หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 550
บทที่ 550
ประกายตาของชายหนุ่มอ่อนโยนนักหนา ละม้ายสุรารสเข้มแรงทำให้คนมึนเมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เฉียวเจาเบนสายตาออก นางคิดคำนึงในใจ เจ้าคนผู้นี้ดื่มสุราแล้วดูเหมือนจะคารมดีเป็นพิเศษ
“เจาเจา ไฉนเจ้าไม่มองข้า” เขาก้มศีรษะลงซบซอกไหล่นางด้วยท่าทางแฝงความออดอ้อนไว้หลายส่วน
เฉียวเจาตัวแข็งทื่อ นางกล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านมีอะไรชวนมองหรือ”
“ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปก็มองไม่เห็นแล้วนะ”
นางมองค้อนเขาวงหนึ่ง “วางใจได้ ข้าไม่เสียดายภายหลังแน่”
“แต่ข้าเสียดาย” เซ่าหมิงยวนพูดพึมพำคำหนึ่งแล้วรวบตัวเด็กสาวไว้ในวงแขน “เจาเจา ข้าไม่ค่อยจะเคยชินเสียแล้วที่ไม่ได้เห็นเจ้าทุกเวลา”
นางผลักเขาออก แต่แผงอกแข็งแน่นของบุรุษราวกับหินผา ไม่ขยับเขยื้อนแม้สักน้อยนิด
“มอบสมุดบัญชีสองเล่มนั้นให้พวกเขาแล้วหรือยัง” เฉียวเจาเปลี่ยนเรื่องพูด
“อื้อ ไม่ต้องห่วง หนนี้ฝ่าบาทเอื้อนพระโอษฐ์แล้ว คนพวกนั้นไม่กล้าทำอย่างขอไปที ไม่แน่ว่าก่อนที่ว่าการจะเก็บตราประทับขึ้น* ตอนเดือนสิบสองก็ปิดคดีได้แล้ว”
เฉียวเจาโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “ข้าสมควรกลับเรือนแล้ว เพราะท่านเชิญแม่สื่อมาสู่ขอกะทันหัน ท่านพ่อข้าหัวเสียจนไม่ไปที่ว่าการ”
ท่านพ่อที่เคารพของนางหาเหตุผลหยุดงานอีกจนได้
“ข้าไปส่งเจ้า”
“อยู่ด้านข้างนี่เอง จะส่งอะไรกัน” เฉียวเจาบอกปัด
เซ่าหมิงยวนจับมือนางเดินออกไปโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ “ข้าอยากส่ง”
เฉียวเจาขัดขืนครู่หนึ่ง นางเม้มปากแล้วพูด “เซ่าหมิงยวน ข้าค้นพบว่าท่านดื่มสุราแล้วไม่มีเหตุผลสักนิด”
เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำ “ระหว่างสามีภรรยาไม่ต้องการเหตุผล วันหน้าข้าเชื่อฟังเจ้าก็พอแล้ว”
“ใครเป็นสามีภรรยากับท่าน” เฉียวเจาเขินอาย
มีใครที่ใดกันหน้าหนาถึงเพียงนี้ กล่าวถ้อยคำหวานเลี่ยนพรรค์นี้ไม่ขาดปากโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
เซ่าหมิงยวนชะงักเท้าหยุดยืนนิ่ง ก้มลงมองเฉียวเจาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เมื่อก่อนใช่ วันหน้าก็ต้องใช่”
“แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่…”
ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปแตะจูบกลีบปากนุ่มนิ่มของเด็กสาวเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า “ดังนั้นข้ายังต้องพยายามต่อไป เจาเจา เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ หากบริเวณใกล้ๆ คนทั้งคู่กลับทวีความร้อนขึ้นฉับพลันอย่างน่าตกใจ
องครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงสบตากันแวบหนึ่งแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรู้กาลเทศะ
“แค่กๆ วันนี้อากาศไม่เลวเลยนะ” องครักษ์คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
องครักษ์อีกคนรีบพยักหน้า “นั่นสิ ไม่เลวจริงๆ ข้ารู้สึกว่าร้อนแล้ว”
“อื้อ ร้อนเอาการ”
องครักษ์คนแรกเงียบ “…”
