หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 567
บทที่ 567
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาไปส่งที่ปากตรอกซิ่งจื่อ เขายืนอยู่ข้างรถม้าพลางเคาะหน้าต่างรถเบาๆ
ม่านหน้าต่างเผยอขึ้นแต่ถูกฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกดไว้ “อย่าเปิดม่าน ลมพัดเข้าไปจะหนาว ข้าแค่จะบอกเจ้าคำเดียวว่าหิมะตกพื้นลื่น ลงจากรถม้าแล้วเดินระวังๆ ด้วย”
“รู้แล้ว ระหว่างทางท่านก็ระวังตัวด้วยนะ” สุ้มเสียงนุ่มนิ่มของเด็กสาวที่ลอยมาจากหลังม่านฟังดูแล้วไม่เยือกเย็นเฉยเมยเช่นปกติโดยสิ้นเชิง
เฉินกวงเงี่ยหูฟังแล้วยกนิ้วโป้งให้เซ่าหมิงยวน
ท่านแม่ทัพปากหวานยิ่งนัก จุๆ ใกล้จะไล่ทันข้าแล้ว
เซ่าหมิงยวนชายตามองสารถีน้อยที่ทำคอยืดคอยาวอย่างปึ่งชา กล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือนว่า “บังคับรถม้าให้ดีๆ”
เฉินกวงลูบศีรษะตนเองพลางพูดรำพึงเสียงเบาๆ “ก็ถึงเรือนแล้ว…”
เขากลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอเมื่อเห็นท่านแม่ทัพถลึงตาใส่
องครักษ์ในเรือนติดกันจูงม้าออกมาให้ เซ่าหมิงยวนพลิกกายขึ้นไป เขามองรถม้าซ้ำอีกคราก่อนควบม้าจากไป
เมื่อเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นถนนศิลาเขียวกุบกับๆ ดังลอยมา ฝ่ามือขาวเกลี้ยงข้างหนึ่งเลิกม่านผ้าสำลีสีเขียวไม้ไผ่ขึ้น
เฉียวเจาเยี่ยมหน้ามองตามแผ่นหลังของร่างสง่าผึ่งผายดุจต้นสนที่ห่างออกไปไกลร่างนั้นจวบจนหายลับไปกลางหมู่เรือนอาศัยเบื้องหน้าถึงปล่อยม่านลง
เฉินกวงซึ่งนั่งอยู่ข้างนอกเอี้ยวคอไปตะโกนบอกด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี “คุณหนูสาม ท่านนั่งดีๆ นะขอรับ ข้าจะขับรถม้าไปที่ประตูเล็ก”
“ได้” เด็กสาวในรถม้าขานตอบคำหนึ่ง
รถม้าออกแล่นอีกครั้งได้ไม่นานก็หยุดจอด เสียงของเฉินกวงดังขึ้นที่ด้านนอก “นายหญิงรอง ท่านมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรขอรับ”
ได้ยินว่านายหญิงรองหลิวซื่อยืนอยู่นอกรถม้า เฉียวเจารีบเลิกม่านหน้าต่างขึ้นก็เห็นหลิวซื่ออยู่ตรงหน้าประตูใหญ่จริงๆ มีสาวใช้กางร่มให้นางอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อเห็นปลายผมที่เปียกชื้นกับรอยน้ำโคลนที่กระเซ็นเปื้อนชายกระโปรงเป็นจุดๆ รวมถึงหย่อมน้ำหิมะละลายเล็กๆ บนพื้นก็รู้ได้ว่าหลิวซื่อยืนอยู่ที่นี่เนิ่นนานแล้ว
“คุณหนูสามกลับมาแล้วหรือ” หลิวซื่อแย้มยิ้ม
คงเป็นเพราะอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน สุ้มเสียงที่แจ่มใสฉะฉานแต่เดิมของนางฟังดูแข็งทื่ออยู่บ้าง
เฉียวเจาย่อมจะไม่นั่งอยู่ในรถม้าพูดคุยกับหลิวซื่อเป็นแน่ นางกุลีกุจอก้มกายลอดประตูลงมาแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านอาสะใภ้รองยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ”
เฉินกวงไม่กล่าววาจาสักคำ รีบกางร่มยกขึ้นบังให้เฉียวเจา เขาบ่นอุบอิบในใจ
ท่านแม่ทัพทำเกินไปแล้ว ชักชวนคุณหนูสามออกไปข้างนอกก็ไม่พาสาวใช้ตามมาด้วยสักคน เป็นต้นเหตุให้ข้าต้องทำหน้าที่ของสาวใช้อยู่ร่ำไป เช่นนี้ใช้ได้หรือ
“คุณหนูสาม เจ้ารีบกลับเข้าเรือนเถอะ ข้างนอกอากาศหนาวเย็นนัก” หลิวซื่อเอาเตาพกในมือยัดใส่เฉียวเจาโดยไม่รอช้า นางเอ่ยบอกยิ้มๆ “ข้ารอคนอยู่”
