้าเลยทีเดียว
“หยางซื่อจื่อ ท่านมิได้เข้าใจผิดกระมัง” ฮูหยินผู้หนึ่งถามหยั่งเชิง
หยางโฮ่วเฉิงฉีกปากยิ้มอย่างขบขัน “นั่นจะเข้าใจผิดได้ที่ใดกันเล่า ข้ากับถิงเฉวียนเป็นสหายรักแต่วัยเยาว์ หลังจากจิ้งอันโหวพูดเรื่องนี้กับเขา เขาก็บอกให้พวกข้ารู้แล้ว”
“กวนจวินโหวตอบตกลงแล้วหรือ?” ฮูหยินทั้งหลายถามเป็นเสียงเดียวกันอย่างห้ามไม่อยู่
หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าแปลกใจ “เพราะอะไรจะไม่ตอบตกลงเล่า ถิงเฉวียนอายุยี่สิบกว่าแล้วมิใช่หรือ ตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องปกติมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวยังตะลึงพรึงเพริด มุมปากของนางกระตุกริกอย่างสุดระงับ
นางอยากตีเจ้าหลานเนรคุณผู้นี้ให้ตายจริงๆ กวนจวินโหวอายุยี่สิบกว่าแล้วตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องปกติ ไฉนนางที่อายุปูนนี้แล้วยังช่วยเป็นธุระจัดงานเลี้ยงดูตัวให้ เจ้าหลานเนรคุณผู้นี้ก็ทำท่าจะเป็นจะตายเสียให้ได้เล่า!
ฮูหยินทั้งหลายอยากทุบตีคนมากกว่า
กวนจวินโหวอายุมากแล้วอยากตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเป็นประเด็นสำคัญเช่นนั้นหรือ ประเด็นสำคัญคือเพราะอะไรเขาตอบตกลงแต่งงานกับคุณหนูหลีซาน!
“แต่ว่าเหตุใดจิ้งอันโหวถึงไปสู่ขอคุณหนูสามของสกุลหลี” ในที่สุดก็มีคนถามออกมา
อีกคนหนึ่งอดกล่าวเสริมขึ้นไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าบิดาของคุณหนูหลีซานคืออาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตกระมัง”
มิใช่ว่าอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตไม่ดี ในต้าเหลียงตำแหน่งนี้นับเป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาดและถูกเรียกว่าเป็นว่าที่เสนาบดี ทว่าคนที่เข้าสู่สภาขุนนางได้จริงๆ จะมีสักกี่คนกันเล่า
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อเสียงที่ย่ำแย่ถึงขีดสุดของคุณหนูหลีซานต่างหาก จวนจิ้งอันโหวไม่ถือสาแม้แต่น้อยนิดเลยใช่หรือไม่
หยางโฮ่วเฉิงกล่าวยิ้มๆ “แน่นอนว่าคุณหนูหลีซานมีดีมากพอ จิ้งอันโหวถึงไม่สนใจชาติตระกูล ก็ท่านอยากหาภรรยาให้บุตรชายนี่นะ ไม่เช่นนั้นยังจะมีเหตุผลอะไรอีกได้ คงไม่ได้มีคนถือดาบจ่อคอจิ้งอันโหวบังคับให้ท่านเชิญแม่สื่อไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีกระมัง”
คำกล่าวนี้อาจฟังดูกำปั้นทุบดินทว่าชอบด้วยเหตุผล ทุกคนถึงกับจนวาจาจะโต้ตอบ
หยางโฮ่วเฉิงกล่าวต่อท้ายอีกคำหนึ่ง “เพียงน่าเสียดายที่สกุลหลีไม่ตอบตกลง”
เหล่าฮูหยินทั้งหลายรู้สึกคล้ายโดนลูกธนูหมื่นดอกเสียบทะลุอก จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะอย่างพึงใจ
ดีมาก ภารกิจที่ถิงเฉวียนมอบหมายให้ข้าเป็นอันสำเร็จลุล่วงแล้ว
หวังซื่อฮูหยินของซื่อจื่อจิ้งอันโหวฝืนทำใจเย็นเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหว “ฮูหยินผู้เฒ่า พักนี้ท่านแม่สามีข้าปฏิบัติธรรมอยู่ เรื่องน้อยใหญ่ในจวนมีมากมาย ข้านึกขึ้นได้ว่ามีงานที่ยังสะสางไม่เรียบร้อยเลยจะขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
หญิงชราแจ่มแจ้งแก่ใจดีถึงเหตุผลที่หวังซื่อจะกลับเรือน นางย่อมไม่ฝืนรั้งตัวอีกฝ่ายไว้
เหล่าฮูหยินเห็นฮูหยินของซื่อจื่อจิ้งอันโหวกลับไปแล้ว อีกทั้งข่าวที่จวนจิ้งอันโหวไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีแต่โดนปฏิเสธทำให้หมดแก่ใจจะอยู่ต่อจึงพากันกล่าวอำลากับฮูหยินผู้เฒ่า
งานเลี้ยงที่แอบแฝงการดูตัวไว้จึงยุติลงอย่างรวบรัดไปด้วยประการฉะนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวคับอกคับใจสุดจะกล่าว แต่ยังต้องรวบรวมแรงใจเตรียมรับมือจูซื่อที่ตั้งท่าจะเอาเรื่องแทนบุตรสาว
หยางโฮ่วเฉิงสบช่องไม่มีคนมองอยู่ จึงกระซิบเตือนตู้เฟยเสวี่ย “ข้ากับจื่อเจ๋อเป็นสหายที่สนิทกันที่สุดนะ”
นึกว่าเขาโง่เขลาจริงๆ หรือไร เขากับจื่อเจ๋อเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบดีๆ คุณหนูใหญ่สกุลตู้ผู้นี้ก็พาสหายมาทางนี้ เห็นชัดว่าหมายฉวยจังหวะพูดคุยกับจื่อเจ๋อ
ตนเองก็ประพฤติตนไม่เหมาะสม ยังจะว่ากล่าวคุณหนูหลีเช่นนั้นอีก คำกล่าวที่ว่าผ่อนปรนกับตนเอง เข้มงวดกับผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไรนับว่าเขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว
ตู้เฟยเสวี่ยโกรธแทบกระอักเลือด แต่ไม่อาจไม่พูดกับมารดาได้ว่า “ท่านแม่ ตอนนั้นค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ข้าก็จำได้ไม่ค่อยถนัดแล้ว ตอนนี้คิดขึ้นมาดูเหมือนจะเท้าสะดุดโดยไม่ระวัง หยางซื่อจื่อไม่ได้มีเจตนาเจ้าค่ะ”
เจ้าลูกเต่าต่ำช้าไร้ยางอายผู้นี้ถึงกับเอาญาติผู้พี่มาข่มขู่ข้า!
