หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 558
บทที่ 558
เมื่อไปถึงเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง เซ่าหมิงยวนโค้งกายต่ำคำนับนาง “เมื่อครู่ทำให้ท่านเห็นภาพอุจาดตา ผู้เยาว์ต้องขอขมาต่อท่านด้วยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองชายหนุ่มที่อุ้มห่านเป็นแสดงคารวะให้ตนแล้วกลั้นยิ้มกล่าวขึ้น “เข้าไปข้างในเถอะ”
ประตูใหญ่สีดำปิดเข้าหากันอย่างเชื่องช้า บดบังสายตาของผู้คนที่มุงดูอยู่
เซ่าหมิงยวนเดินไปทางด้านในพร้อมกับหญิงชรา
“เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณท่านโหวที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
เซ่าหมิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมเจียมตน “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้จะทำให้ผู้เยาว์อายุสั้นนะขอรับ การแต่งงานเป็นการผูกดองคนสองตระกูลเป็นทองแผ่นเดียวกัน วันหน้าเรื่องในจวนท่านก็คือเรื่องของผู้เยาว์เป็นธรรมดา”
เขาพูดจบแล้วชะงักฝีเท้า เลื่อนสายตาไปหยุดที่เสาระเบียงไม่ไกลนัก
ตรงเสาระเบียงสีแดงเข้มมีชายกระโปรงสีเรียบท่อนหนึ่งโผล่ออกมารำไร
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายแรงกล้าขึ้น
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดทั้งที่เขากับนางได้พบหน้ากันเสมอๆ ซ้ำยังเคยอยู่ร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นเวลาหลายเดือน แต่เพิ่งแยกกันชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เขาก็คิดถึงนางเหลือเกิน
ในลานเรือนของสกุลหลีแห่งนี้ ได้เห็นสตรีที่คะนึงหาทุกเช้าค่ำซ่อนตัวอยู่หลังเสาระเบียงแอบมองเขาอยู่ไม่ไกลนี่เอง พาให้หัวใจสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อุ้มห่านตัวใหญ่ๆ สองตัวไม่ยอมขยับเท้าเอาแต่ยิ้มกับตนเองแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนปั้นหน้าตึงเอ่ยขึ้น “ท่านโหว เชิญเข้าเรือนไปดื่มน้ำชาเถอะ”
เซ่าหมิงยวนสะดุ้งได้สติ ใบหูเขาแดงเรื่อ แต่ยังพยายามวางสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเต็มที่ เขาอุ้มห่านเป็นไว้แน่นๆ ออกเดินไปข้างหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบยกมุมปากโค้งขึ้น นางมองออกแล้วว่าท่านโหวหนุ่มผู้นี้มีความรักลึกซึ้งต่อหลานเจาของพวกนาง เช่นนี้นางก็สามารถสบายใจได้เล็กน้อยชั่วคราว
ด้วยสองฝ่ายต่างฐานันดรกัน เดิมนางกังวลใจมากมาโดยตลอดว่าหลานเจาออกเรือนไปที่จวนโหวแล้วจะได้รับความคับข้องหมองใจ ถึงตอนนั้นต่อให้สกุลเดิมอยากออกโรงช่วยเหลือ ทว่าไม้ซีกจะงัดไม้ซุงได้เช่นไรเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสิ้นความกังวลใจในที่สุด นางส่งสายตาบอกชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโส
ชิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมายพลางปลีกตัวออกไปหาเฉียวเจาเงียบๆ “คุณหนูสาม ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงนายหญิงใหญ่ บอกให้ท่านกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” เฉียวเจาพยักหน้าเล็กน้อย นางทอดสายตามองแผ่นหลังผึ่งผายที่หายลับไปตรงหน้าประตูไกลๆ แวบหนึ่งก่อนหมุนกายเดินไปทางเรือนหยาเหอ
เฉียวเจาย่อมต้องเข้าใจความหมายของท่านย่า ไม่ว่าปกตินางกับเซ่าหมิงยวนจะพบปะส่งข่าวถึงกันอย่างไร บัดนี้ฝ่ายชายมาสู่ขอที่เรือนแล้ว นางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนจึงไม่เหมาะจะอวดโฉมเป็นธรรมดา แค่ที่นางแอบวิ่งออกมาดูชายหนุ่มอย่างหน้าไม่อายเฉกนี้แล้วไม่ถูกผู้อาวุโสตบหน้าฉาดหนึ่งไล่กลับไปก็หาได้ยากแล้ว
เฉียวเจาหลุบตาลง แพขนตาดกหนาของนางกระพือขึ้นลงเบาๆ
นางเพียงได้ยินอาจูบอกว่าวันนั้นเห็นเขาเมาสุราท่าทางทรมานมากถึงได้มาดูเขาอย่างอดใจไม่อยู่ มิใช่ว่าคิดถึงเขาหรอกนะ…
“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ…” อาจูจับตัวเฉียวเจาไว้จากทางด้านหลัง
แต่แม่นางเฉียวชนเข้ากับขอบประตูเสียแล้ว นางคลึงหน้าผากที่แดงเรื่อป้อยๆ ดึงสติคืนมา
แค่กๆ ข้าไม่ได้คิดถึงเขาจริงๆ นะ!
