หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 559
บทที่ 559
ขณะเหล่าชาวเมืองหลวงที่สัญชาตญาณสอดรู้สอดเห็นในกายกำลังพลุ่งพล่านยังชะเง้อคอรอคอยผลลัพธ์ของพิธีถามชื่อ* จากจวนจิ้งอันโหวอยู่ ทางจวนกู้ชางป๋อก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้นซึ่งทำให้ผู้คนหันเหความสนใจไปที่นั่น
จูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อไปจุดธูปขอพรที่วัดก็เผอิญเจอเข้ากับกู้ชางป๋อและอนุลับๆ ที่เลี้ยงดูไว้ข้างนอกซึ่งแต่งกายเป็นสามีภรรยาสามัญชนไปไหว้พระพอดิบพอดี
ทว่าเรื่องที่ทิ่มแทงใจมากที่สุดคืออนุผู้นั้นท้องโย้แล้ว ตอนที่โดนจูซื่อจับได้นั้นกู้ชางป๋อกำลังประคองอนุอย่างเป็นห่วงเป็นใย สีหน้าแววตาอ่อนโยนอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
จูซื่อแผลงฤทธิ์ทันใดยกเท้าถีบใส่อนุลับของกู้ชางป๋อจนแท้งลูกในวัด โลหิตไหลนองพื้นศิลาเขียว
พอเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้กู้ชางป๋อผู้มีกิตติศัพท์เป็นคนกลัวภรรยาเสมอมาทีแรกยังรู้สึกร้อนตัวถึงขีดสุด ครานี้กลับบันดาลโทสะเสียแล้ว สองสามีภรรยามีปากเสียงกันยกใหญ่ต่อหน้าคนที่มาไหว้พระนับไม่ถ้วนแล้วแยกกันไปอย่างขุ่นเคือง
จูซื่อกลับไปอยู่ที่จวนไท่หนิงโหวสกุลเดิมของตนด้วยความโกรธชั่ววูบ
ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวทอดถอนใจก่อนพูดกล่อมบุตรสาว “ไยเจ้าหุนหันพลันแล่นเพียงนี้นะ ต่อให้ไปเจอสามีพาอนุไปไหว้พระก็ไม่สมควรทะเลาะกันในวัด ก็แค่อนุลับๆ ผู้เดียว อย่าว่าแต่มีครรภ์เลย ต่อให้คลอดออกมาแล้วมีอันใด จะมีฐานะเหนือเจ้าได้หรือ เจ้าให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่งแก่สกุลตู้เชียวนะ! อีกอย่างเจ้าได้รับความคับข้องหมองใจก็ยังมีสกุลเดิมหนุนหลังเจ้าอยู่อีกมิใช่หรือ ตอนนี้ก่อเรื่องขึ้นเช่นนี้กลับกลายเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผลไปแล้ว”
จูซื่อทำคอแข็งพลางแค่นเสียงเยาะ “ที่ท่านแม่กล่าวมามีหรือข้าจะไม่เข้าใจ แต่ท่านไม่เห็นท่าทางอ่อนโยนเอาใจอนุของเจ้าคนบัดซบนั่น ข้าเห็นแล้วแทบอกแตกตาย ไหนเลยยังจะคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวถอนใจเฮือกใหญ่ “ไม่คำนึงถึงแล้วเป็นอย่างไรเล่า เจ้าถีบคนจนแท้งลูกในวัดด้วยอารมณ์ชั่วแล่น กลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาในวงน้ำชายามว่างของชาวเมืองหลวงจนกลบข่าวใหญ่เรื่องที่จวนจิ้งอันโหวไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีไปแล้ว วันหน้าจะทำฉันใดดี”
“ท่านแม่จะติงว่าข้าทำให้จวนโหวขายหน้าหรือเจ้าคะ”
“อาหนิง เจ้าเป็นแม่คนแล้วนะ ไฉนยังกล่าววาจาเป็นเด็กๆ อยู่อีก” ฮูหยินผู้เฒ่านวดๆ หว่างคิ้ว คิดคำนึงในใจว่านางเป็นมารดาย่อมไม่มีวันรังเกียจรังงอนบุตรสาวของตน แต่ลูกสะใภ้เอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงติเตียนไม่ชอบใจอยู่มาก ถึงอย่างไรยามชาวเมืองหลวงเอ่ยถึงฮูหยินของกู้ชางป๋อก็ต้องโยงไปถึงเรื่องการอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวของจวนไท่หนิงโหวด้วย
“เอาล่ะ ในเมื่อสามีมารับเจ้าแล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ อย่าทำแง่งอนอีกเลย”
จูซื่อเบือนหน้าไปทางอื่น “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขา”
ฮูหยินผู้เฒ่าตบไหล่นางเบาๆ “อาหนิง ไหนเจ้าบอกว่าอาการไข้ของเฟยเสวี่ยยังไม่หายสนิทดีมิใช่หรือ เจ้าทิ้งนางไว้ในจวนป๋อผู้เดียวจะวางใจได้หรือ”
