หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 556
บทที่ 556
“พวกเจ้ารู้หรือยังว่าจวนจิ้งอันโหวเชิญเสนาบดีกรมพิธีการเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีอีกแล้ว”
“ไปอีกแล้วหรือ จวนจิ้งอันโหวมุ่งหวังอะไรอยู่ นี่มันไม่คู่ควรกันทั้งฐานะและชาติตระกูลเลยทีเดียวนะ”
“มุ่งหวังอะไรข้าไม่รู้ ถึงอย่างไรสกุลหลีก็ได้หน้าได้ตาแล้ว บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่ง ออกเรือนไปก็ได้เป็นฮูหยินท่านโหวขั้นหนึ่ง จุๆ เกียรติยศชั้นนี้มีคนตั้งมากเท่าไรที่อยากได้ก็ยังไม่ได้”
ใต้ต้นไม้ริมถนนด้านนอกตรอกซิ่งจื่อมีแผงน้ำชาเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ ข้างในเนืองแน่นไปด้วยคนที่มามุงดูความครึกครื้น ยามนี้พวกเขากำลังสุมหัวกันวิพากษ์วิจารณ์ข่าวใหม่ของสกุลหลี
“นี่หมายความว่าสกุลหลีตอบตกลงแล้วหรือ”
“จะไม่ตอบตกลงได้หรือ นี่เป็นการแต่งงานผูกดองที่จุดโคมก็หาไม่เจอ** ฝ่ายชายเป็นถึงกวนจวินโหวเชียวนะ! นึกไปถึงตอนนั้นที่กวนจวินโหวนำพากองทัพเป่ยเจิงเข้าเมืองหลวงรับการปูนบำเหน็จ บุตรสาวคนที่สามของเรือนเหล่าหวังเพื่อนบ้านข้าเห็นเขาจากไกลๆ แวบเดียวก็ป่วยเป็นไข้ใจ จนบัดนี้ยังร้องไห้โวยวายไม่ยอมออกเรือนอยู่เลย”
ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนใจ วันนี้แสงแดดก็อบอุ่นสบาย อีกทั้งนานทีปีหนจะมีเรื่องให้สนทนากันสนุกปากอย่างนี้ ผู้คนทั้งหลายยิ่งพูดยิ่งคึกคัก กระทั่งว่ามีรถม้าแล่นออกจากตรอกซิ่งจื่อเงียบๆ ก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น
เมื่อเสียงซุบซิบเหล่านั้นดังลอดมาเข้าหู หลีเจี่ยวซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน นางเลิกม่านหน้าต่างขึ้นมองออกไปข้างนอกอย่างกะทันหัน
“คุณหนู…” สาวใช้นามซิ่งเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ ส่งเสียงเรียกขานอย่างสุดระงับ
หลีเจี่ยวปล่อยม่านลงอย่างขุ่นเคือง ดวงหน้าของนางคล้ายฉาบด้วยน้ำแข็ง “เหตุใดรึ ข้าดูทิวทัศน์ข้างนอก เจ้าก็ต้องยุ่งด้วยหรือ”
ระยะนี้นางรู้สึกคับอกคับใจจริงๆ ทุกอย่างไม่เป็นดังใจไม่ว่า แม้แต่สาวใช้ประจำตัวยังเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ไม่ฉลาดหัวไวอย่างชุนฟางกับชิ่วลู่สักน้อยนิด
“ข้าไม่บังอาจเจ้าค่ะ” ซิ่งเอ๋อร์ก้มหน้าลง
หลีเจี่ยวแค่นเสียงพูด “นึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ ถึงข้าจะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่านี้ก็เป็นเจ้านายของเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ของข้าแล้ว วันหน้าก็ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกันกับข้าไม่ว่าจะได้ดีหรือตกต่ำ จุดนี้เจ้าจงสำเหนียกไว้ให้ดี”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซิ่งเอ๋อร์ทำคอย่นพลางกล่าว
หลีเจี่ยวเห็นแล้วรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์มากขึ้น นางทำเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วพิงผนังรถม้าก่อนหลับตาลง
นางถูกกักบริเวณมาเกือบครึ่งปี ยอมกล้ำกลืนฝืนทนและเจียมตัวเจียมตนจนได้รับอิสระมากขึ้นในที่สุด มิเช่นนั้นอย่าแม้แต่จะคิดว่าจะได้ออกมานอกเรือนคราวนี้
ถึงกระนั้นก็ตามพอนึกถึงเหตุผลที่ออกมา หลีเจี่ยวก็ขัดเคืองใจมากยิ่งขึ้น
นานเกือบครึ่งปีที่นางถอนตัวออกจากวงสมาคมของสตรีมีตระกูลในเมืองหลวงแล้วไม่มีคนถามไถ่ถึง แต่เทียบเชิญจากบุตรสาวทุกๆ ตระกูลที่ถูกส่งมาให้นางราวกับหิมะปลิวว่อน ล้วนแล้วแต่เพื่อสอบถามเรื่องของหลีซาน!