ฮูหยินผู้เฒ่าของหลิวซิ่งโหวเห็นตู้เฟยเสวี่ยมีท่าทีอ่อนลงก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก นางเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนใจดี “โชคดีที่คุณหนูตู้นึกขึ้นได้ ข้าว่าแล้วเชียว แม้เจ้าหลานเนรคุณของข้าจะไม่เอาถ่าน แต่ก็มิใช่เด็กที่ไม่รู้จักขอบเขตถึงเพียงนั้น ทว่าสำคัญที่สุดคือคุณหนูตู้ไม่ได้เป็นอะไรมาก จูฮูหยิน ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
ถึงตู้เฟยเสวี่ยจะคับแค้นใจสุดประมาณก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนแววตาโกรธเกรี้ยวเอาไว้ แต่พอท่าทางนี้ตกอยู่ในสายตาของจูซื่อกลับกลายเป็นข้อพิสูจน์ว่าบุตรสาวร้อนตัว
นางรู้สึกอับอายเหลือจะกล่าวจึงฝืนใจบอกปัดของขวัญชิ้นใหญ่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้สาวใช้นำมามอบให้ แล้วพาตู้เฟยเสวี่ยกลับไปอย่างรีบเร่ง
รอเมื่อแขกกลับไปจนเกลี้ยง เห็นห้องโถงว่างเปล่งโหรงเหรง ฮูหยินผู้เฒ่าเงื้อไม้เท้าตีหยางโฮ่วเฉิง “เจ้าหลานเนรคุณ ทีนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ ตอนนี้พวกฮูหยินทั่วทั้งเมืองหลวงรู้กันหมดว่าเจ้าเป็นคนโมโหร้าย พูดขัดคอคำเดียวก็ถีบบุตรสาวผู้อื่นลงทะเลสาบ ข้าจะดูว่าวันหน้ายังจะมีตระกูลใดกล้าให้บุตรสาวแต่งงานกับเจ้า”
หยางโฮ่วเฉิงขยับเข้าไปใกล้ๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าตีตามสบาย เขาพูดด้วยรอยยิ้มระรื่น “ท่านย่าไม่โมโหๆ หลานก็ไม่อยากทำอย่างนั้นนะขอรับ”
เพียงแต่ได้ยินคำพูดระคายหูเช่นนั้น เขาก็ห้ามเท้าตนเองไม่อยู่ในชั่วขณะเท่านั้นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าตีเขาไปสองทีก็ตีต่อไม่ลงคอ นางกระแทกไม้เท้ากับพื้นอย่างมีน้ำโห “ช้าเร็วข้าต้องถูกเจ้ายั่วโมโหจนตาย”
หยางโฮ่วเฉิงยื่นมือใหญ่ไปโอบท่านย่าไว้ “ท่านย่าอย่าโกรธเลย ท่านต้องอายุยืนร้อยปี อีกหน่อยหลานจะหาหลานสะใภ้ที่ดีเป็นพิเศษให้ท่านคนหนึ่ง วันหน้าให้ท่านได้เลี้ยงเหลนนะขอรับ”
ได้ฟังคำกล่าวนี้ของหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ไฟโทสะในอกฮูหยินผู้เฒ่าคลายลงมากกว่าครึ่ง นางเบะปากกล่าว “เจ้าไม่ก่อเรื่องขึ้น ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
เมื่อปลอบอารมณ์ของท่านย่าให้สงบลงได้แล้ว หยางโฮ่วเฉิงก็ลอบหลบออกไปที่หอชุนเฟิง
ยามเห็นสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของฉือชั่นกับจูเยี่ยน เขาก็ยื่นมือชกแขนสหายคนละหมัดก่อนพูดโวยวาย “มารดามันเถอะ ในที่สุดก็พ้นเคราะห์มาได้”
ฉือชั่นพูดพลางหัวเราะเยาะ “เจ้าก็นับว่าสร้างชื่อลือลั่นไปทั้งเมืองหลวงแล้ว”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ระเบียงทางเดิน เซ่าหมิงยวนในชุดสีน้ำเงินเปิดประตูเข้ามา เห็นสหายรักสามคนอยู่พร้อมหน้า มุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
หยางโฮ่วเฉิงเดินรี่ไปหา “ถิงเฉวียน เจ้าต้องชดใช้ที่ข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย เพื่อคุณหนูหลีกับเจ้า วันนี้ข้ายอมแลกได้ทุกอย่าง กระทั่งคุณหนูใหญ่เรือนอื่นก็โดนข้าถีบตกทะเลสาบไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “เอ๊ะ เพื่อพวกข้าเท่านั้นหรือ”