หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 565
บทที่ 565
องค์หญิงเจินเจินหยุดยืนรออยู่ที่ข้างต้นเหมยต้นหนึ่งในพระราชอุทยาน พอเห็นเฉียวเจาเดินมาก็รีบเอ่ยขึ้น “คุณหนูหลีซาน ขอบคุณท่านมาก”
อันว่าบุญคุณใหญ่หลวงมิเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณนั้นล้วนเป็นคำเท็จ กระนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าสตรีที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินท่านโหวผู้นี้ยังขาดสิ่งใด
องค์หญิงเจินเจินคิดๆ แล้วถอดกำไลหยกโลหิตบนข้อมือออกมายัดใส่มือเฉียวเจา “ข้ารู้ว่าท่านอาจจะไม่อยากได้ แต่กำไลหยกโลหิตวงนี้กับวงที่เสด็จแม่ข้ามอบให้ท่านก่อนหน้านี้เดิมทีเป็นคู่กัน ท่านก็รับไว้เถอะ วันหน้า…”
นางหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้มจากใจจริง “วันหน้าออกเรือน กำไลหยกสีแดงเป็นมงคลกว่า”
กำไลหยกโลหิตยังเหลือไออุ่นกายติดอยู่ เนื้อหยกใสเรียบลื่น มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกสวมใส่มาเป็นเวลานาน บ่งบอกถึงความชมชอบที่เจ้าของมีต่อมัน
เฉียวเจายังเข้าใจสัจธรรมที่ว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักผู้อื่น เหนือสิ่งอื่นใดกำไลหยกโลหิตวงนี้สำหรับองค์หญิงเจินเจินแล้วเป็นของรักของหวง แต่สำหรับนางเป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น แล้วนางจะรับกำไลที่คนอื่นสวมติดตัวมานานเอาเก็บไว้เป็นของก้นหีบไปไยเล่า
เฉียวเจาจับมือองค์หญิงเจินเจินขึ้นมา นางทำสายตางุนงงมองดูเฉียวเจาสวมกำไลหยกโลหิตคืนให้
องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปาก “คุณหนูหลีซาน นี่ท่านหมายความว่าอะไร”
หรือว่าไม่ถูกใจกำไลของข้า
“หม่อมฉันรู้สึกว่าองค์หญิงทรงสวมกำไลหยกโลหิตวงนี้ได้งามกว่าหม่อมฉันเพคะ” เฉียวเจายิ้มพลางชูมือขึ้นเผยท่อนแขนออกมา “ผิวกายของหม่อมฉันไม่ขาวเนียนเท่าองค์หญิง”
นางเดินทางไปทิศใต้หลายเดือน ต้องกรำแดดกรำฝนตลอดทาง ผิวกายไม่ได้ไหม้แดดลอกออกชั้นหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้ผิวคล้ำกว่าก่อนออกจากเมืองหลวงไม่น้อย สงสัยว่าต้องถนอมผิวตลอดฤดูนี้ถึงจะกลับมาขาวเหมือนเดิมได้
องค์หญิงเจินเจินเพ่งสายตามองแล้วพบว่าตนเองผิวขาวกว่าเฉียวเจาจริงๆ ขืนดึงดันยัดเยียดกำไลหยกโลหิตให้อีกฝ่ายก็ดูมีนัยทับถมคนอื่นๆ อยู่สักหน่อย นางจึงไม่ยืนกรานต่อ เพียงกล่าวพึมพำว่า “ขอบคุณมากนะ”
เดิมทีทั้งคู่มีไมตรีต่อกันเพียงผิวเผิน เพลานี้ยืนอยู่ข้างต้นเหมย ปลายจมูกได้กลิ่นหอมรวยริน ทว่าต่างฝ่ายต่างหาเรื่องชวนคุยกันไม่ได้ในชั่วขณะจริงๆ พาให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด
องค์หญิงเจินเจินดึงผ้าเช็ดหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ยามที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรดี สุ้มเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “น้องเก้าอยู่ตรงนี้นี่เอง”
เด็กสาวสวมกระโปรงสีน้ำเงินผู้หนึ่งเดินมาจากด้านข้างสวนหิน ดวงหน้าของนางรูปไข่ปล่อยผมลงปรกหน้าผากเสมอคิ้ว นัยน์ตารียาวสุกใส กิริยาท่าทางนิ่มนวลแช่มช้อย
องค์หญิงเจินเจินลอบมุ่นคิ้วอย่างเอือมระอา แต่จะแสดงออกทางสีหน้าก็ไม่เหมาะสม นางเอ่ยแนะนำขึ้นว่า “นี่คือพี่หญิงแปดของข้า ส่วนนี่คือคุณหนูหลีซานเจ้าค่ะ”
เฉียวเจายอบกายคำนับองค์หญิงแปด “ถวายคำนับองค์หญิงแปดเพคะ”
ดวงตาขององค์หญิงแปดทอประกายระยับ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย “ข้านับถือเลื่อมใสคุณหนูหลีซานมานานแล้ว ต้องขอบคุณท่านที่รักษาใบหน้าให้น้องเก้าของข้าจนหายดี”
องค์หญิงเจินเจินลอบกลอกตาขึ้น แสร้งทำเหมือนเป็นพี่น้องรักใคร่ผูกพันอะไรกับข้า น่ารำคาญจริงๆ
“พี่หญิงแปด ข้ากับคุณหนูหลีซานยังมีเรื่องคุยกัน ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“ช้าก่อนน้องเก้า” องค์หญิงแปดขวางหน้าองค์หญิงเก้าไว้
“พี่หญิงแปดยังมีเรื่องใดหรือ”
องค์หญิงแปดหลุบตาลง กล่าวเสียงค่อยว่า “น้องเก้า ข้าอยากสนทนากับคุณหนูหลีซานตามลำพัง”
เฉียวเจาลอบขมวดคิ้ว
‘สนทนาตามลำพัง’ เป็นคำกล่าวที่แทบจะมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ‘ความเดือดร้อนมาเยือนแล้ว’
“พี่หญิงแปดมีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเลยเถอะ คุณหนูหลีซานเป็นแขกที่ข้าเชิญมา มีอะไรข้าต้องรับผิดชอบเจ้าค่ะ”
องค์หญิงแปดกัดริมฝีปาก แววขุ่นเคืองผุดขึ้นในดวงตานางวูบหนึ่ง
ข้าจะจับคนกินหรืออย่างไร ยังต้องรับผิดชอบด้วย!
อย่างไรก็ดีต่อให้นางคิดจะทำอะไร แต่ต่างก็เป็นสตรีเหมือนกัน นางจะทำอะไรได้
ทว่ากับองค์หญิงเก้าแล้ว องค์หญิงแปดก็ไม่อยากล่วงเกินอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย
น้องสาวผู้นี้รูปโฉมงดงามอีกทั้งรู้จักประจบเอาใจเสด็จย่า ส่งผลให้อยู่ในวังหลวงได้สุขสบายกว่านางมาก
ความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวของนางก็คือได้แต่งงานก่อนหน้าน้องเก้า
วันนั้นเสด็จพ่อเรียกตัวนางกับน้องเก้าไปที่ห้องทรงพระอักษร นางก็รู้แล้วว่าเสด็จพ่อกำลังใคร่ครวญเรื่องการแต่งงานของพวกนาง อีกทั้งราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อถูกใจน่าจะเป็นคนที่โดดเด่นมาก
เรื่องนี้คาดเดาได้ง่ายมาก หากราชบุตรเขยเป็นพวกชั้นสามัญธรรมดา เสด็จพ่อไม่มีทางเรียกนางกับน้องเก้าไปพร้อมกัน หรือจะคิดไปในทางที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์ก็คือเสด็จพ่อหวั่นใจว่าว่าที่ราชบุตรเขยจะไม่พออกพอใจ ฉะนั้นองค์หญิงแห่งต้าเหลียงผู้สูงส่งจึงกลายเป็นผู้ถูกเลือก
