หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 553
บทที่ 553
“ใบหน้าของน้องเก้าหายดีแล้วหรือ” องค์หญิงแปดไต่ถามพร้อมรอยยิ้ม
องค์หญิงเจินเจินแย้มมุมปากออก “ขอบคุณพี่หญิงแปดที่ห่วงใย ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้เช่นนั้นก็ดี สำหรับอิสตรีแล้วรูปโฉมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด องค์หญิงอย่างพวกเราก็มิใช่ข้อยกเว้น น้องเก้าต้องถนอมรักษาใบหน้าไว้ให้ดีๆ วันหน้าก็ออกไปนอกวังให้น้อยลงจะเป็นการดีที่สุด”
“เรื่องนี้คงไม่รบกวนพี่หญิงแปดให้ต้องเป็นกังวล เสด็จพ่อยังทรงรออยู่ในห้องทรงพระอักษร พี่หญิงแปดรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
องค์หญิงแปดเผยรอยยิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปล่ะ”
องค์หญิงเจินเจินหยุดยืนบนบันไดพลางเหลียวมองตามแผ่นหลังขององค์หญิงแปดที่ลับร่างไปตรงหน้าประตูแวบหนึ่ง จากนั้นรีบรุดกลับไปยังตำหนักบรรทม
“กลับมาเร็วเพียงนี้เลยหรือ” เจียงซือหร่านที่รออยู่ในห้องเห็นองค์หญิงเจินเจินกลับมาถึงก็อดประหลาดใจไม่ได้
“หร่านราน เจ้ารอสักครู่นะ” องค์หญิงเจินเจินสาวเท้าไปที่ห้องหนังสือ
เจียงซือหร่านไล่ตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
องค์หญิงเจินเจินวางพู่กันลง เป่าลมใส่กระดาษให้หมึกแห้งแล้วค่อยพับทบกันอย่างเรียบร้อยถึงสอดใส่ซองยื่นส่งให้สหายรัก “หร่านราน พอเจ้าออกจากวังแล้วช่วยข้านำสารฉบับนี้ไปมอบให้กับคุณหนูหลีซานด้วย”
เจียงซือหร่านอึ้งไป นางมุ่นคิ้วกล่าวขึ้น “เจ้ายังเขียนสารถึงหลีซานอีกหรือ”
“ข้าไม่สะดวกจะออกนอกวังบ่อยๆ แต่มีเรื่องสำคัญต้องส่งข่าวถึงนาง ดังนั้นต้องไหว้วานเจ้าแล้ว” องค์หญิงเจินเจินกล่าวอย่างจริงใจ
เจียงซือหร่านมองซองสารในมือด้วยความฉงนสงสัย นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เจ้ากับหลีซานสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
องค์หญิงเจินเจินคลี่ยิ้ม “มิได้สนิทสนมกัน แต่มีเรื่องสำคัญจริงๆ”
“หรือเจ้ารู้สึกไม่สบายที่ใบหน้า ยาขี้ผึ้งมีปัญหาหรือ” เจียงซือหร่านถามซักไซ้
องค์หญิงเจินเจินกุมมือนาง “หร่านราน เจ้าอย่าถามเลยนะ ข้าขอร้อง ช่วยนำสารฉบับนี้มอบให้คุณหนูหลีซานให้ได้ในวันนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
พอเห็นสหายรักไม่ยอมบอกอะไรไปมากกว่านี้ มิหนำซ้ำยังเกี่ยวข้องกับคนที่นางเกลียดชังที่สุด ส่งผลให้เจียงซือหร่านไม่สบอารมณ์เป็นอันมาก นางกำซองสารในมือโดยไม่กล่าววาจาสักคำ