เหตุใดจวนจิ้งอันโหวถึงสู่ขอหลีซาน กวนจวินโหวมอบใจให้หลีซานแต่แรกแล้วใช่หรือไม่
นางไม่ต้องไปพบปะกับหญิงสูงศักดิ์เหล่านั้นก็รู้ว่าพวกนางต้องการถามอะไร
ด้วยเหตุนี้นางจึงบอกปัดคำเชิญพวกนั้นไปจนหมด เพียงตอบรับเทียบจากจวนกู้ชางป๋อของท่านตานางไปพบหน้ากับญาติผู้น้องตู้เฟยเสวี่ย
บัดนี้นางคิดได้กระจ่างแจ้งแล้วว่าไม่มีชาติกำเนิดที่โดดเด่น ต่อให้นางฉลาดมากชั้นเชิงปานใดก็เปล่าประโยชน์ ในใจสตรีพวกนั้นนางไม่มีความสลักสำคัญแม้สักเศษเสี้ยว
ในขณะที่หลีซานเล่า ถึงแม้ชื่อเสียงจะย่ำแย่ปานใด หลังจากมีจวนจิ้งอันโหวมาสู่ขอก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันใด คนเหล่านั้นต่างลืมเลือนงานเลี้ยงชมดอกไม้ที่ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อหัวเราะเยาะหลีซานครั้งนั้นไปสนิทใจ
เห็นทีว่ารอเมื่อหลีซานออกเรือนไปกับกวนจวินโหวจริงๆ ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องเป็นแขกผู้ทรงเกียรติกระมัง
หลีเจี่ยวหลับตาลงเม้มมุมปากแน่น มือที่ทิ้งห้อยอยู่ข้างลำตัวของนางกำเข้าหากันสุดแรง
ถือดีอะไรกัน!
ว่ากันถึงเรื่องชาติกำเนิด ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของท่านพ่อเหมือนกัน มิหนำซ้ำนางยังเป็นสายเลือดของภรรยาเอก
ว่ากันถึงเรื่องอายุ นางใกล้จะย่างวัยสิบเจ็ดรอมร่อ เหมาะสมกับกวนจวินโหวมากกว่าชัดๆ
ว่ากันถึงเรื่องชื่อเสียง ถึงแม้ท่านย่าจะดุด่าลงโทษนาง แต่นั่นก็เป็นเรื่องภายในของจวนตะวันตก ชื่อเสียงภายนอกของนางดีกว่าหลีซานตั้งมากมายก่ายกองนัก
แต่คนที่จวนจิ้งอันโหวต้องการสู่ขอกลับเป็นหลีซาน!
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปาก
หลีซานต้องลักลอบมีสัมพันธ์กับกวนจวินโหวมานานแล้วเป็นแน่!