เตาพกไม่เหลือความร้อนสักเท่าไร ช่วยยืนยันซ้ำอีกครั้งว่าหลิวซื่อออกมานานมากแล้ว
เฉียวเจาฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ นางกล่าวถามขึ้นว่า “ท่านรอท่านอารองอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ หรือว่าท่านอารองจะกลับมาวันนี้แล้ว”
ได้ยินเฉียวเจาเอ่ยถึงสามีที่ไม่ได้พบหน้าหลายปี สีหน้าแววตาของหลิวซื่อระบายไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว หาได้มีความขัดเขินเหนียมอายดังเช่นสตรีทั่วไป นางเอ่ยอย่างร่าเริงเบิกบาน “ใช่แล้ว ได้รับข่าวแต่เช้าตรู่ว่าท่านอารองของเจ้าจะกลับถึงเรือนวันนี้ ผู้ดูแลไปรอที่ชานเมืองแล้ว ข้าอยู่ในเรือนก็นั่งไม่ติดเลยออกมาดูเสียเลย”
นางบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า ‘ออกมาดู’ ทว่าแท้จริงแล้วคือจับเจ่าเฝ้ารออยู่ข้างนอกที่หนาวเหน็บจับใจนานเกือบครึ่งวัน
เฉียวเจายื่นมือไปกุมมือหลิวซื่อก็สัมผัสกับความเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง นางลอบถอนใจอย่างสุดระงับแล้วพูดกล่อม “ท่านอาสะใภ้รอง พวกเราเข้าข้างในกันเถอะเจ้าคะ ให้ยามหน้าประตูคอยดูไว้ พอเห็นท่านอามาถึงก็รายงานให้ท่านทราบทันทีก็สิ้นเรื่อง”
หลิวซื่อโบกมือไปมา “ไม่ต้อง ถึงอย่างไรข้ากลับเข้าไปก็ไม่มีอะไรทำ ยืนรออยู่ที่นี่ยังสบายใจกว่า เจ้ารีบเข้าไปเถอะ ตรงนี้ลมแรงระวังจะโดนความเย็น”
“เช่นนั้นข้าอยู่รอท่านอารองพร้อมกับท่านอาสะใภ้รองดีกว่า” เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเราเฉียวเจาย่อมรับรู้ได้ว่าหลิวซื่อเป็นมิตรกับตน ในเวลานี้จะให้นางเข้าไปข้างในแล้วทิ้งให้ผู้อาวุโสทนหนาวอยู่ข้างนอกนั้นนางทำไม่ได้
หลิวซื่อรู้สึกอบอุ่นในใจ นางอดแย้มยิ้มไม่ได้ “จะอยู่ตรงนี้ทนหนาวกับข้าด้วยเหตุใด กระทั่งน้องสาวสองคนของเจ้าข้ายังไม่อนุญาตให้พวกนางออกมาเลย เด็กสาวอย่างพวกเจ้าไม่เหมือนพวกข้า จะตากอากาศหนาวเย็นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวันหน้าจะลำบากนะ เข้าไปเร็วเข้า วันนี้ท่านแม่เจ้าลื่นล้มลง ถึงแม้จะไม่เป็นอะไรมาก แต่เจ้ารีบไปอยู่เป็นเพื่อนจะดีกว่า”
เฉียวเจาได้ยินว่าเหอซื่อลื่นล้มก็ใจหายวาบ แต่ฟังน้ำเสียงของหลิวซื่อแล้วไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันใด นางจึงสงบอกสงบใจลงแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าไปดูท่านแม่นะเจ้าคะ”
นางหมุนกายกลับไปบนรถม้าหยิบเตาพกของตนเองลงมายัดใส่มือหลิวซื่อ ทั้งยังหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งในถุงผ้าปักออกมา “ท่านอาสะใภ้รอง นี่เป็นยาขับไอเย็นที่ข้าปรุงขึ้น ท่านกินเม็ดหนึ่งก็จะไม่รู้สึกหนาวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“อุ๊ย ขอบใจมากนะคุณหนูสาม” หลิวซื่อแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามาก นางเปิดขวดกระเบื้องเทยาขับไอเย็นเม็ดหนึ่งออกมากินต่อหน้าเฉียวเจาทันที จากนั้นพูดเร่งว่า “รีบเข้าไปเถอะ”
เฉียวเจายอบกายคำนับแล้วเข้าเรือน นางตรงดิ่งไปเรือนชิงซงแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หญิงชรากำลังย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ในโถงเรือน ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันหน้าขวับ พอเห็นเป็นเฉียวเจาประกายในดวงตาก็หม่นแสงลง นางพูดดุขึ้น “เจ้าหลานผู้นี้เข้ามาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ท่านย่ายังนึกว่าท่านอารองของเจ้ากลับมาแล้วเสียอีก”