องค์หญิงเจินเจินพูดกล่อม “หร่านราน ไว้วันหน้าข้าถักเชือกเป็นลายค้างคาวห้าสีให้เจ้าชิ้นหนึ่งดีหรือไม่ คราวก่อนเจ้าบอกว่าชอบเชือกถักลายนี้ที่แขวนอยู่ตรงหัวเตียงข้าชิ้นนั้นมากที่สุดเลยนะ”
เจียงซือหร่านพยักหน้าในที่สุด “ก็ได้ แต่เจ้าห้ามไปสนิทสนมกับหลีซานลับหลังข้า ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าต้องแค้นใจตายแน่”
“เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก” เห็นเจียงซือหร่านรับปากแล้วองค์หญิงเจินเจินก็โล่งอกไปที
พอส่งสหายรักกลับไปแล้ว องค์หญิงเจินเจินยืนพิงฉากกั้นแล้วเริ่มใจลอย
“องค์หญิง ฉากกั้นเย็นนะเพคะ…” นางกำนัลประจำตัวเอ่ยเตือนขึ้น
องค์หญิงเจินเจินถึงรู้สึกตัว นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดๆ ที่หางตา
นางกำนัลสะดุ้งตกใจ “องค์หญิงทรงกันแสงหรือเพคะ…”
องค์หญิงเจินเจินเดินตรงไปนั่งลงข้างเตียง หยิบหมอนอิงผ้าย้อมลายสีดำมากอดไว้เงียบๆ
นางกำนัลเดินอ้อมไปอยู่ข้างหลังองค์หญิงเจินเจินแล้วบีบนวดหัวไหล่ให้เบาๆ
“เมื่อครู่เสด็จพ่อทรงเรียกข้าไปเข้าเฝ้าเพราะอยากจะคัดเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างข้ากับองค์หญิงแปดให้แต่งงานกับกวนจวินโหว”
นางกำนัลตาเป็นประกาย “ยินดีด้วยเพคะ”
มีครั้งหนึ่งองค์หญิงทรงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนเปิดเผยความลับเรื่องที่ตนมอบใจให้กวนจวินโหว นางในฐานะนางกำนัลประจำตัวเลยกลายเป็นผู้รับฟัง นับแต่นั้นเป็นต้นมาองค์หญิงก็ทรงให้ความใกล้ชิดกับนางมากขึ้นหลายส่วน และนางก็กลายเป็นคนคนเดียวที่ล่วงรู้ความลับขององค์หญิง
องค์หญิงเจินเจินยกมือขึ้นลูบหน้า นางยิ้มเยาะตนเอง “เสด็จพ่อทอดพระเนตรเห็นข้าในสารรูปนี้ก็มีรับสั่งให้ข้ากลับมาแล้ว”
“องค์หญิง คุณหนูหลีซานบอกไว้ว่าทายาติดต่อกันอีกไม่กี่วัน พระพักตร์ของพระองค์ก็จะดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ ไฉนพระองค์ไม่…”
องค์หญิงเจินเจินมองนางกำนัลด้วยสายตาเรียบเฉย นางเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง “ไฉนไม่ทูลอธิบายกับเสด็จพ่อหรือ”
แววตาของนางกำนัลไหววูบหนึ่งเป็นเชิงยอมรับตามคำกล่าวของผู้เป็นนาย
องค์หญิงเจินเจินกอดหมอนอิงมองไปนอกหน้าต่าง
ราตรีก่อนมีหิมะตกด้านนอกราวกับห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีเงินขาว แม้แต่จิตใจคนก็คล้ายถูกหิมะที่ตกลงมาครั้งนี้ชำระล้างจนสะอาด
“เพราะข้าไม่อยากน่ะสิ” องค์หญิงเจินเจินพึมพำเสียงเบา
