หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 549
บทที่ 549
พอเซ่าหมิงยวนเอ่ยถามอย่างนี้หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะหึๆ อย่างชอบใจ “ยังแก้ปัญหาเรื่องงานเลี้ยงดูตัวของข้าไปด้วยพร้อมกัน คราวนี้ได้อยู่อย่างสงบเสียที”
ฉือชั่นหมุนคลึงจอกสุราในมืออย่างเฉื่อยชา “จะว่าไปเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรก็สมควรดีมิใช่หรือ จะบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนไปด้วยเหตุใด”
หยางโฮ่วเฉิงนั่งลงรินสุราให้ตนเอง “ปีหน้าข้าอยากไปทางทิศใต้ ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร แล้วจะตบแต่งหญิงสาวสักคนเป็นภรรยาให้นางต้องเฝ้าห้องหอเดียวดายไปไย”
มือที่กุมจอกสุราของเซ่าหมิงยวนชะงักค้าง ในใจเขาพลันหม่นหมองลง
หากตอนนั้นไม่มีพระราชโองการเรียกตัวเขากลับเมืองหลวงแต่งงานฉบับนั้น หากเขายืนกรานต่อไปว่าจะรอตีเมืองเยี่ยนให้ได้แล้วค่อยแต่งงานกับเจาเจา ใช่หรือไม่ว่านางคงไม่ต้องได้รับความเจ็บปวดจากการโดนลูกธนูดอกนั้นเสียบกลางอก
ยามคิดถึงลูกดอกนั้นเซ่าหมิงยวนรู้สึกปวดร้าวแทบขาดใจ เขายกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“ถิงเฉวียน?” จูเยี่ยนส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนหัวเราะออกมา “วันนี้ข้ากับฉงซานต่างคลี่คลายปัญหาหนักใจไปได้เรื่องหนึ่ง พวกเราดื่มสุรากันให้เต็มที่”
“ต้องดื่มกันให้เต็มที่จริงๆ ไว้ข้าไปทางทิศใต้แล้ว พวกเราอยากอยู่กันพร้อมหน้าอีกทียังไม่แน่ว่าจะเป็นเมื่อไรนะ” หยางโฮ่วเฉิงตบโต๊ะแล้วกล่าวขึ้น
ทั้งสี่ยกจอกสุราขึ้นดื่มอย่างหนำใจ
ครึ่งชั่วยามให้หลังเซ่าหมิงยวนก็มีส่วนเกินเกาะติดแขนขา
“ถิงเฉวียน เจ้าว่าหากท่านย่าของข้ารู้ว่าข้าไปถึงแดนใต้ จะโกรธจนล้มป่วยหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วพยักหน้า “เป็นไปได้มาก”
“แล้วจะทำฉันใด” หยางโฮ่วเฉิงแกว่งแขนของเขาไปมา
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วอย่างอดกลั้น เอาอย่างไรดี อยากจับเจ้าขี้เมาผู้นี้โยนออกไปเสียจริง
“อะ ข้าได้ความคิดแล้ว คุณหนูหลีช่ำชองวิชาแพทย์มิใช่รึ หรือไม่เชิญนางไปพำนักที่เรือนข้าก็ได้ เช่นนี้ถ้าเกิดท่านย่าข้าโกรธจนล้มป่วยก็ขอให้คุณหนูหลีช่วยเหลือได้แล้ว ฮ่าๆ ข้าช่างชาญฉลาดดีแท้” หยางโฮ่วเฉิงยิ้มหน้าบาน เขาเอาแก้มถูไถกับแขนของเซ่าหมิงยวน
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนเบือนหน้าหนีพร้อมกันอย่างทนดูไม่ได้
“เชิญคุณหนูหลีไปพำนักที่เรือนเจ้าหรือ” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอประกายเข้มขึ้น น้ำเสียงชักแปร่งๆ
ฉือชั่นแอบเตะหยางโฮ่วเฉิงใต้โต๊ะทีหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงทำหน้าระแวดระวัง “สือซี เจ้าเตะข้าด้วยเหตุใด ข้าขอบอกไว้นะ ห้ามแย่งคุณหนูลีกับข้า ข้าพูดก่อน…”
หยางซื่อจื่อพูดไม่ทันจบก็ถูกท่านแม่ทัพที่สีหน้าถมึงทึงหิ้วตัวขึ้น
พอสองเท้าลอยเหนือพื้น หยางโฮ่วเฉิงทำหน้าตื่นเต้นคึกคัก “ฮ่าๆ ดูเหมือนข้าบินได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนหิ้วตัวเขาแล้วเดินไปเปิดประตูจากนั้นโยนออกไปที่ระเบียงทางเดิน พร้อมกล่าวเสียงปึ่งชา “สร่างเมาได้แล้ว!”
