หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 551
บทที่ 551
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
หลีกวงเหวินที่เมาสุราแล้วสะอึกทีหนึ่งก่อนยื่นมือไปตบไหล่เซ่าหมิงยวน “อื้อ ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน แม้ว่าเจาเจายังเด็กอยู่แต่ก็มีความสามารถเกินหน้าสตรีคนอื่นๆ ไปไกลหลายขุม หากมีพวกที่ไม่รู้จักพื้นเพมาสู่ขออยู่ร่ำไปก็น่ารำคาญเหลือทนจริงๆ มิสู้เลือกคนที่ไว้วางใจได้สักคนหมั้นหมายกันไว้เสียก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป”
มุมปากของแม่ทัพหนุ่มแย้มออกยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่ตลอด “ท่านคิดอ่านได้ปรุโปร่งตามเคย ถ้าผู้เยาว์หมั้นหมายกับเจาเจาแล้วจะจัดพิธีมงคลเมื่อไรล้วนฟังท่านคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้อายุของเจาเจาก็มิใช่ปัญหาแต่อย่างใดอีกต่อไป หมั้นหมายไว้แต่เนิ่นๆ มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย ท่านเห็นว่าถูกหรือไม่ขอรับ”
หลีกวงเหวินที่สองตาฉ่ำปรือพยักหน้าหงึกหงัก “ก็เป็นเหตุผลนี้นี่ล่ะ”
รอยยิ้มของคนหนุ่มซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ฝั่งตรงข้ามขยายกว้างขึ้นทันที
หลีกวงเหวินหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพลางเกาท้ายทอย “แต่ว่า…ใครจะรู้ว่าคนที่มาสู่ขอจะไว้วางใจได้หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนยิ้มแล้ว “ท่านเห็นว่าเป็นผู้เยาว์ได้หรือไม่ขอรับ”
หลีกวงเหวินจ้องมองคนหนุ่มที่มีรอยยิ้มละมุนละไมอย่างจับผิดปราดหนึ่ง เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง จึงยกมือขึ้นนวดๆ ที่ขมับพลางไต่ถาม “เลี้ยงดูภรรยาไหวหรือไม่”
คนหนุ่มฝั่งตรงข้ามผงกศีรษะ “ผู้เยาว์ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ท่านโหวระดับหนึ่ง เบี้ยหวัดปีละสองพันตั้น* เพียงพอจะเลี้ยงดูภรรยาได้ขอรับ”
“สองพันตั้น?” ว่าที่ท่านพ่อตาที่กึ่งเมากึ่งมีสตินับนิ้วคำนวณ
เขาเป็นราชบัณฑิตขั้นหก เบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้น ปีหนึ่งก็เพียงเก้าสิบหกตั้น ถ้าสองพันตั้นล่ะก็…เอ่อ…เขาต้องไปปฏิบัติงานที่ที่ว่าการอย่างซื่อสัตย์นานยี่สิบปีกระมัง!
เอาอย่างไรดี จู่ๆ ไม่อยากทำงานแล้ว!
“ไม่มีคนรังแกเจาเจา?”
“บิดาของผู้เยาว์เป็นคนเมตตาใจดี ส่วนมารดาฝักใฝ่ถือศีลไม่ข้องแวะเรื่องทางโลก อีกทั้งผู้เยาว์แยกเรือนออกมาตั้งจวนเองแล้ว ขอเพียงเจาเจาแต่งเข้ามาก็จะเป็นประมุขหญิงปกครองเรือน กระทั่งผู้เยาว์ก็เชื่อฟังนางขอรับ”
“เช่นนี้ค่อยยังชั่ว” หลีกวงเหวินพยักหน้าหงึกหงัก แต่แล้วก็รู้สึกว่าไม่ใคร่ดีนัก “เจ้าเป็นท่านโหวขั้นหนึ่งผู้ทรงเกียรติ เชื่อฟังภรรยาไม่กลัวโดนคนหัวเราะเยาะหรือไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าแววตาจริงใจ “บารมีของบุรุษมิใช่สั่งสมขึ้นจากการวางอำนาจต่อหน้าภรรยาขอรับ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้รอยยิ้มของเขาแฝงรอยเย็นชาแกมเยาะหยันหลายส่วนอยู่ในที “อีกประการหนึ่งไม่น่าจะมีผู้ใดพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าผู้เยาว์”
หลีกวงเหวินพยักหน้ายิ้มๆ ท่าทางพึงพอใจกับคำตอบนี้เป็นอันมากอย่างเห็นได้ชัด ครั้นมองดูบุตรสาวโฉมงามดุจบุปผาก็ทำใจยอมรับไม่ได้อีก เขาเอ่ยถามต่อ “ข้าได้ยินว่าตระกูลผู้สูงศักดิ์ล้วนถือธรรมเนียมรับอนุ”
“ตระกูลผู้สูงศักดิ์จะถือธรรมเนียมนี้หรือไม่ผู้เยาว์ไม่แจ่มแจ้ง ทว่าผู้เยาว์ไม่ถือธรรมเนียมนี้แน่นอน ชั่วชีวิตนี้ผู้เยาว์เพียงปรารถนาจะครองคู่กับเจาเจาจนผมหงอกขาวเท่านั้น หวังว่าท่านจะช่วยส่งเสริมด้วยขอรับ”
ได้ยินคำกล่าวนี้ แพขนตาของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ นางชายตามองเขาแวบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนหันมามองแล้วยิ้มกับนางอย่างอ่อนโยน
หลีกวงเหวินตรึกตรองอยู่ในใจ เบี้ยหวัดสูง ไม่อยู่ใต้อำนาจผู้ใด ซ้ำยังไม่รับอนุ บุตรเขยที่เพียบพร้อมได้ดั่งใจชั้นนี้ไม่เลวเลย!