หากเจียงซือหร่านไม่ได้นำข่าวเรื่องจวนกวนจวินโหวไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีมาบอก ต่อให้ยำเกรงเสด็จพ่อผู้สูงศักดิ์เลิศลอยพระองค์นั้นปานใด นางก็จะต่อสู้แย่งชิงอย่างสุดความสามารถ
แต่เผอิญว่าวันนี้ก่อนที่เสด็จพ่อจะเรียกตัวนางไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร นางล่วงรู้ข่าวนี้เสียแล้ว
บางทีอาจเป็นฟ้าลิขิตให้นางได้รู้ในเวลานี้พอดี
แผ่นหลังของร่างที่ควบม้าเร็วรี่ราวกับเหาะสายนั้นที่ตรอกซิ่งจื่อ รวมถึงการทาบทามสู่ขอที่สร้างความประหลาดใจยกใหญ่ให้ผู้คนของจวนจิ้งอันโหว บ่งบอกถึงปัญหาหนึ่งอย่างชัดเจนคือระหว่างกวนจวินโหวกับคุณหนูหลีซานผูกสมัครรักใคร่กันแต่แรกแล้ว
ถึงมองข้ามหนี้น้ำใจของคุณหนูหลีซานที่ช่วยรักษาใบหน้าให้ นางก็ไม่อยากได้บุรุษที่มีสตรีอื่นอยู่ในหัวใจ
นางเคยเห็นความแล้งน้ำใจต่อเสด็จแม่ของเสด็จพ่อมาแล้ว นางเพียงวาดหวังว่าพระสวามีในอนาคตของนางจะมีนางเพียงผู้เดียวอยู่ในหัวใจ ถ้าทำไม่ได้ต่อให้บุรุษผู้นั้นจะดีเลิศเพียงใดหรือชวนให้จิตใจหวั่นไหวปานใด ก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางสักกระผีกเดียวจริงๆ
สิ่งดีๆ เหล่านั้นก็ให้ผู้อื่นครอบครองไปเถอะ
“ถ้าอย่างนั้นองค์หญิงแปด…” นางกำนัลไม่เข้าใจการกระทำขององค์หญิงเจินเจินโดยสิ้นเชิง
องค์หญิงไม่คิดต่อสู้แย่งชิง มิใช่ปล่อยให้องค์หญิงแปดคว้าไปอย่างง่ายดายหรอกหรือ
“นางไม่ได้สมดังใจหรอก” องค์หญิงเจินเจินแค่นเสียงเยาะ
เทียบกับองค์หญิงแปดแล้วนางย่อมหวังว่ากวนจวินโหวจะได้ครองคู่กับคุณหนูหลีซานแน่นอน
ใครบ้างจะไม่ยินดีที่ได้เห็นคนที่รักกันได้ลงเอยอย่างสุขสมหวังเล่า นางหลีกทางให้แล้ว องค์หญิงแปดอาศัยอะไรเข้ามาแทรกกลาง
“เจ้าไปยกโจ๊กรังนกมาให้ข้ากินสักโถเถอะ ข้าหิวแล้ว”
“เพคะ” เห็นองค์หญิงอยากกินอาหาร นางกำนัลก็ลอบโล่งใจจึงรีบร้อนหมุนกายเดินออกไป
องค์หญิงเจินเจินหลุบตาลงเพ่งมองกำไลหยกโลหิตบนข้อมือเรียวเล็ก น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมา
ความรักครั้งแรกที่นางมีต่อบุรุษผู้หนึ่งยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ต้องจบลงโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างนี้ เฉกเดียวกับหิมะนอกหน้าต่าง หลังจากละลายแล้วก็จะสลายหายไปจนเกลี้ยง
เจียงซือหร่านออกจากวังหลวงแล้วตรงดิ่งไปยังตรอกซิ่งจื่อ
เมื่อได้ยินยามเฝ้าประตูมารายงาน เฉียวเจาเชิญเจียงซือหร่านเข้ามา
“เอาไป สารขององค์หญิงเก้าถึงเจ้า” เจียงซือหร่านโยนซองสารให้นางด้วยหน้าตาง้ำงอ
บนซองสารเขียนข้อความบรรทัดหนึ่งด้วยตัวอักษรตัวเล็กงามสละสลวยว่า