หยางโฮ่วเฉิงโดนลมหนาวพัดก็ได้สติขึ้นเล็กน้อย เขากอดขาเซ่าหมิงยวนร่ำไห้เสียงดัง “ถิงเฉวียน เจ้าคงไม่ตีข้าจนตายกระมัง ข้าดื่มสุราจนเมาแล้ว ข้าจะบอกให้นะ ทุบตีคนเมาเป็นเรื่องไร้คุณธรรม!”
เซ่าหมิงยวนยิ้มเย็นๆ “ไม่หรอก เอาแค่ร่อแร่ปางตายก็พอ”
เมื่อวงสุราของบุรุษทั้งสี่จบลง เซ่าหมิงยวนขี่ม้าตรงดิ่งไปยังตรอกซิ่งจื่อ
เฉียวเจาได้ข่าวแล้วก็แอบมาหาเขา นางเห็นสองแก้มแดงเรื่อกับนัยน์ตาฉ่ำปรือน้อยๆ ของชายหนุ่มก็อดเลิกคิ้วสูงไม่ได้ “เมาสุราแล้วหรือ”
ในเรือนจุดอ่างไฟจนอบอุ่น เซ่าหมิงยวนถอดเสื้อคลุมบุนวมออกแล้วยังรู้สึกร้อน เขาจะถอดเสื้อตัวนอกออกอีก
เฉียวเจาตีเขาทีหนึ่งแล้วพูดดุ “จู่ๆ ถอดเสื้อผ้าด้วยเหตุใดกัน”
ชายหนุ่มตัวสูงกว่าเด็กสาวมาก เขาก้มศีรษะลงมองนางอย่างนี้คล้ายจะโอบล้อมตัวนางไว้ทุกด้าน
กลิ่นสุราหอมแรงลอยมาปะทะใบหน้า พาให้พวงแก้มของเด็กสาวราวกับซับสีแดงระเรื่อดุจดอกท้อเฉกเดียวกัน
พอเห็นมือของเขายังเปลื้องอาภรณ์ไม่หยุดจนคอเสื้อแบะออกเผยให้เห็นลูกกระเดือก เฉียวเจาก็หมดปัญญา นางยึดมือเขาไว้พลางพูด “ท่านเมาสุราหรือ”
ชายหนุ่มก้มหน้าพลางอมยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายพราวระยับ เขาเปล่งเสียงพูดออกมาสองคำพร้อมกับลมหายใจอุ่นจัด “ข้าร้อน”
เฉียวเจากุมขมับ เห็นทีว่าเขาจะเมาไม่น้อยจริงๆ
ตอนแรกนางตั้งใจจะมา ‘ซักไซ้ไล่เลียง’ แต่ดูท่าทางจะถามไม่ได้เรื่องแล้ว
เอ๊ะ คนผู้นี้คงไม่ได้จงใจกระมัง
“ท่านรอประเดี๋ยว ข้าไปต้มน้ำแกงสร่างเมาให้” เฉียวเจาหมุนกายไปแต่โดนชายหนุ่มรั้งไว้ นางได้แต่หันหน้าไปมองเขา
น้ำเมรัยในกายเซ่าหมิงยวนกำลังสำแดงฤทธิ์ ดวงตาฉ่ำเยิ้มจับจ้องที่เด็กสาวเบื้องหน้า “เจ้าช่วยข้าถอด”
เฉียวเจาเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน นางกล่าวอย่างเหลือเชื่อ “เซ่าหมิงยวน ท่านเมาไม่ได้สติแล้วนะ”
บุรุษตรงหน้าทำสีหน้าน้อยอกน้อยใจ เขาย้อนถามอย่างไม่กระดากปาก “เจ้าเป็นภรรยาข้า เหตุใดไม่ช่วยข้าถอด”
เส้นเอ็นตรงขมับของเฉียวเจาเต้นตุบๆ “ใครบอกท่านว่าข้าเป็นภรรยาท่านแล้วต้องช่วยท่านถอดเสื้อผ้า ท่านเลิกก่อกวนได้แล้ว ข้าจะไปต้มน้ำแกงสร่างเมา”
เซ่าหมิงยวนคว้าตัวนางไว้หมับ พูดอย่างลำพองใจ “ไม่ต้องให้คนอื่นบอกข้า ข้าก็รู้”
“หือ ท่านรู้ได้อย่างไร” เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น
ชายหนุ่มดูเหมือนจะทรงตัวไม่ค่อยอยู่ เขาก้มศีรษะลงเกยกับกระหม่อมของเด็กสาว พูดตอบอย่างซื่อสัตย์ “ข้าเคยฝันถึงน่ะสิ ในฝันมิใช่แค่เจ้าช่วยข้าถอดนะ ข้ายังช่วยถอดให้เจ้า…”
เฉียวเจาเตะหน้าแข้งเขาเต็มแรงทีหนึ่งแล้วพูดเอ็ด “เซ่าหมิงยวน หุบปากเสีย!”