องครักษ์คนที่สองก็เงียบเช่นกัน “…”
การที่ต้องมองดูท่านแม่ทัพกับว่าที่ฮูหยินแม่ทัพพลอดรักกันอยู่ด้านข้างอย่างนี้ยากทานทนอยู่บ้างจริงๆ พวกเขาก็เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์พอดี หรือท่านแม่ทัพไม่รู้ว่าพวกเขาก็อยากมีภรรยาเช่นกัน
“เฮ้อ…” องครักษ์คนแรกถอนใจเฮือกหนึ่ง
“เฮ้อ…” องครักษ์คนที่สองถอนใจตาม
ทั้งสองส่งสายตาปลอบใจกันและกัน ยังดีที่ท่านแม่ทัพกำลังจะมีฮูหยินให้พวกข้าแล้ว อดทนไปเถอะ
“คนอื่นมองดูอยู่นะ อย่าทำเหลวไหล” เฉียวเจากระซิบเตือน ใบหน้านางแดงปลั่งดุจแสงสนธยา
คนผู้นี้ยิ่งมายิ่งหน้าหนา นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเขาดีแล้ว
“พวกเขาเป็นองครักษ์ของข้า ไม่ต้องสนใจ” ถึงเซ่าหมิงยวนจะกล่าวอย่างนี้แต่ยังข่มใจไว้ไม่ให้จูบนี้เตลิดไปไกลขึ้น เขาจุมพิตมุมปากเด็กสาวเล็กน้อยแล้วผละออกก่อนจะจูงมือนางเดินไปทางหน้าประตู
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่หน้าประตูมองเฉียวเจาด้วยสายตาหวานซึ้ง “เจ้ากลับไปเถอะ รอเจ้าเข้าเรือนแล้วข้าค่อยปิดประตู”
“อื้อ” เฉียวเจาหมุนกายไปแล้วอดตะลึงงันไม่ได้ นานครู่หนึ่งถึงส่งเสียงเรียกขาน “ท่านพ่อ…”
หลีกวงเหวินทำหน้าตึงมองสำรวจเจ้าหนุ่มบัดซบที่ล่อลวงบุตรสาวเขา
อืม ตัวสูงขายาว แววตาแจ่มกระจ่าง ดูไปก็เข้าท่าเข้าทางดี แต่นิสัยใจคอชั่วช้าเลวทรามเกินไป ถึงกับล่อลวงให้บุตรสาวข้ามาลักลอบพบกัน!
ชั่วช้าเลวทรามเหลือเกินจริงๆ!
หลีกวงเหวินยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล เขาถลึงตาใส่แม่ทัพหนุ่มที่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่เหมือนรูปปั้นอย่างดุดันก่อนบอกเสียงห้วน “ตามข้ามา”
เขาเดินไปสองก้าวแล้วหยุดฝีเท้ากึกหันหลังกลับ “ไม่ถูก ไปเรือนเจ้า”
ถ้าไปที่จวนสกุลหลีคนทั้งจวนก็ต้องรู้ว่าบุตรสาวของเขาลักลอบนัดพบกับบุรุษเจ้าชู้มิใช่หรือ ยังดีที่เขาหลักแหลมหัวไว ไม่ได้โกรธจนหน้ามืดตามัว
ท่านแม่ทัพเกือบชนเข้ากับว่าที่ท่านพ่อตาที่ทำสีหน้าบูดบึ้ง เขาลูบๆ จมูกแล้วรำพึงในใจว่า หวุดหวิดไปแล้ว
จากนั้นเดินตามหลังหลีกวงเหวินเข้าประตูลานเรือนไปอย่างสงบเสงี่ยม
“ท่านแม่ทัพ ท่านส่งฮูหยินแม่ทัพกลับไปแล้วหรือ…”
พอองครักษ์ทั้งสองเห็นหลีกวงเหวินเดินเข้ามาเสียงพูดก็ขาดหายไปกะทันหัน พวกเขาหันขวับไปมองท่านแม่ทัพดวงตกของพวกตนพร้อมกัน
นี่ท่านแม่ทัพโดนจับได้คาหนังคาเขาหรือ
สององครักษ์มองหน้ากันไปมาแล้วเริ่มสองจิตสองใจฉับพลัน
ประเดี๋ยวถ้าว่าที่ท่านพ่อตาของท่านแม่ทัพจะอัดสั่งสอนท่านแม่ทัพ พวกข้าจะต้องช่วยหรือไม่ช่วยดีนะ
“แค่กๆ จู่ๆ ข้านึกขึ้นได้ว่ายังไม่ให้อาหารม้าเลย!” องครักษ์คนแรกพึมพำกับตนเองเสียงดังแล้วก้าวขาเดินออกไปเลย
องครักษ์คนที่สองรีบตามไป “ข้าไปหอบฟาง!”
ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือแต่แม่ทัพหนุ่มเผชิญหน้ากับว่าที่ท่านพ่อตาหน้าบึ้ง
เซ่าหมิงยวนลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ยังดีที่องครักษ์สองคนหลบฉากออกไป ประเดี๋ยวถ้าโดนว่าที่ท่านพ่อตาซ้อมจนน่วมจะได้ไม่ขายหน้านัก
“ท่านพ่อ…”
หลีกวงเหวินชายหางตามองเฉียวเจา “เป็นเด็กเป็นเล็กห้ามพูด!”
