หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 56
เฉียวเจากลับถึงรถม้า ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถามไถ่ด้วยรอยยิ้มใจดี เหตุใดถึงกลับมาแล้วเล่า
คนเยอะเกินไปเจ้าค่ะ กลัวจะหลงทางอีกแล้วไม่ได้เห็นหน้าท่านย่า เฉียวเจาเอ่ยตอบจากใจจริง
หากถูกล่อลวงไปอีกครั้ง นางอาจจะไม่รอดตัวมาได้อย่างราบรื่นเฉกนี้ก็เป็นได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งครองตัวเป็นม่ายแต่วัยสาว ต้องอยู่อย่างเข้มแข็งแกร่งกร้าวมาครึ่งค่อนชีวิต แล้วจะเคยได้ยินถ้อยคำชวนให้อบอุ่นใจเช่นนี้ที่ใดกัน หัวใจนางพลันอ่อนยวบยาบทันที
คนเป็นท่านย่าเช่นนางกลับเคยเคืองโกรธเพราะเด็กผู้นี้ถูกล่อลวง ติติงว่านางสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ตระกูล ไม่พึงควรเลยจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโอบเฉียวเจาเข้าไปหา ตบตัวนางเบาๆ พลางพูด หลานเจา ไม่ต้องกลัวนะ มันผ่านไปหมดแล้ว
ใช่ มันผ่านไปหมดแล้ว
เฉียวเจาพิงซบอกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง อุ่นซ่านตรงกลางใจ
บางเรื่องผ่านไปแล้ว แต่บางเรื่องผ่านไปไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไรนางฟื้นชีพขึ้นมาในร่างของหลีเจาก็สมควรดีใจ
ท่านย่า ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ นางนั่งตัวตรงส่งยิ้มให้หญิงชรา
เด็กสาวอายุสิบสองสิบสามเป็นวัยสาวแรกแย้ม ทว่ายังคงแฝงความอ่อนเยาว์ไว้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองดูรอยยิ้มสงบเยือกเย็นของหลานสาวในระยะประชิดปานนี้ ดูเหมือนเงาของความพาลเกเร หยาบกระด้าง และใจจืดใจดำห่างหายไปในชั่วอึดใจ
นางไม่เคยถือสาหาความกับเด็กผู้นี้จริงๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเด็กผู้นี้จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีอย่างนี้
ช่างดีเหนือความคาดหมายของนางโดยแท้ ถึงแม้พวกสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใหญ่โตเหล่านั้นไม่มีวันเห็นเด็กผู้นี้เป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นสะใภ้เพราะเรื่องที่ถูกล่อลวงไป นางก็ยังคงคิดเช่นนี้ดุจเดิม
วันหน้าเจ้าออกจากเรือนได้แล้ว แต่สำนักศึกษาหญิงที่จวนตะวันออกน่ะอย่าไปเลยดีกว่านะ
เฉียวเจามิได้แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ท่านย่า ข้ายังอยากไปสำนักศึกษาเจ้าค่ะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนึกว่านางไม่เข้าใจ จึงพูดอธิบายต่อ ถึงเจ้าจะได้หน้าได้ตายกใหญ่ในวันนี้ แต่หลีเจียวกลับเสียชื่อเสียง วันหน้าหากเจ้าไปที่สำนักศึกษาของจวนตะวันออกอีก เกรงว่าจะขัดหูขัดตาผู้อื่นนะ
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ ข้าเข้าใจที่ท่านย่าพูดเจ้าค่ะ แต่ข้าเชื่อว่าท่านเซียงจวินจะใจกว้างไม่สร้างความลำบากใจให้เด็กผู้หนึ่งอย่างข้าเจ้าค่ะ
จวนตะวันออกนั้น นางไม่ไปไม่ได้
ท่านตาของนางเป็นเสนาบดีกรมอาญา ส่วนนายท่านใหญ่ของจวนตะวันออกเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา หรือจะพูดว่าจวนสกุลหลีกับจวนเสนาบดีโค่วอยู่ในวงสมาคมเดียวกัน นางอยากจะเข้าไปใกล้ชิดกับตระกูลท่านตาอย่างกลมกลืน จะได้พบกับพี่ชายได้บ่อยๆ ในอนาคต ก็จะเลิกไปมาหาสู่กับจวนตะวันออกไม่ได้ ตราบใดที่นางไปสำนักศึกษาพร้อมกับพวกพี่น้องจวนตะวันออก วันหน้าเมื่อจวนตะวันออกจะไปเข้าร่วมงานสังสรรค์ใดๆ แล้วต้องพาคุณหนูทั้งหลายไปด้วย ก็จะไม่ทิ้งนางไว้คนเดียว