‘สารแด่คุณหนูหลีซาน’
ทว่าลายเส้นค่อนข้างหวัดบ่งบอกให้รู้ว่าถูกเขียนอย่างเร่งร้อน
เฉียวเจาลอบแปลกใจน้อยๆ หากสีหน้ายังเป็นปกติดุจเก่ายามกล่าวขอบคุณเจียงซือหร่าน
นางเบะปากอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าได้รับแล้วนะ อย่าบอกกับเจินเจินภายหลังเชียวว่าข้าไม่ได้ให้เจ้า”
ถึงแม้นางจะอยากรู้ว่าในสารขององค์หญิงเจินเจินเขียนว่าอะไร แต่รู้ว่าคงถามไม่ได้ความอันใดจากเฉียวเจา นางไม่อยากอยู่ต่อแม้สักเค่อเดียวจึงอำลากลับไป
เฉียวเจาแกะซองดึงแผ่นสารออกมาอ่านแล้วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะรีบให้อาจูถือสารไปส่งให้เซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มอยู่ในเรือนด้านข้างจวนสกุลหลียังไม่ได้กลับไป เขากำลังเอามือจับต้นไห่ถังทรงตัวไว้พลางล้วงคออาเจียน
“ท่านแม่ทัพ บ้วนปากขอรับ” องครักษ์ยื่นกระบอกน้ำกับผ้าเช็ดหน้าให้ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเต็มที
เดิมทีท่านแม่ทัพของเขาดื่มสุราที่หอชุนเฟิงจนเกือบเมาอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาชนะใจว่าที่ท่านพ่อตาอีก ช่างน่าสงสารเหลือเกินจริงๆ จะตบแต่งภรรยาสักคนมิใช่เรื่องง่ายดายโดยแท้!
เซ่าหมิงยวนรับกระบอกน้ำมาบ้วนปากถึงรู้สึกว่าในกระเพาะที่ร้อนวาบๆ เหมือนโดนไฟเผาสบายขึ้นบ้าง เขายืดตัวขึ้นเช็ดมุมปากพลางสาวเท้าไปข้างนอกพร้อมกับเอ่ยสั่งว่า “เตรียมม้า”
เขาเพิ่งไปถึงหน้าประตูก็มีองครักษ์มารายงาน “แม่นางอาจูมาขอรับ”
อาจูเดินตามหลังองครักษ์เข้ามาพร้อมกัน พอเห็นหน้าเซ่าหมิงยวนนางรีบยื่นสารส่งให้ “แม่ทัพเซ่า คุณหนูให้ข้าถือสารนี้มาให้ท่านเจ้าค่ะ”
กลิ่นสุราฉุนแรงลอยมาปะทะจมูก อาจูเหลือบมองใบหน้าเผือดขาวของชายหนุ่มแล้วรีบก้มหน้าลง
เมื่อเห็นลายมือคุ้นตามุมปากของเซ่าหมิงยวนยกโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เขาหันหลังให้แล้วเปิดสารออกอ่าน
เซ่าหมิงยวนอ่านสารจบรอยยิ้มตรงมุมปากก็เลือนหายไปทันใด รังสีเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาทั่วสรรพางค์กาย
เขาทุ่มเทความคิดจิตใจทั้งหมดกว่าจะทำให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยดังเช่นในตอนนี้ โอรสสวรรค์พระองค์นั้นกลับจะยื่นพระหัตถ์เข้าแทรก?
“บอกกับคุณหนูของเจ้าว่าข้ารู้แล้ว ขอให้นางสบายใจได้ ข้าจะสะสางปัญหาที่เหลืออยู่เอง”
อาจูได้รับคำบอกนี้แล้วย่อกายคำนับเซ่าหมิงยวน จากนั้นขอตัวกลับไป
ชายหนุ่มพลิกกายขึ้นหลังม้ามุ่งหน้าตรงไปที่จวนจิ้งอันโหวในทันใด