จูซื่อฟังแล้วอดสองจิตสองใจไม่ได้ นางโยกโย้อยู่นานครู่หนึ่งถึงพยักหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าลอบระบายลมหายใจเฮือก บุ้ยใบ้บอกสาวใช้อาวุโสให้เชิญกู้ชางป๋อเข้ามา
ไม่นานนักเขาก็เดินเข้ามา
กู้ชางป๋ออยู่ในวัยกลางคนแล้วทว่ามิได้อ้วนพุงพลุ้ย ดูไปแล้วยังมีเค้าความสง่านุ่มนวลชวนมองอยู่หลายส่วน แต่สีหน้ากลับบึ้งตึงจนน่ากลัว
ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวไอเบาๆ เสียงหนึ่ง “ท่านป๋อ อาหนิงเป็นคนหัวรั้น ท่านก็เห็นอกเห็นใจกันสักนิด พวกท่านพูดคุยกันดีๆ เถอะ”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าออกไปแล้ว กู้ชางป๋อมองไปทางจูซื่อด้วยสายตาดุดัน
นางเห็นแล้วก็ขุ่นใจจึงกล่าวอย่างเยาะหยัน “ที่แท้ท่านป๋อมิใช่มารับข้ากลับไป แต่จะมาไล่เลียงเอาผิดใช่หรือไม่”
กู้ชางป๋อมองดูภรรยาที่มีสีหน้ามึนตึงแล้วในใจเดือดดาลเจียนคลั่ง เขาตบโต๊ะดังปัง “เจ้ายังมีหน้าทำปั้นปึ่งใส่ข้า ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าก่อเรื่องอันใดเอาไว้”
จูซื่ออึ้งไปกับเสียงตบโต๊ะ กระนั้นนางข่มไฟโทสะที่พลุ่งพล่านขึ้นเต็มอกกลับลงไปแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านป๋อหมายความว่าอะไร”
นางกับบุรุษตรงหน้าร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาสิบกว่าปีจึงเข้าใจเขาดีเหลือเกิน หากมิใช่พบเจอเรื่องใหญ่ร้ายแรงอันใดเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกราดเกรี้ยวใส่นางอย่างนี้ในจวนโหว
ถึงนางจะกลับมาที่สกุลเดิม แต่ไม่ว่าจะโกรธเคืองปานใด ลึกๆ ในใจก็เชื่อมั่นว่าเขาต้องมารับนางกลับไป
เรื่องจัดการกับสาวใช้ห้องข้างที่ตั้งครรภ์พรรค์นี้หาใช่ว่านางไม่เคยทำมาก่อน ไม่อย่างนั้นหลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของพวกนางจะมีแต่บุตรชายบุตรสาวคู่เดียวได้อย่างไร ครั้งนี้เป็นความโชคร้ายแต่เพียงประการเดียวทำให้นางไปพบเจอที่นอกเรือนจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาละวาดใส่นางแพศยาผู้นั้นจนกลายเป็นข่าวครึกโครมเซ็งแซ่ ส่งผลให้ชื่อเสียงต้องมัวหมอง
“หมายความว่าอะไร” นัยน์ตาทั้งคู่ของกู้ชางป๋อทอประกายวาวโรจน์ ผิดไปจากภาพบุรุษสุภาพนุ่มนวลในสายตาของจูซื่อตามปกติโดยสิ้นเชิง “เรื่องที่จวนป๋อให้กู้ยืมเงินประทับตรา* แดงออกมาแล้ว ตอนนี้มีผู้ตรวจการฟ้องร้องข้า เจ้าพอใจแล้วกระมัง”
“เรื่องแดงได้อย่างไรกัน!” จูซื่อร้องอุทานเสียงหลง
“ไม่อยากให้คนรู้ก็ต้องไม่ทำ ถ้ามีคนจงใจเล่นงานจวนป๋อ ยังต้องกลัวว่าจะสืบหาร่องรอยเบาะแสไม่ได้หรือ”
ตระกูลผู้สูงศักดิ์ซึ่งอาศัยเพียงเบี้ยหวัดประจำปียากจะรักษาเกียรติยศหน้าตาของคนทั้งครอบครัวที่ใหญ่โตไว้ได้ไหว อีกทั้งบุตรหลานส่วนใหญ่ก็ยังหยิบหย่งจับจด อยากจะหาบ่อเงินบ่อทองทางอื่น การให้กู้ยืมเงินตราประทับจึงกลายเป็นทางเลือกที่ทุกคนรู้กันดีอยู่ในใจ
ปกติไม่มีคนไล่เลียงเอาความกับเรื่องพรรค์นี้ แต่ทันทีที่มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาก็จะต้องรับโทษทัณฑ์
ขุนนางให้กู้ยืมเงินประทับตรา โทษสถานหนักคือปลดออกจากตำแหน่งและโบยกระบอง สถานเบาเผาหนังสือกู้ยืมเงินทั้งหมดทำให้ต้องขาดทุนย่อยยับ
กู้ชางป๋อแค่คิดถึงว่าเงินขาวหมื่นตำลึงที่ปล่อยกู้กินดอกต้องละลายหายไปกับสายน้ำแล้วก็รู้สึกใจจะขาดรอนๆ อยากจะคว้าตัวจูซื่อมาตบหน้าแรงๆ หลายฉาดจนแทบทนไม่ไหว
“ตอนนี้สูญเงินไปแล้ว ยังโดนพวกผู้ตรวจการที่เหมือนดั่งสุนัขบ้าตามกัดไม่ปล่อยอีก เพราะนางตัวดีเยี่ยงเจ้าเป็นต้นเหตุผู้เดียว!”