อาจูก้มหน้าแอบยิ้มเงียบๆ
เฉียวเจาปรายตามองนาง
สาวใช้น้อยรีบหุบยิ้ม กระแอมกระไอให้คอโล่งแล้วเอ่ยถาม “คุณหนู แม่ทัพเซ่าชอบกินอะไรเจ้าคะ จะให้ข้าไปบอกกับทางเรือนครัวใหญ่หรือไม่”
“เรือนครัวใหญ่ทำอะไร เขาก็กินอย่างนั้นสิ” เฉียวเจาปั้นหน้านิ่งๆ กล่าวตอบ
ผ่านไปครู่หนึ่งแม่นางเฉียวส่งเสียงไอเบาๆ “ข้าจำได้ว่าหมูสามชั้นต้มผักดองที่กินไปเมื่อสองวันก่อนรสชาติไม่เลว ไปบอกกับทางเรือนครัวใหญ่เถอะ”
เซ่าหมิงยวนเคยบอกนางว่าเขาจากเมืองหลวงไปเจ็ดแปดปีจนคุ้นชินกับอาหารการกินของแดนเหนือมานานแล้ว โดยเฉพาะพอถึงฤดูหนาวที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ได้หมูสามชั้นต้มผักดองสักหม้อหนึ่ง กินลงท้องแล้วอุ่นร้อนไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนเหงื่อซึมออกทางหน้าผาก ทั้งสบายตัวทั้งอิ่มหนำ
อาจูเม้มปากแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มละไม “ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
รอจนอาจูออกไปแล้วในห้องเงียบเชียบลง เฉียวเจาหยิบหมอนมาขยำเล่น ในใจนางปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
ในอดีตนางกับเซ่าหมิงยวนหมั้นหมายกันแต่วัยเยาว์ อนาคตจึงกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ล่วงหน้า ส่งผลให้นางมิได้ตั้งตารอคอยมันมากเท่าใดนัก แต่ตอนนี้นางเพิ่งบังเกิดความรู้สึกกระวนกระวายระคนวาดหวังต่อชีวิตใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
ไม่ผิดจากที่เฉียวเจาคาดหมายไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพึงพอใจในวิธีสะสางปัญหาในวันนี้ของเซ่าหมิงยวนอย่างมาก นางชักชวนเขาอยู่ร่วมกินอาหารอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง
หมูสามชั้นต้มผักดองส่งควันฉุยๆ ถูกยกออกมาตั้งโต๊ะอย่างว่องไว เขาเห็นแล้วแย้มมุมปากออกเล็กน้อย ตลอดมื้ออาหารเขาคีบอาหารอย่างอื่นไม่กี่คำ แต่หมูสามชั้นต้มผักดองหม้อนั้นถูกเขากินไปมากกว่าครึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองเห็นแล้วชักหนักอกหนักใจ
กินเนื้อเก่งถึงเพียงนี้ วันหน้าจะอ้วนพีเอาได้นะ!
แม่ทัพหนุ่มกินดื่มอย่างอิ่มหมีพีมันแล้วออกจากจวนสกุลหลีด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ท่านแม่ทัพ เจ้าอันธพาลสองคนนั้นถูกกุมตัวเอาไว้แล้ว แต่หลังจากเค้นถาม พวกเขากลับไม่รู้ว่าใครบงการอยู่เบื้องหลังขอรับ”
“ไม่รู้?” เซ่าหมิงยวนลูบท้องเบาๆ แววตาของเขาแจ่มใส ดูเหมือนจะกินมากไปสักหน่อย อีกสักครู่ต้องซ้อมเพลงหมัดสักชุดจึงจะดี
“ขอรับ พวกเขาบอกว่าอีกฝ่ายไม่เปิดเผยฐานะ เพียงให้เงินพวกเขาก้อนหนึ่ง”
ชายหนุ่มหาได้แปลกใจกับจุดนี้ไม่
ฝ่ายตรงข้ามว่าจ้างนักเลงหัวไม้ข้างถนนสองคน เพราะคิดคำนวณอย่างรอบคอบแล้วว่าสืบสาวไปไม่ถึงตัวในภายหลัง ดังนั้นคิดจะถามให้ได้ความใดที่เป็นประโยชน์จากปากอันธพาลสองคนมีความหวังเพียงริบหรี่