ทันใดนั้นมีเสียงร้องอุทานดังลอยมาจากนอกรถม้าเป็นระลอก
“ดูเร็วเข้า คนขบวนนั้นมาจากจวนจิ้งอันโหวใช่หรือไม่ พวกเขามาสู่ขอที่จวนสกุลหลีตามพิธีการแล้วกระมัง”
ตามธรรมเนียมเมื่อฝ่ายชายเชิญแม่สื่อมาทาบทามที่ครอบครัวฝ่ายหญิงแล้ว ถ้าฝ่ายหญิงตอบตกลงเป็นทองแผ่นเดียวกัน ต่อจากนั้นฝ่ายชายจะต้องดำเนินการสู่ขอกับฝ่ายหญิงอย่างเป็นพิธีรีตอง
“สวรรค์! ข้าดูไม่ผิดกระมัง พิธีทาบทามของจวนจิ้งอันโหวใช้ห่านตัวเป็นๆ!”
“จริงหรือ นี่เป็นเดือนสิบสองอากาศหนาวจัดอยู่นะ ไปเอาห่านเป็นมาจากที่ใด”
หลีเจี่ยวเลิกม่านขึ้นก่อนยื่นหน้าออกไปมอง
คนขบวนหนึ่งเคลื่อนมาจากทางด้านหน้า ผู้เดินนำขบวนแต่งกายเต็มยศอุ้มห่านเป็นคู่หนึ่งไว้ ส่วนคนด้านหลังหาบกล่องของขวัญ
หากที่สร้างความฮือฮาให้ฝูงชนก็คือห่านเป็นคู่นั้น
ตามประเพณีโบราณพิธีทาบทามและเทียบดวงสมพงศ์พึงใช้ห่านเป็นของขวัญ ทว่าห่านเป็นนั้นเสาะหาได้ไม่ง่าย นานวันเข้าก็ใช้พวกเงินทองและแพรพรรณแทนที่
ในฤดูหนาวอย่างนี้จวนจิ้งอันโหวสามารถใช้ห่านเป็นเป็นของขวัญไปสู่ขอสกุลหลี เท่านี้ก็เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายชายได้แล้ว
หลีเจี่ยวจ้องเขม็งที่ห่านเป็นคู่นั้น สายตาของนางคุโชนด้วยไฟริษยา รู้สึกราวกับมีมดนับพันนับหมื่นตัวกัดแทะตรงกลางอก
หลีซานมีสิทธิ์อะไรได้คู่ครองเฉกนี้ แล้วเรื่องอะไรนางจำต้องออกเรือนไปที่ตระกูลชาวนาชานเมืองหลวง
แววตาที่ขุ่นขวางคล้ายคนคลุ้มคลั่งของหลีเจี่ยวทำให้ซิ่งเอ๋อร์ใจเต้นรัวแต่ไม่กล้าเอ่ยเตือนขึ้นอีก
ภายนอกรถม้าเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความครึกครื้นของผู้คน หากภายในรถม้ากลับเงียบเชียบจนน่าอึดอัด
ท่ามกลางความเงียบนี้เอง หลีเจี่ยวค่อยๆ ปล่อยม่านหน้าต่างรถม้าลงทั้งหมด ดวงตาของนางสงบนิ่งลงแล้ว
แม่นมกล่าวไว้ไม่ผิดสักนิด เกียรติยศและศักดิ์ศรีในภายภาคหน้าของสตรีนั้นต้องดูที่ว่านางแต่งงานเข้าตระกูลเช่นใด ฉะนั้นถึงตายนางก็ไม่มีทางออกเรือนไปที่ชานเมืองหลวง!