จูซื่อบันดาลโทสะยื่นมือไปข่วนหน้ากู้ชางป๋อ “ตู้จื่อเถิง! ตอนนั้นเอาเงินไปปล่อยกู้ได้กินดอกเบี้ย ท่านมิได้พูดเช่นนี้นะ ท่านช่างสมเป็นชายชาตรีจริงๆ จวนป๋อใหญ่โตแต่ต้องอาศัยสินเจ้าสาวของข้ารักษาเกียรติยศหน้าตาไว้อยู่นานกว่าจะเจอลู่ทางมั่งมีสายหนึ่ง ตอนรับเงินยังยิ้มหน้าบาน แต่พอเกิดเรื่องก็โยนความผิดมาให้สตรีผู้หนึ่งอย่างข้า ท่านยังมียางอายอยู่หรือไม่”
“ข้าไม่มียางอาย?” กู้ชางป๋อโดนจูซื่อพูดจี้ใจดำก็โกรธจนตัวสั่น “ไยเจ้าไม่ถามดูว่าเหตุใดจวนป๋อถึงโดนคนหมายหัวถ้ามิใช่เพราะวีรกรรมที่เจ้าก่อขึ้น!”
“ข้าทำอะไรหรือ” จูซื่อทั้งโมโหทั้งชิงชัง นางกัดฟันกรอดๆ ถามขึ้น
“เรื่องสาดอุจจาระใส่ประตูใหญ่จวนสกุลหลี เจ้าบงการให้คนทำใช่หรือไม่!”
จูซื่อนิ่งขึงไปกับคำถามนี้
กู้ชางป๋อยิ้มเยาะ “เหตุใดถึงไม่พูดแล้วเล่า”
จูซื่อรีบดึงสติคืนมา นางเชิดคางขึ้นกล่าวว่า “ท่านป๋อพูดอะไร ไฉนข้าไม่รู้เรื่องเลย”
“เจ้าไม่รู้เรื่อง? ยามนี้คนทั้งเมืองหลวงรู้กันหมดแล้วว่าจวนป๋อของเราบงการคนไปสาดอุจจาระใส่ประตูใหญ่จวนสกุลหลี”
“หลักฐานเล่า คนพวกนั้นอาศัยอะไรมาพูดเช่นนี้”
กู้ชางป๋อหลับตาลง “เจ้าไร้เดียงสาหรือโง่เขลากันแน่ พวกคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นต้องการหลักฐานหรือ เจ้ายังไม่รู้กระมังว่าประตูใหญ่ของจวนเราก็โดนคนสาดอุจจาระใส่แล้ว เริ่มแรกก็เปิดโปงเรื่องที่จวนป๋อให้กู้ยืมเงินตราประทับก่อน ตามมาติดๆ ด้วยจวนป๋อโดนสาดอุจจาระเหมือนกัน เรื่องยังไม่โจ่งแจ้งอีกหรือว่ากวนจวินโหวระบายความแค้นให้ตระกูลของท่านพ่อตาอยู่!”
และเพราะการคาดเดาซึ่งเห็นได้ทนโท่นี้เอง พอเรื่องที่กู้ชางป๋อให้กู้ยืมเงินตราประทับถูกเปิดโปงออกมา ยามเขาหันหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครช่วย
จูซื่อหน้าถอดสี นางพูดพึมพำขึ้น “กวนจวินโหวทำเช่นนี้ได้อย่างไร…”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาว่าเรื่องของสกุลหลีเป็นฝีมือของเจ้าหรือไม่กันแน่” กู้ชางป๋อจ้องหน้าจูซื่อเขม็งพลางถาม
นางเม้มปากแน่น “ใช่แล้วจะมีอันใด นางตัวดีของสกุลหลีผู้นั้นทำให้เฟยเสวี่ยต้องคับข้องหมองใจมากเท่าไร ท่านรู้บ้างหรือไม่…”
จูซื่อยังพูดไม่จบกู้ชางป๋อก็ตบหน้านางฉาดใหญ่จนบังเกิดเสียงเพียะดังก้องกังวาน
* พิธีถามชื่อ เป็นหนึ่งในหกพิธีการแต่งงานของชาวจีน โดยหลังจากผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงตอบรับการสู่ขอ จะมอบชื่อของเจ้าสาวกับวันตกฟากให้กับแม่สื่อซึ่งจะส่งให้ฝ่ายชายนำไปทำนายทายทักว่าการแต่งงานนี้เหมาะสมหรือไม่
* เงินประทับตรา เป็นการปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงในสมัยโบราณ โดยจะแบ่งชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดๆ พอจ่ายเงินงวดหนึ่งก็จะประทับตราว่าจ่ายแล้ว จึงเป็นที่มาของชื่อนี้