เมื่อคิดถึงตรงนี้องค์หญิงแปดไม่เพียงไม่รู้สึกโกรธแค้น ในใจนางกลับเต็มไปด้วยความวาดหวัง
ขณะนั้นน้องเก้าไม่อาจอวดโฉมกับใครต่อใครได้ จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่านางคือผู้ถูกเลือก หรืออีกนัยหนึ่งคือนางจะได้ออกจากวังหลวงที่ทำให้หายใจไม่ออกแห่งนี้ในไม่ช้าแล้ว
พักนี้ถึงองค์หญิงแปดจะอารมณ์เบิกบานแจ่มใสอยู่ตลอด แต่มีเรื่องกังวลติดอยู่ในใจเล็กน้อยคือเมื่อครั้งวัยเยาว์นางกำนัลสะเพร่าไม่ได้ดูแลนางให้ดีจนเกิดแผลเป็นตรงหน้าผากรอยหนึ่ง
หลายปีมานี้นางไว้ผมหน้าม้าปิดเอาไว้เสมอ แต่หลังจากออกเรือนในวันหน้าก็ต้องถูกพระสวามีเห็นอยู่ดี…
“หากพี่หญิงแปดไม่อยากพูด เช่นนั้นพวกข้าจะไปแล้ว” องค์หญิงเจินเจินคว้ามือเฉียวเจามาจับไว้
“น้องเก้า รอประเดี๋ยว” องค์หญิงแปดรู้แก่ใจดีว่ามีองค์หญิงเจินเจินอยู่ด้วย ตนคงวางอำนาจในฐานะที่เป็นองค์หญิงไม่ได้ นางทำใจแข็งเสยผมหน้าม้าขึ้น “คุณหนูหลีซาน ท่านเห็นว่าแผลเป็นเก่าบนหน้าผากข้าจะรักษาให้หายได้หรือไม่”
องค์หญิงเจินเจินมีสีหน้าประหลาดใจน้อยๆ นางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าองค์หญิงแปดมีแผลเป็นรอยหนึ่งบนหน้าผากมาโดยตลอด
รอยแผลไม่นับว่ายาวทว่าลึกเอาการ อีกทั้งอยู่บนใบหน้า สำหรับสตรีนางหนึ่งแล้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว
องค์หญิงเจินเจินอดมองไปทางเฉียวเจาไม่ได้ อีกฝ่ายรักษาใบหน้าของนางจนหายดีเท่ากับมอบชีวิตใหม่ให้นาง นางไม่มีวันกระทำเรื่องน่ารังเกียจที่เป็นการก้าวก่ายอีกฝ่ายพรรค์นี้
เฉียวเจาพินิจดูรอยแผลบนหน้าผากขององค์หญิงแปดอย่างจริงจังแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย “ลองดูได้เพคะ”
“จริงหรือ?” องค์หญิงแปดตาเป็นประกาย นางกุมมือเฉียวเจาอย่างอดใจไม่อยู่
“แค่กๆ” องค์หญิงเจินเจินดึงมือเฉียวเจาคืนมาจากมือองค์หญิงแปด
จะพูดก็พูดไป จับมือคนอื่นด้วยเหตุใดกัน
“ยาขี้ผึ้งนั่น…” องค์หญิงแปดอึกๆ อักๆ
เฉียวเจาเข้าใจความหมายของนางทันที จึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “แผลเป็นบนพระนลาฏขององค์หญิงเป็นรอยแผลเก่า ยาขี้ผึ้งที่องค์หญิงเก้าทรงใช้ไม่เหมาะสมเพคะ ไว้หม่อมฉันกลับไปปรุงยาใหม่อีกขวดหนึ่งให้พระองค์ทรงลองใช้ดู”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณคุณหนูหลีซานมาก” องค์หญิงแปดยินดียกใหญ่ คะยั้นคะยอให้องค์หญิงเจินเจินกับคุณหนูหลีไปเป็นแขกที่ตำหนักบรรทมของตน แต่องค์หญิงเจินเจินปฏิเสธ
ตอนส่งเฉียวเจาออกจากวัง องค์หญิงเจินเจินพูดเสียงขุ่น “ท่านกลับเป็นคนพูดง่ายนัก”
พี่หญิงแปดของนางผู้นี้เจ้าเล่ห์จะตายไป มิได้อ่อนโยนใจดีอย่างที่เห็นภายนอกหรอกนะ