หลีเจี่ยวหลับตาลง ในหัวสมองมีภาพของจูเยี่ยนซื่อจื่อของจวนไท่หนิงโหวผุดขึ้นก่อน จากนั้นเป็นใบหน้าของตู้เฟยเสวี่ยญาติผู้น้อง
นางเหยียดมุมปากเป็นรอยยิ้มเยาะๆ พลางโคลงศีรษะ
ญาติผู้น้องมีจิตปฏิพัทธ์ต่อซื่อจื่อสกุลจูมาแต่วัยเยาว์ ถึงขั้นที่แม้แต่นางซึ่งเป็นญาติผู้พี่ก็ยังเฝ้าระแวงระวัง ด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าซื่อจื่อสกุลจูที่ตนหวงแหนดั่งสมบัติล้ำค่าจะโดนคนแย่งไป
นางเคยมีความคิดนี้มาก่อน แต่บัดนี้ดูไปแล้วซื่อจื่อสกุลจูจะเทียบกวนจวินโหวได้อย่างไร
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางแทบไม่มีโอกาสพบปะใกล้ชิดกับเขา ถึงแม้จะฝ่าด่านญาติผู้น้องจนได้ออกเรือนให้ซื่อจื่อสกุลจูจริงๆ แล้วมีอันใด ยามอยู่ต่อหน้าหลีซาน นางยังคงต่ำกว่าขั้นหนึ่งดุจเก่า ไม่มีวันข่มรัศมีอีกฝ่ายได้
แล้วตกลงนางสมควรทำฉันใดดีเล่า
บนรถม้าที่แล่นห่างไปทีละน้อย หลีเจี่ยวเริ่มขบคิดปัญหานี้อย่างเอาจริงเอาจัง
ทว่าในตอนที่ขบวนขันหมากจวนจะเคลื่อนไปถึงหน้าจวนตะวันตกของสกุลหลี จู่ๆ มีคนสองคนหิ้วถังน้ำถลันเข้ามาสาดใส่ประตูจวนสกุลหลี
ประตูสีดำติดห่วงจับเหล็กเปรอะเปื้อนอุจจาระเต็มไปหมดในพริบตา
คนที่หิ้วถังเปล่าสองคนนั้นตะโกนพูดเสียงดังกับขบวนขันหมากสู่ขอ “ตอนต้นปีคุณหนูสามของสกุลหลีนี้ถูกล่อลวงไปขาย หาใช่สตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอันใดไม่ พวกข้าสองคนพี่น้องจึงอยากเตือนสติพวกท่านถือเป็นการทำบุญกุศลสักหน ไม่อย่างนั้นพอหมั้นหมายแล้วมานึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันการณ์แล้ว”
ดวงตาของบุรุษสองคนนั้นกลิ้งกลอกไปมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักเลงหัวไม้ข้างถนนที่จงใจมาก่อกวน แต่การดูหมิ่นเหยียดหยามเยี่ยงนี้ก็มากพอจะทำให้ฝ่ายหญิงต้องอัปยศอดสูแล้ว
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องที่ขบวนขันหมากของจวนจิ้งอันโหว แม่สื่อที่อุ้มห่านเป็นไว้ตะลึงงันอยู่กับที่เหมือนรูปปั้นแต่แรก
คนทั้งขบวนเงียบกริบทันใด ทุกคนมองหน้ากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
ในจังหวะนี้เองเสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังขึ้น ทุกคนมองไปทางต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มในชุดสีครามสวมผ้าคลุมสีแดงเข้มนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้า มีผู้ติดตามแต่งกายแบบเดียวกันอยู่ด้านหลังหลายคน ต่างดึงสายบังเหียนหยุดม้าด้วยท่าทางขึงขังอย่างยากจะหาผู้ใดทัดเทียมได้
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเย็นเยียบดุจหิมะน้ำแข็ง เขาก้มลงมองนักเลงสองคนอย่างทรงอำนาจ “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาตักเตือนข้า”
** จุดโคมหาก็หาไม่เจอ เป็นสำนวน หมายถึงหายาก มีจำนวนน้อย