เขาฝันอะไรเลอะเทอะเหลวไหล แล้วเหตุใดต้องพูดออกมาด้วย!
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้วพลางพูดเตือน “เจาเจา เจ้าเตะเบาสักนิด ระวังเท้าเจ็บ”
แม่นางเฉียวซึ่งกระอักกระอ่วนแกมขุ่นเคืองในทีแรกใจอ่อนยวบลงอย่างไร้สาเหตุ นางยกมือขึ้นลูบผมที่รุ่ยร่ายของเขาให้เข้าที่ก่อนถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ท่านอย่าพูดจาส่งเดช ข้าก็ไม่เตะแล้ว”
“ข้ามิได้พูดจาส่งเดชนะ” นัยน์ตากระจ่างใสดุจน้ำของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววคับข้องหมองใจ “ข้าฝันถึงตั้งสามครั้ง ที่น่าแปลกคือทุกครั้งล้วนอยู่ในถ้ำกลางเขา…”
เฉียวเจาหน้าแดงก่ำ ยื่นมือไปปิดปากเขาไว้ “ห้ามพูดต่ออีก”
“ได้ๆ เช่นนั้นข้าไม่พูดแล้ว” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนโค้งลง เขามองเด็กสาวด้วยสีหน้าวาดหวัง “เจ้าจะช่วยถอดเสื้อผ้าให้ข้าใช่หรือไม่”
“ข้าจะช่วยให้ท่านสร่างเมาต่างหาก” เฉียวเจาออกแรงผลักเขาออกแล้วลนลานหนีไป
ครึ่งชั่วยามให้หลังแม่ทัพหนุ่มซึ่งสร่างเมาแล้วมีสีหน้าเลื่อนลอย เขาถูหน้าแรงๆ
เมื่อครู่เขาพูดอะไรเหลวไหลไปบ้าง ทั้งยังเซ้าซี้ขอให้เจาเจาถอดเสื้อผ้าให้อย่างหน้าไม่อายอีก!
“ได้สติแล้วหรือ” เฉียวเจาเอาผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหน้าให้เขา
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงซ่อนแววตากระดากใจไว้ แต่ยังอดลอบพิศดูสีหน้าของเด็กสาวไม่ได้
สีหน้าของนางนิ่งขรึมจนจับความรู้สึกไม่ออก
“เจาเจา เมื่อครู่ข้าดื่มสุรามากเกินไป”
“ข้ารู้”
“ดังนั้นที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นวาจาเหลวไหล…”
“ข้ารู้”
“แล้วเจ้า…”
เฉียวเจากัดริมฝีปาก “เซ่าหมิงยวน วันหน้าห้ามดื่มสุรามากเกินไปอีก”
ทั้งที่เขาพูดความจริงหลังเมาสุรา กลับหลอกนางว่าเป็นวาจาเหลวไหล เห็นนางเป็นแม่นางน้อยไม่ประสีประสาจริงๆ ใช่หรือไม่
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “รู้แล้ว วันหน้าไม่ดื่มสุรามากเกินไปแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางซื่อๆ เจียมตนของเขาแล้ว เฉียวเจาก็เพียงถอนใจ “มันเรื่องอะไรกันถึงไปสู่ขอ ก็ตกลงกันไว้ว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิค่อยว่ากันอีกทีมิใช่หรือ”
เซ่าหมิงยวนกุมมือนาง “ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าจะไม่ได้ออกเรือน”
“ข้าไม่ใส่ใจ” เฉียวเจาดึงมือคืน
ชายหนุ่มกุมมือนางแน่นขึ้น เขาพูดอย่างจริงจัง “แต่ข้าใส่ใจ”
นางอึ้งไปก่อนกล่าวเสียงเบา “แต่เป็นอย่างนี้คิดจะให้ท่านพ่อข้าพยักหน้าตกลงเรื่องแต่งงานก็ยากยิ่งขึ้นแล้ว”
“ข้ารู้” เขาเพ่งมองนางพลางพูดเสียงนุ่ม “ข้าจะทุ่มความพยายามมากขึ้นอีกเพื่อให้ท่านพ่อตาพึงใจ แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าไม่อยากได้ยินคนพวกนั้นพูดจาว่าร้ายและดูแคลนเจ้า”