หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 561
บทที่ 561
สาวใช้ที่ฟุบหน้าอยู่บนศพของจูซื่อร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
เดิมทีฮูหยินบอกว่าจะข่มขู่ท่านป๋อเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะตัวหนักเหลือเกิน นางมือลื่นช่วยพยุงฮูหยินลงมาไม่ทัน ซ้ำร้ายกลับกลายเป็นฉุดตัวฮูหยินหล่นลงมา!
ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวเห็นศพของบุตรสาวแล้วสิ้นสติไปทันที
ด้านเวินซื่อฝืนสะกดอารมณ์คลุ้มคลั่งอยากอาละวาดเอาไว้ รีบส่งคนไปเชิญนายท่านผู้เฒ่าที่ออกไปแข่งกัดจิ้งหรีด รวมถึงไท่หนิงโหวที่สังสรรค์อยู่กับสหายให้กลับมา
คนของจวนกู้ชางป๋อรุดมาถึงครบแล้ว
ตู้เฟยหยางกับตู้เฟยเสวี่ยซบร่างไร้วิญญาณของมารดาร่ำไห้อย่างโศกเศร้าเจียนใจสลาย
ส่วนกู้ชางป๋อคุกเข่าโขกศีรษะอยู่เบื้องหน้าไท่หนิงโหวอาวุโสด้วยท่าทางแข็งทื่อไร้ชีวิตจิตใจ
ท่านผู้เฒ่ายกเท้าถีบเขาหลายทีจนไท่หนิงโหวต้องห้ามไว้ “ท่านพ่อ อาหนิงก็จากไปแล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญคือจะจัดพิธีศพอย่างไร ท่านจะโมโหจนล้มป่วยไปอีกคนไม่ได้นะขอรับ”
ภรรยาของเขาเล่าให้ฟังว่ากู้ชางป๋อส่งหนังสือหย่าให้น้องสาวแล้ว ถ้าจะนับกันจริงๆ ถือว่าน้องสาวถูกสามีตัดขาดแล้วกลับมาอยู่สกุลเดิม ดังนั้นตกลงว่าจะฝังศพไว้กับจวนโหวหรือจวนป๋อก็ยังบอกไม่ได้
หากว่าจวนกู้ชางป๋อยอมรับว่าน้องสาวยังเป็นประมุขหญิงของจวนป๋อก็นำไปฝังในสุสานบรรพชนสกุลตู้ น้องสาวเขายังได้รับการจุดธูปเซ่นไหว้ แต่ถ้านำกลับมาที่สกุลเดิม นอกจากจวนโหวจะกลายเป็นที่ขบขันของชาวเมืองหลวง ภายภาคหน้าน้องสาวของเขาจะไม่มีคนเซ่นไหว้แม้แต่คนเดียว นั่นเป็นบทลงเอยที่น่าวังเวงใจเหลือเกิน
ไท่หนิงโหวมองกู้ชางป๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วซ่อนแววตากรุ่นโกรธเอาไว้
ท่านแม่หมดสติไป ส่วนท่านพ่อกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาจะวู่วามอีกคนไม่ได้ ต้องให้เจ้าคนบัดซบผู้นี้เอาหนังสือหย่าคืนไปได้จึงจะดี
“น้องเขย น้องสาวข้าแต่งเข้าจวนป๋อมาสิบกว่าปี กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ให้กำเนิดเลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาว ดูแลจวนของท่านได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงไม่มีความดีก็มีความชอบ ไม่ว่าท่านกับนางจะโกรธเคืองอะไรกัน บัดนี้คนก็จากไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมีคำอธิบายใดหรือไม่”
ได้ยินคำว่า ‘น้องเขย’ ฮูหยินผู้เฒ่าของกู้ชางป๋อก็เข้าใจความหมายของไท่หนิงโหวแล้ว นางสบช่องกล่าวขึ้น “เจ้าลูกเนรคุณผู้นี้กับจูซื่อเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมาสิบกว่าปี น้อยครั้งนักที่จะทะเลาะเบาะแว้งกัน ครั้งนี้เป็นเพราะมีปากเสียงถึงได้ทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ข้าสั่งสอนอบรมเจ้าคนเลอะเลือนผู้นี้แล้ว หวังว่าทางจวนโหวจะเห็นแก่บุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งที่ลูกสะใภ้ข้าทิ้งไว้ให้ อย่าได้ถือสาหาความกับเขาเลย”
นางกล่าวถึงตรงนี้แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “ลูกสะใภ้ของข้าผู้นั้นยามอยู่เป็นคนของจวนป๋อ ถึงจากไปแล้วก็ต้องฝังอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลตู้ได้รับการจุดธูปเซ่นไหว้จากลูกหลานแน่นอน ไม่ทราบทางท่านมีความเห็นเช่นไร”