“เช่นนั้นท่านตอบตกลงแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนได้ทีรีบเอ่ยถาม
หลีกวงเหวินนวดๆ ตรงหัวตา “ได้ พาบุตรสาวข้าไปเลย”
เฉียวเจากุมขมับ ท่านพ่อที่เคารพฉวยจังหวะเมาสุราขายนางให้คนอื่นไปแล้วหรือ
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นโค้งคำนับให้หลีกวงเหวินอย่างเต็มพิธีการ “ผู้เยาว์จะเชิญผู้อาวุโสในตระกูลไปสู่ขออีกคราหนึ่งโดยเร็วที่สุด ขอบคุณท่านที่ส่งเสริมขอรับ”
เขาพูดพลางชำเลืองมองเฉียวเจา ปลายหางตาที่ชี้ขึ้นน้อยๆ แฝงรอยปีติยินดีจากใจจริงระคนความมาดมั่นทรนงที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
เฉียวเจาหลุบตาลง ใบหน้าของนางแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
คนผู้นี้คงจะพูดกล่อมคนได้เก่งอย่างยิ่ง ขอเพียงเขาอยากทำ
ตอนเซ่าหมิงยวนเดินออกมาส่งหลีกวงเหวินที่ด้านนอก เขาลอบกุมมือเฉียวเจาไว้ก่อนกล่าวเสียงแผ่วเบา “รอข้า”
“อยู่ต่อหน้าท่านพ่อข้าท่านก็มือไม้อยู่ไม่สุข ระวังเขาจะชกท่าน” นางมองค้อนเขาวงหนึ่ง
ชะรอยเพราะรู้ว่าเรื่องแต่งงานใกล้จะเป็นที่แน่นอนในเร็ววันนี้แล้ว เฉียวเจาจึงเริ่มมีท่าทีใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เซ่าหมิงยวนหัวเราะในลำคอ “ไม่หรอก วันหน้าท่านพ่อเจ้าก็คือท่านพ่อตาของข้า จะเข้าข้างใครก็ยังไม่แน่นะ”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ นางพลันรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
เพียงอาศัยความสามารถในการพูดกล่อมคนของคนผู้นี้ จะหลอกล่อท่านพ่อท่านแม่นางแทบจะเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือสำหรับเขาเลยทีเดียว
หลีกวงเหวินเดินโซเซกลับไปถึงเรือนหยาเหอ
เหอซื่อถือผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดหน้าเช็ดมือให้สามี นางเช็ดไปพูดบ่นไป “ไฉนจู่ๆ ก็ดื่มสุราเจ้าคะ”
เขาโบกมือไปมา “ไม่ต้องวุ่นวายๆ เจ้าตั้งครรภ์อยู่นะ ฮ่าๆๆ…”
“ท่านพี่หัวเราะอะไรเจ้าคะ”
หลีกวงเหวินเอนกายลงบนเตียง ประสานสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ฤทธิ์สุราแล่นขึ้นมาเป็นระลอก “เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้ข้าหาคู่ครองให้บุตรสาวเราได้แล้ว”
“อะไรนะ!” เหอซื่อขึ้นเสียงสูงกะทันหัน “ท่านพี่ ท่านดื่มสุรามากเกินไปแล้วกระมัง”
เขาพยายามลืมตาขึ้น “ข้าไม่ได้ดื่มสุรามากเกินไป ข้ามีสติแจ่มใสดีอยู่ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ บุตรเขยของเรายอดเยี่ยมมาก เบี้ยหวัดปีเดียวเท่ากับข้ารับราชการมาครึ่งชีวิต ดังนั้นไม่ทำให้เจาเจาของเราต้องกล้ำกลืนฝืนทนเป็นอันขาด”
เหอซื่อเบะปาก “ข้าจะให้สินเจ้าสาวก้อนใหญ่กับเจาเจาอยู่แล้ว ฝ่ายชายดีหรือไม่จะวัดกันด้วยทรัพย์สินเงินทองมิได้นะเจ้าคะ”
“ออกเรือนไปก็ได้เป็นประมุขหญิงครองเรือน”
เหอซื่อตาเป็นประกาย “เช่นนี้ดีเจ้าค่ะ!”