กระนั้นดังคำกล่าวว่าไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า นางจะพูดถ้อยคำนี้ออกมาย่อมไม่เหมาะแน่นอน
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่เปลืองแรงอะไรเพคะ”
ในอดีตพระมารดาขององค์หญิงแปดเคยมีไมตรีกับท่านย่าของนางอยู่บ้าง ตอนนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลองค์หญิงแปดที่กำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์แทนท่านย่า เพราะถึงอย่างไรสำหรับนางแล้วมันง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือจริงๆ
ได้ยินเฉียวเจากล่าวอย่างนี้องค์หญิงเจินเจินไม่ว่ากระไรอีก นางชำเลืองมองสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาบนข้อมืออีกฝ่ายแล้วอดไต่ถามไม่ได้ “คุณหนูหลีซาน ซือไท่มอบสร้อยลูกประคำเส้นนี้ให้ท่านใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า
ในดวงตาขององค์หญิงเจินเจินทอแววอิจฉาวูบหนึ่ง “ซือไท่ช่างดีต่อท่านจริงๆ ข้าเห็นซือไท่สวมสร้อยประคำเส้นนี้มานานหลายปี มักลูบๆ จับๆ มันอยู่เป็นประจำ จะต้องนำความโชคดีมาให้เป็นแน่”
ผู้คนในยุคสมัยนี้เลื่อมใสในพระพุทธอยู่มาก
“มิน่าเล่าหลังๆ มานี้ข้ามีโชคไม่เลวมาโดยตลอด ล้วนเพราะได้พึ่งใบบุญของซือไท่นี่เอง” เฉียวเจาลูบสร้อยประคำโดยไม่รู้ตัว หากในใจมีข้อกังขาหนึ่งผุดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งที่หลายปีมานี้องค์หญิงเจินเจินไปเยี่ยมเยียนอู๋เหมยซือไท่อยู่เสมอๆ แต่ท่านกลับมอบสร้อยประคำให้นาง มันเป็นเพราะถูกชะตากับนางมากกว่าองค์หญิงเจินเจินจริงๆ หรือ
ข้อกังขานี้ติดอยู่ในใจเฉียวเจาจนกลับไปถึงจวน นางมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะปรุงยาขี้ผึ้งให้องค์หญิงแปดให้ใครฟัง
คดีของสิงอู่หยางได้ผลลัพธ์ออกมาก่อนที่ที่ว่าการจะเก็บตราประทับขึ้นตามธรรมเนียมทุกปีในที่สุด เพราะยังไม่ได้กำหนดตัวแม่ทัพคนใหม่ ผลการตัดสินโทษของพวกขุนนางในฝูตงถูกเก็บความลับ ส่วนคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวในจยาเฟิงก็เปิดเผยความจริงได้แล้ว พวกเจ้าหน้าที่ทางการรวมถึงเจ้าเมืองจยาหนานล้วนต้องโทษประหารทันที
ในวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสองหรือวันตรุษเล็ก* ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่นานนักก็มีหิมะตกลงมา บริเวณพื้นที่ปากทางเข้าตลาดสดถูกน้ำชะล้างรอบแล้วรอบเล่าก็ยังคงเป็นสีแดงเข้ม
บุรุษชุดสีขาวสวมหมวกคลุมหน้าตบไหล่เด็กสาวในอาภรณ์สีเรียบเบาๆ “เจาเจา อย่าดูอีกเลย ได้เวลาที่พี่เฉียวโม่จะออกเดินทางแล้ว”
* วันตรุษเล็ก หรือเสี่ยวเหนียน หมายถึงช่วงเวลาก่อนปีใหม่จีนที่ทุกบ้านเริ่มเตรียมข้าวของสำหรับฉลองปีใหม่ ติดภาพมงคลและกลอนคู่ ทำความสะอาดบ้าน เสี่ยวเหนียนในแต่ละท้องถิ่นกำหนดวันแตกต่างกันไป