สีหน้าของไท่หนิงโหวขรึมลงน้อยๆ “ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจแทนท่านป๋อได้หรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าของกู้ชางป๋อตีบุตรชายแรงๆ ทีหนึ่งพลางกล่าว “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าพูดจาสิ”
กู้ชางป๋อโขกศีรษะทีหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดของเขาฉายรอยเศร้าสลด “ความเห็นของท่านแม่ก็คือความเห็นของข้าขอรับ”
หลังกล่าวคำนี้จบเขาทรุดฮวบลงกับพื้นราวกับกำลังกายโดนสูบออกไปจนหมดกระนั้น
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจูซื่อจะฆ่าตัวตาย
คนที่มีแต่ฝืนใจคนอื่นไม่ฝืนใจตนเองอย่างจูซื่อหักใจคิดสั้นได้อย่างไรกัน ต่อให้จะคิดสั้น นั่นก็น่าจะทำเพื่อข่มขู่เขาถึงจะถูก
กู้ชางป๋อคิดอย่างใจลอย เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร
แค้นเคืองจูซื่อหรือไม่ ตลอดสิบปีเศษที่ยอมอยู่ใต้อำนาจนาง เขาย่อมจะแค้นใจเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลี้ยงดูอนุลับๆ ที่อ่อนโยนช่างเอาใจไว้นอกเรือน
แต่ถึงจะแค้นใจเขากับนางก็เป็นสามีภรรยาที่ผูกผมกัน ให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่ง เขาไม่เคยอยากให้นางตายเลย
นานสิบกว่าปีแล้วต่อให้ไม่มีความรักต่อกันอีก แต่ระหว่างคนทั้งสองก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด กระทั่งหนังสือหย่าแผ่นนี้เขาก็แค่จะประชดเท่านั้นเอง
ไฉนนางจบชีวิตตนเองไปแล้วเล่า… กู้ชางป๋ออดถามตนเองอยู่ในใจไม่ได้
ไท่หนิงโหวเห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วทั้งโมโหทั้งชิงชัง แต่เพื่อพิธีศพของน้องสาวแล้วยังฉีกหน้าแตกหักกันไม่ได้ เขาถามเสียงเย็นชาขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ทางจวนป๋อก็จัดเตรียมโถงตั้งศพโดยไวแล้วแจ้งข่าวการตายไปตามจวนต่างๆ เถอะ”
เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันตระกูลที่เป็นวงศ์วานว่านเครือกับจวนป๋อก็ได้รับสารแจ้งข่าวงานพิธีศพอย่างรวดเร็ว ข่าวจูซื่อฆ่าตัวตายแพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองหลวงในพริบตาราวกับติดปีกบิน
หลิวซื่อนายหญิงรองของจวนตะวันตกสกุลหลีกำลังสอนบุตรสาวสองคนเย็บปักถักร้อยอยู่ในห้องอุ่นของเรือนจินหรง
หลิวซื่อเย็บพื้นรองเท้า คุณหนูสี่หลีเยียนปักลาย ส่วนคุณหนูหกหลีฉานยังอายุน้อยจึงคอยเป็นลูกมือให้มารดากับพี่สาว
เมื่อคิดถึงว่านายท่านรองหลีกวงซูจวนจะกลับถึงเรือนในไม่ช้า ในใจหลิวซื่อก็รู้สึกแช่มชื่นยินดีอย่างเปี่ยมล้น พื้นรองเท้าในมือที่นางเย็บอยู่ก็เป็นของเขา
นางเย็บพื้นรองเท้าคู่หนึ่งเพิ่งเสร็จก็ได้ฟังข่าวซุบซิบเรื่องจูซื่อผูกคอตายจากสาวใช้แล้วตกใจจนอ้าปากค้างเป็นนานครู่ใหญ่ถึงหุบปากลง จากนั้นใช้ฟันกัดด้ายให้ขาดแล้วประนมมือขึ้นสวดมนต์พึมพำ
“ท่านแม่ ท่านสวดอะไรอยู่เจ้าคะ”
หลิวซื่อส่งเสียงไอทีหนึ่ง “ไม่มีอะไร เพียงขอให้พุทธองค์คุ้มครองให้ท่านพ่อเจ้ากลับถึงเรือนอย่างปลอดภัย”
นางย่อมบอกกับพวกบุตรสาวไม่ได้เป็นแน่ว่าเมื่อครู่นี้นางกำลังขอบคุณฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่
เมื่อแรกที่ตนวางเส้นทางเดินตามรอยเท้าคุณหนูสามและไม่เป็นอริกับนางอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องปานใด!