เขามองเซ่าหมิงยวนตาขวาง
เจ้าหนุ่มตัวเหม็นได้ยินแล้วใช่หรือไม่ บุตรสาวของข้ายังเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆ อยู่เลย เจ้าก็ทำได้ลงคอ!
เซ่าหมิงยวนหลุบตาต่ำ กล่าวอย่างอ่อนน้อม “เชิญท่านเข้าเรือนไปดื่มน้ำชากันเถอะขอรับ”
“มีสุราหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อยแล้วรีบพยักหน้า “มีขอรับ”
หลีกวงเหวินแค่นเสียงพูด “มีสุราแล้วจะดื่มน้ำชาอะไรกัน”
อันว่าสุราเข้าปากเห็นธาตุแท้คน เขากลับอยากดูนักว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้เมาสุราแล้วจะอยู่ในสภาพใด
หนึ่งชั่วยามถัดมา
บนโต๊ะมีไหสุราที่ดื่มจนเกลี้ยงวางตั้งอยู่หลายใบ หลีกวงเหวินที่สองตาฉ่ำปรือคีบกระเพาะหมูผัดพริกหวานพลางกล่าวชม “กระเพาะหมูผัดพริกหวานจานนี้ทำได้ถึงรสถึงชาติยิ่งนัก”
แม่ทัพหนุ่มตาเป็นประกาย แต่น้ำเสียงนอบน้อมดุจเก่า “ท่านลิ้มรสอาหารได้เก่งกาจมากขอรับ ในกระเพาะหมูผัดพริกหวานจานนี้ใส่สุราปรุงรสที่หมักขึ้นเป็นพิเศษ เป็นตำรับลับของร้านไป่เว่ย”
หลีกวงเหวินตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น “ข้าก็ว่าแล้วเชียวไฉนกระเพาะหมูผัดพริกหวานจานนี้ถูกปากถึงเพียงนี้ ของโปรดของข้าก็คือกระเพาะหมูผัดพริกหวานของร้านไป่เว่ยนั่นเอง”
“ใช่ขอรับ เจาเจาเคยบอกกับข้า”
“เจาเจาเคยบอกเจ้า?” หลีกวงเหวินที่เริ่มเมาสุราหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหลากใจอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนเหลือบมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ “ใช่ขอรับ เจาเจาบอกว่าท่านชอบกินกระเพาะหมูผัดพริกหวานของร้านไป่เว่ย”
“นี่เจ้าส่งคนไปซื้อมาจากร้านไป่เว่ยหรือ” หลีกวงเหวินเอ่ยถาม เขาพลันรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ถูกตาขึ้นหลายส่วน
นับว่ารู้จักเอาใจใส่ จำได้ว่าของโปรดของเขาคือกระเพาะหมูผัดพริกหวาน
แน่นอนว่าที่สำคัญเพราะบุตรสาวจดจำได้ว่าเขาชอบกินอะไร เขาถึงได้ดีใจ ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้
เซ่าหมิงยวนมองว่าที่ท่านพ่อตาที่กึ่งเมากึ่งมีสติแล้วอมยิ้มเอ่ยขึ้น “ผู้เยาว์ขอตำรับลับมาจากร้านไป่เว่ยแล้วลงมือทำเองขอรับ”
“เจ้าทำเอง?” หลีกวงเหวินจู่ๆ ก็รู้สึกมึนศีรษะอยู่สักหน่อย
“ขอรับ ฝึกทำเองจนเป็นแล้ว วันหน้าหากท่านหรือเจาเจาอยากกินก็สะดวกขึ้นมาก” สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
หลีกวงเหวินยิ้มหน้าชื่นตาบานอย่างถูกใจกับถ้อยคำนี้ “อื้อ เจ้าช่างเอาใจใส่ดี จริงสิ เจาเจายังชอบกินหัวสิงโตราดน้ำแดงด้วยนะ”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างสุภาพนุ่มนวล “อาหารจานนี้ข้าก็ฝึกทำแล้วขอรับ”
เฉียวเจาแอบกลอกตาขึ้น
เอาเถอะ ท่านชนะแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อมิใช่คู่ต่อสู้!
* ในสมัยโบราณของจีน ก่อนถึงวันตรุษที่ว่าการต่างๆ จะนำตราประทับประจำหน่วยงานเก็บขึ้นเป็นการหยุดทำงานชั่วคราวตามธรรมเนียม