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนสงบนิ่ง แต่ในดวงตาแฝงรอยกรุ่นโกรธอยู่ลึกๆ เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงที่ปราศจากช่องลม ที่สำคัญต้องดูว่าทุ่มเทความคิดจิตใจมากพอหรือไม่ สืบต่อไปว่าพวกเขาเจอหน้ากันเมื่อไรที่ใด รูปพรรณสัณฐานของอีกฝ่ายมีจุดเด่นอะไร หรือไม่สถานที่นัดพบกันยังมีคนอื่นเห็นอีกหรือไม่ เอาเป็นว่าห้ามมิให้เบาะแสใดหลุดรอดไปแม้แต่น้อยนิด ต้องลากตัวคนผู้นี้ออกมาให้ข้าให้จงได้”
ดังคำกล่าวว่าเชือดไก่ให้ลิงดู เขาจะให้คนพวกนั้นประมาณตนให้ดีก่อนคิดข่มเหงรังแกเจาเจาอีกในวันหน้า
ในจวนกู้ชางป๋อ
หลีเจี่ยวมองญาติผู้น้องที่ใบหน้าแดงก่ำอย่างห่วงใย “น้องเฟยเสวี่ย เจ้าไม่เป็นไรมากกระมัง”
ตู้เฟยเสวี่ยนั่งพิงเสาเตียง กล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “เป็นเพราะเจ้าคนบัดซบแซ่หยางคนเดียวที่เป็นตัวการทำให้ข้าตกน้ำจนจับไข้ แต่ทางจวนเขาเพียงส่งคนนำของบำรุงมาให้อย่างไร้ความจริงใจ ฮึ…นึกว่าคนอื่นอยากได้ของพรรค์นั้นนักรึ!
หลีเจี่ยวยิ้มปลุกปลอบ หากในใจกลับลอบเบะปาก
ญาติผู้น้องยังถือใจตนเป็นใหญ่ตามเคย ในเมื่อเป็นไข้อยู่ก็พักรักษาตัวให้ดีสิ ยังจะเรียกข้ามาหาให้ได้ ช่างไม่เคยคิดเสียเลยว่าถ้าแพร่โรคมาให้ข้าด้วยจะทำอย่างไรดีเล่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลีเจี่ยวก็ช้ำใจนัก
ถึงเป็นคนตระกูลท่านตา มาตรว่าปกติดูภายนอกจะดีต่อนางไม่เลว แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไร
หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ตู้เฟยเสวี่ยโดนความเย็นแล้วอยากเชิญนางมาเป็นแขก ท่านน้าสะใภ้ต้องไม่อนุญาตเป็นแน่
ว่ากันตามสัตย์จริงเป็นเพราะไม่มีคนออกหน้าให้นางได้ คนอื่นเลยไม่ให้เกียรตินางเป็นธรรมดา
“พี่เจี่ยว สองวันนี้ที่จวนท่านคงครึกครื้นมากกระมัง”
“ข้าปักผ้าอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่ได้สังเกตหรอก”
“ฮึ การที่คนแซ่หยางถีบข้าตกน้ำ พูดตรงๆ ก็เป็นเพราะหลีซาน พอคิดถึงนางตัวดีผู้นั้น ข้าก็อยากจับศีรษะนางกดลงน้ำให้หายแค้นใจ” ตู้เฟยเสวี่ยทำหน้าดุดัน
“น้องเฟยเสวี่ยอย่าคิดเช่นนี้จะดีกว่า น้องเจาจะได้เป็นว่าที่ฮูหยินท่านโหวในเร็ววันนี้แล้ว ไปล่วงเกินนางเข้าไม่เป็นผลดีต่อพวกเราเลย”
“พี่เจี่ยว ดีชั่วท่านก็เป็นบุตรสาวคนโตสายเลือดภรรยาเอกของสกุลหลี ไฉนต้องอดทนข่มกลั้นกับบุตรสาวของภรรยาใหม่ด้วย”
หลีเจี่ยวก้มหน้ายิ้มขื่นๆ “ข้าจะทำประการใดได้เล่า เจ้ามองออกแล้วมิใช่หรือ หมู่นี้ท่านย่าระแวงว่าข้าไม่จริงใจกับน้องเจา ไม่อนุญาตให้ไปที่ใดมาที่ใดแล้ว หนนี้ออกมานอกเรือนได้ก็เพราะพึ่งใบบุญของเจ้า ข้ายังกลัวอยู่ว่าปีหน้าท่านย่าจะไม่ยอมให้ข้ามาอวยพรวันตรุษด้วยซ้ำไป”
ตู้เฟยเสวี่ยฟังแล้วมีน้ำโห “พี่เจี่ยววางใจได้ ถ้าปีหน้าสกุลหลีไม่อนุญาตให้ท่านออกจากเรือน ข้าจะขอให้ท่านย่าออกโรงเอง”
หลีเจี่ยวหมดห่วงในที่สุด นางเม้มปากยิ้มออกแล้ว