“เด็กสาวอย่างพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องน่ารำคาญใจข้างนอกหรอก เยียนเอ๋อร์ แม่จำได้ว่าเจ้าเพิ่งเย็บถุงผ้าสีพื้นปักลายปลาไนสีไว้ใบหนึ่ง พี่เจาของเจ้าชมชอบสวมอาภรณ์สีเรียบๆ เหน็บถุงผ้าสีพื้นปักลายได้เหมาะเจาะพอดี เจ้านำไปมอบให้นางสิ จะได้ให้นางดูว่าฝีมือปักผ้าของเจ้าก้าวหน้าขึ้นหรือไม่”
คุณหนูสี่หลีเยียนลอบเบ้ปาก
แม้แต่ใบไม้สักใบพี่เจาก็ยังปักไม่ได้เรื่อง แล้วจะเอาปัญญาที่ใดมาติชมฝีมือนางว่าก้าวหน้าขึ้นหรือไม่ นางมักรู้สึกไม่วายว่าพี่เจาต่างหากเป็นบุตรสาวในไส้ของท่านแม่
กระนั้นหลีเยียนก็ซึมซับความคิดอ่านจากมารดาโดยไม่รู้ตัว ทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดกับเฉียวเจาอย่างปราศจากเหตุผล แต่กลับไม่เคยสังเกตว่าเริ่มสนิทสนมกับพี่สาวคนที่สามผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไร นางจึงพยักหน้าตกลง
หลิวซื่อยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ไปนั่งเล่นกับพี่เจาของพวกเจ้านานๆ กลับมาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เมื่อพี่น้องสองสาวออกจากเรือน คุณหนูหกหลีฉานทำปากยื่นกล่าวขึ้น “พี่เยียน เพราะอะไรข้าถึงรู้สึกว่าพี่เจาต่างหากเป็นลูกแท้ๆ ของท่านแม่”
หลีเยียนลูบศีรษะน้องสาว ถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างอ่อนใจ นางจะไปรู้ว่าเพราะอะไรได้อย่างไร นางเองก็จนปัญญาที่มารดาเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หลังจากได้รับสารแจ้งข่าวงานพิธีศพ ในฐานะญาติผูกดองของจวนกู้ชางป๋อ จวนตะวันตกของสกุลหลีย่อมมีคนไปร่วมงานเป็นธรรมดา
เหอซื่อตั้งครรภ์อยู่ไม่เหมาะที่จะไป หลีกวงเหวินจึงพาหลีเจี่ยวกับหลีฮุยสองพี่น้องไปที่นั่นเอง
แม้ว่าเฉียวเจาเป็นบุตรสาวของเหอซื่อ ตามหลักแล้วสมควรตามบิดาไปเคารพศพด้วย แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทัดทานไว้
ตามคำกล่าวของท่านผู้เฒ่าคือมากขึ้นเรื่องหนึ่งมิสู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง ไยต้องให้หลานสาวไปฟังเสียงนกเสียงกาพวกนั้นด้วยเล่า
ตู้เฟยเสวี่ยกลับฉุนเฉียวใส่หลีกวงเหวินที่มาเคารพศพอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “เหตุใดท่านอาเขยไม่พาหลีซานมาเจ้าคะ นางร้อนตัวเลยไม่กล้ามาใช่หรือไม่”
หลีกวงเหวินเจอเด็กสาวถามเช่นนี้ก็ไล่เลียงจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเอ่ยขึ้นอย่างงงงัน “หรือว่าการตายของฮูหยินท่านป๋อมีเบื้องหลังอยู่อีก”
คำถามนี้ทำให้คนของจวนกู้ชางป๋อเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “เด็กพูดจาส่งเดช ท่านเขยอย่างถือเป็นจริงเป็นจังเลย”
ถึงแม้เพลานี้มีคนมากมายปักใจเชื่อว่าจูซื่อบงการคนให้สาดอุจจาระใส่ประตูใหญ่จวนสกุลหลี แต่จวนป๋อไม่มีทางยอมรับ
หลีกวงเหวินถอนหายใจยาวเหยียด “ตกใจหมดเลย ข้าก็ฉงนใจว่าฮูหยินของท่านป๋อล่วงลับไป บุตรสาวข้ามีอะไรต้องร้อนตัวด้วย”
ท่านช่างพูดได้เต็มปากเต็มคำเสียจริง! ทุกคนในงานกลอกตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ก็ท่านแม่ของข้า…” ตู้เฟยเสวี่ยยังจะพูดต่ออีกแต่โดนฮูหยินผู้เฒ่าของจวนกู้ชางป๋อหยิกแรงๆ ทีหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่เศร้าโศกเกินไป พานางไปพักผ่อนที่ด้านหลัง”
หลีเจี่ยวเห็นดังนั้นจึงรีบขันอาสา “ท่านยาย ข้าจะพูดปลอบญาติผู้น้องเองเจ้าค่ะ”
พอไปถึงด้านหลังหลีเจี่ยวถอนใจเฮือกหนึ่ง “น้องเฟยเสวี่ย ถ้าเจ้าเสียใจก็ร้องไห้ออกมาเถอะ”
ตู้เฟยเสวี่ยกอดหลีเจี่ยวไว้หมับแล้วร่ำไห้สุดเสียง