ยิ่งกว่านั้นท่านลุงใหญ่เดินทางไปจยาเฟิงเพื่อสืบสวนเรื่องสกุลเฉียวโดนไฟไหม้ รอเมื่อเขากลับมา นางก็อยากจะพบกับเขามากเหลือเกิน
เฉียวเจารู้จักคนจำพวกเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นอย่างดี
เสียอะไรก็เสียได้ แต่เสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด
วันนี้หลีเจียวอับอายขายหน้าครั้งใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เสียหน้าดุจเดียวกัน กระนั้นไม่ว่าจะพาลโกรธนางในใจปานใด ขอแค่นางไม่พลั้งเผลอก้าวพลาดไป ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไม่ทำอะไรน่าเกลียดเกินไปต่อหน้าผู้คน
พอคิดถึงว่าคนที่ใจร้ายกับนางพวกนั้นแอบอยากให้นางไสหัวไปไกลๆ แทบใจจะขาด แต่กลับต้องทนมองดูนางเดินลอยชายอยู่ตรงหน้าทุกวี่วันแล้ว เฉียวเจารู้สึกว่าก็น่าสาแก่ใจดี
เซียงจวินใจกว้างรึ
มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระตุกริกๆ เด็กผู้นี้พูดอะไรตรงข้ามกับความจริงไปได้
หลานเจา ฟังคำท่านย่านะ ข้าเห็นเจ้ามีฝีมือเขียนอักษรวิจิตรสูงส่งถึงเพียงนี้ ดูทีว่าทักษะด้านอื่นก็คงไม่อ่อนด้อย ไม่จำเป็นต้องไปสำนักศึกษาหญิงแล้วจริงๆ
เฉียวเจาถอนใจเฮือก เห็นทีว่ามีท่านย่าที่หวังดีต่อลูกหลานด้วยน้ำใสใจจริงผู้หนึ่ง บางครั้งก็น่าลำบากใจมากเหมือนกัน แต่ข้ายังอยากอยู่ร่วมกับพวกพี่ๆ น้องๆ นี่เจ้าคะ วันหน้าพอพวกนางออกเรือนไปแล้ว ถึงอยากมีวันเวลาเช่นนี้ปานใดก็ทำไม่ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากออก แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าอยากไปก็ไปเถอะ
ขอบคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ เฉียวเจาเม้มปากยิ้มออกแล้ว นางจับทางได้ว่าท่านย่าผู้นี้ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หลีเจี่ยวกลับมาถึงรถม้า
เพราะเหอซื่อไม่ได้มาด้วย จวนตะวันตกจึงใช้รถม้าทั้งหมดสองคัน นายหญิงรองหลิวซื่อกับบุตรสาวนั่งคันหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับคุณหนูสองคนของนายท่านใหญ่นั่งคันหนึ่ง
ไฉนเจี่ยวเอ๋อร์ก็กลับมาเหมือนกันเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งประหลาดใจครามครัน
มีแต่โลงศพเต็มไปหมด ดูน่าขนลุกขนพองชอบกล มิสู้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าดีกว่าเจ้าค่ะ หลีเจี่ยวพูดฉอเลาะ นางดูคาดไม่ถึงอยู่บ้างที่เห็นหลีเจาอยู่ด้วย
เฉียวเจาหลุบตาลง เหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น
ปกติคุณหนูใหญ่ท่านนี้วางตัวเป็นพี่สาวคนโต แสดงท่าทางรู้ความมีความอดกลั้น แต่ในบางเรื่องกลับไม่มีหัวคิดเอาเสียเลย
วิญญาณวีรชนหวนคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน กลับพูดว่าดูน่าขนลุกขนพองหรือ ขืนนางกล่าวเช่นนี้ ท่านย่าต้องมองค้อนตาเขียว ลงโทษให้นางเทินถ้วยน้ำชาบนหัวนอนหลับ
ส่วนท่านย่าของนางตอนนี้ก็มิใช่คนเลอะเลือน
เฉียวเจาคิดไว้ไม่ผิด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าขรึม พูดดุสั่งสอน อย่าพูดเหลวไหล!