แม่นางเฉียวลอบกลอกตาขึ้น นางเดินเข้าไปหาพลางกล่าว “ทำให้ท่านย่าต้องผิดหวัง ข้าสมควรโดนตีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหลุดหัวเราะพรืด พลางยื่นมือจิ้มหน้าผากเนียนเกลี้ยงของเฉียวเจา “เจ้านี่นะ ยังจะกระเซ้าท่านย่าอีก ท่านอารองของเจ้าไม่ได้กลับมานานหลายปี ไม่รู้ว่าจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง เมืองที่เขาไปไม่ค่อยดีนัก ความเป็นอยู่คงไม่สบายเท่าไรเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจดูอายุมากกว่าท่านพ่อเจ้าก็เป็นได้นะ”
หลีกวงเหวินที่กำลังเดินเข้ามาลูบจมูกไปมา
ข้าอายุมากที่ใดกัน วันนี้ส่องคันฉ่องดูก็ยังหล่อเหลาสง่างามดังเดิมชัดๆ! น้องรองยังกลับไม่ถึงเรือน ท่านแม่ก็เริ่มลำเอียงแล้ว
“น้องรองของเจ้าใกล้จะกลับเรือนมาแล้ว เจ้าออกไปที่ใดมาแต่เช้าปานนี้ กระทั่งวันนี้ภรรยาเจ้าหกล้มก็หาตัวเจ้าไม่เจอ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังกล่าวไม่ทันจบก็เห็นหลีกวงเหวินหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาหันหลังออกวิ่งไปข้างนอก จากนั้นบังเกิดเสียงดังโครมลอยมา เพราะนายท่านใหญ่สกุลหลีชนเข้ากับกรอบประตูจนประตูเกือบหลุดออกมา
“เจ้าลุกลี้ลุกลนอะไร!” ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะด้วยความโมโห
หลีกวงเหวินหมุนกายขวับกลับมากะทันหัน ท่าทางของเขาทำให้มารดาเฒ่านิ่งอึ้งไปด้วยความตกอกตกใจ
“เจ้าใหญ่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
หลีกวงเหวินก้าวเท้าพรวดเดียวเข้าไปดึงเฉียวเจาวิ่งออกไปเร็วฉิวราวกับเหาะ ทิ้งฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่แทบสิ้นสติไว้ที่เดิม
เจ้าลูกบัดซบผู้นี้ ตนเองวิ่งหนีไปก็ช่างเถอะ ยังฉุดหลานสาวของข้าวิ่งหนีไปด้วย ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ!
ถึงแม้เหอซื่อจะลื่มหกล้มทว่าไม่เป็นไรสักนิด กลับทับโดนเจ้าแมวอ้วนสัตว์เลี้ยงของหลิวซื่อซึ่งเดินผ่านมาพอดีจนสลบไป
หลีกวงเหวินจูงมือเฉียวเจาถลันเข้าไปในห้องของเหอซื่อทันที “เหอซื่อ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
เหอซื่อนั่งพิงหัวเตียงกินมันเผาอยู่ทำหน้างุนงง “มีเรื่องอะไรกันหรือ”
พอเห็นได้ชัดว่าท่าทางของเหอซื่อดูแข็งแรงปกติ หลีกวงเหวินวางท่าเยือกเย็นดุจเก่า เขาพลันรู้สึกว่าแสดงอาการร้อนรนเช่นนี้ต่อหน้าสตรีไม่ค่อยเข้าท่า จึงไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “มันเผาหวานหรือไม่”
เฉียวเจาพูดอะไรไม่ออกทันใด “…”
“หวานเจ้าค่ะ” เหอซื่อกล่าวตอบอย่างดีใจ
หลีกวงเหวินพยักหน้าแล้วพูดพึมพำกับตนเอง “อื้อ หวานก็ดี น้องรองใกล้จะกลับมาแล้ว ข้าไปดูทางเรือนหน้าสักหน่อย”
นายท่านใหญ่สกุลหลีเดินหนีไปอย่างลุกลนจนเฉียวเจาเม้มปากแอบยิ้ม จากนั้นนางพูดคุยเป็นเพื่อนมารดานานครู่ใหญ่ สองแม่ลูกถึงไปที่เรือนชิงซงด้วยกัน
เหล่าผู้เป็นนายของทั้งสองเรือนล้วนรวมตัวกันรอคอยอยู่ในเรือนชิงซง ไม่นานนักมีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาบอก
“ฮูหยินผู้เฒ่า เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”