หลีกวงเหวินหัวเราะแหะๆ ไม่หยุดอย่างชอบใจ “เขายังรับปากว่าจะไม่รับอนุ ไม่มีสาวใช้ห้องข้าง”
เหอซื่อตาเป็นประกายมากขึ้น
“เขายังบอกอีกว่าหมั้นหมายไว้ก่อนได้ ส่วนเจาเจาจะออกเรือนไปเมื่อไรพวกเราเป็นคนตัดสินใจ”
เหอซื่อโยนผ้าเปียกๆ ทิ้งไว้ด้านข้าง นางเริ่มตื่นเต้นคึกคัก “ท่านพี่ บุตรเขยดีถึงเพียงนี้ท่านไปเสาะหามาจากที่ใดเจ้าคะ”
เขายกมือชี้พร้อมกับกล่าวอย่างลำพองใจ “ว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก อยู่เรือนติดกันนี่เอง”
“บังเอิญถึงเพียงนี้” เหอซื่อตบมือแล้วฉุกใจขึ้นได้ “ประเดี๋ยวก่อน อยู่เรือนติดกันนี่เองหรือเจ้าคะ”
คนที่อยู่ในเรือนด้านข้างมิใช่เจ้านกอินทรีหางใหญ่ตัวนั้นรึ!
“อื้อ ถึงได้บอกว่าเป็นเนื้อคู่กับเจาเจาของเราน่ะสิ” หลีกวงเหวินหัวร่อขลุกขลักแล้วพลิกกายหลับไป
เหอซื่อยกมือทาบอก
สวรรค์! บุตรสาวข้าจะโดนเจ้านกอินทรีหางใหญ่คาบไปจริงๆ แล้ว!
ไม่ได้ ข้าต้องไปถามบุตรสาวให้รู้เรื่อง
“ท่านพูดถึงกวนจวินโหวหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาบุ้ยใบ้บอกให้อาจูพาเอ้อร์ปิ่งออกไป ค่อยรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้มารดา
เหอซื่อไม่ดื่ม เพียงกุมถ้วยด้วยสองมือให้อุ่นมือ นางลดสุ้มเสียงลงกล่าว “เจาเจา เจ้าแย้มพรายให้แม่รู้สักนิดว่าเจ้าชมชอบกวนจวินโหวหรือไม่”
เฉียวเจานิ่งเงียบทันที
เหอซื่อคลายยิ้มโอบไหล่นางไว้ “พูดกับแม่ยังจะมีอะไรต้องเขินอายอีก ความจริงแล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีข้อดีร้อยแปดพันประการอย่างไร มีเพียงเจ้าชมชอบถึงจะสำคัญที่สุด”
นางกล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดเสริมขึ้นอีกคำ “แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องชมชอบเจ้าเฉกเดียวกัน”
ความรักข้างเดียวเช่นนี้นางเคยลิ้มรสชาติของมันมาก่อน นางไม่อยากให้บุตรสาวเดินซ้ำรอยตน
เหอซื่อคิดไปเช่นนี้แล้วยกมือประคองท้องที่นูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางคลี่ยิ้มน้อยๆ อีกครา
ยังดีที่ตอนนี้นางหมดทุกข์พบสุขแล้วในที่สุด
เฉียวเจาหลุบตาลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
“น่าจะถามเจ้าเร็วกว่านี้ เช่นนั้นท่านพ่อเจ้าจะได้ไม่ไล่แม่สื่อกลับไป” เหอซื่อเอามือทุบฝ่ามือตนเองอย่างเสียดาย นางมองเฉียวเจาอย่างกระวนกระวาย “เจ้าคงไม่ตำหนิท่านพ่อท่านแม่กระมัง โอ๊ย แล้วทางนั้นยังจะส่งแม่สื่อมาอีกหรือไม่นะ”
“ส่งมาเจ้าค่ะ ท่านแม่สบายใจได้” เฉียวเจาบอกยิ้มๆ
มันเรื่องอะไรกันถึงรู้สึกกลายเป็นฝ่ายเร่งรัดเสียเองเช่นนี้ แม่นางเฉียวไต่ถามฟ้าเบื้องบนอย่างหมดคำพูด
* ตั้น (石) เป็นหน่วยมาตราตวงสมัยโบราณของจีน มีค่าเท่ากับ 120 ชั่ง