ท่านผู้เฒ่าชักสีหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้หลีเจี่ยวตกใจตะลึงงันไป ลืมแม้แต่จะเอ่ยถามอย่างกังขาไปชั่วขณะ
ท่านย่าอายุมากแล้ว ชอบอยู่อย่างสงบๆ ไม่ต้องให้เจ้ารีบร้อนกลับมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ทหารที่พลีชีพกลางสมรภูมิเหล่านั้นต่างหาก ถึงเป็นยายเฒ่าอายุปูนนี้เช่นท่านย่าไปส่งดวงวิญญาณด้วยตนเองก็มิได้เกินเลยไป
หลีเจี่ยวอับอายจนหน้าแดงก่ำทันใด อยากมุดศีรษะแทรกแผ่นดินหนีแทบใจจะขาด นางต้องขายหน้าต่อหน้าหลีซานอีกครั้งแล้วหรือนี่ หากที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางโดนท่านย่าตำหนิแล้วจำต้องปิดปากเงียบพูดไม่ได้
หลีเจี่ยวกล้ำกลืนความคับข้องใจนี้ไว้อย่างยากเย็นจริงๆ นางข่มใจแล้วข่มใจอีกถึงกล่าวขึ้น ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ
คำถามเดียวกันนี้ของท่านย่า หลีซานตอบว่าอย่างไร นางอยากรู้เหลือเกิน
หลีเจี่ยวเก็บความรู้สึกมาแต่วัยเยาว์จนเป็นนิสัย กล่าวยอมรับผิดได้อย่างจริงใจมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหักใจดุด่าว่ากล่าวต่ออีกไม่ลงคอ นางพยักหน้าพลางพูด ถ้ารู้ว่าผิดตรงใดจริงๆ ก็ดี
หญิงชรามองออกไปนอกหน้าต่าง พลางกล่าวทอดถอนใจ ไม่มีทหารคอยปกบ้านป้องเมืองเหล่านั้น พวกเจ้านึกว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายปานนี้หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งผินหน้าไปถามหลานสาวคนโต เจี่ยวเอ๋อร์ เจ้าคงรู้ว่าบ้านเดิมของพวกเราอยู่ที่ใดกระมัง
ทราบเจ้าค่ะ อยู่ที่อำเภอเหออวี๋ หลีเจี่ยวกล่าวตอบ
นางเป็นสตรี ไม่มีโอกาสตามพวกผู้อาวุโสกลับบ้านเดิมไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่นางจดจำได้แม่นยำว่าบ้านเดิมอยู่ที่ใด
อื้อ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้าหงึกหงัก นางมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนพูดกับสองพี่น้อง อำเภอเหออวี๋อยู่ติดกับซานไห่กวน เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับพวกเจ้านี่ล่ะ ทันได้เห็นเมืองซานไห่กวนถูกพวกต๋าจื่อตีแตก…ข้ามีสหายรักผู้หนึ่ง ตระกูลของท่านยายนางอยู่ที่เมืองซานไห่กวน ตอนนั้นนางติดตามมารดาไปเรือนของท่านยายพอดี ก็เลยประสบกับมหันตภัยครานั้น…ภายหลังคนที่หนีกลับเหออวี๋ได้มีแค่สาวใช้ประจำตัวนางผู้เดียว ข้ายังจดจำได้จนทุกวันนี้ สาวใช้ผู้นั้นชื่อเสี่ยวเตี๋ย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสหายรักผู้นั้นของข้าเป็นอย่างไร
หลีเจี่ยวส่ายหน้าไปมาอย่างลังเลใจ
เฉียวเจากลับเหยียดแผ่นหลังตรง นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
นางรู้ นางเคยเห็น ถึงขั้นที่รู้ทั้งรู้ว่านางคือภรรยาของเซ่าหมิงยวน ชาวต๋าจื่อที่ลักพาตัวนางไปพวกนั้นยังคิดจะย่ำยีนางโดยไม่รอช้า
แดนเหนืออันทุรกันดารบ่มเพาะให้ชาวเป่ยฉีมีนิสัยโหดเหี้ยมดุร้าย ซ้ำยังมีสตรีอยู่น้อย ด้วยเหตุนี้พอพวกเขาพบกับสตรีแคว้นต้าเหลียงที่อ่อนเยาว์โฉมงาม ส่วนที่เรียกว่าความยับยั้งชั่งใจในหัวสมองก็หมดสิ้นไป
ตอนท้ายเป็นหัวหน้าของพวกเขาบั่นศีรษะทหารที่ไม่เชื่อฟังสองคนเองกับมือถึงกำราบคนอื่นๆ ได้ นางถึงรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ในตอนนั้น
นางจดจำได้ไม่มีวันลืมว่าหัวหน้าผู้นั้นบอกกับพวกผู้ใต้บังคับบัญชากลั้วเสียงหัวเราะดังลั่นว่าถ้าเจ้าเทพนักสังหารแซ่เซ่าไม่ถอยทัพ เขาจะมอบนางให้พวกนั้นเป็นรางวัลบนกำแพงเมือง ให้พวกลูกสุนัขของต้าเหลียงได้เห็นกับตาว่าพวกตนชาวเป่ยฉีครอบครองสตรีต้าเหลียงของพวกเขาเช่นไร
ทั้งยังเป็นสตรีของแม่ทัพซึ่งพวกเขานับถือประหนึ่งเทพเซียนด้วย
ต่อให้เมืองเยี่ยนถูกชาวต้าเหลียงชิงคืนไป ก็จะให้ความอัปยศนี้ประทับอยู่บนหน้าชาวต้าเหลียงไปตลอดกาล!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงสายตาคืนมา กล่าวเสียงเนิบๆ พอชาวต๋าจื่อพวกนั้นเข้าไปเข่นฆ่าย่ำยีคนในเรือนติดกัน นางกับญาติผู้พี่ผู้น้องผูกคอตายใต้ต้นไม้ในเรือนหลังพร้อมกัน ศพห้อยเรียงรายกันเป็นแถวๆ เหมือนปลาเค็มที่ชาวเหออวี๋ทุกเหย้าทุกเรือนทำกันตอนฤดูหนาวของทุกปี